ตอนที่ 487-1 เปิดก่อนอธิบายทีหลัง

พันธกานต์ปราณอัคคี

ดอกท้อที่เบ่งบานกลางสวนพีซิ่ว เมื่อสายลมพัดผ่านกลีบของมันก็ร่วงหล่นไปตามแรงลม ให้ความรู้สึกราวกับหมอกบุปผาสีชาดก็ไม่ปาน ทั้งสง่างามและน่าอภิรมย์

 

 

คุณชายสิบเจ็ดที่กำลังถือแก้วชาไม่ยอมวางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

 

 

“ท่านว่าอย่างไรนะ เจ้าเด็กแซ่มั่วนั่นมาที่นี่อย่างนั้นหรือ”

 

 

คุณชายสี่ที่สีหน้าดูไม่ดีนักทำได้เพียงพยักหน้า

 

 

“ทั้งยัง ทั้งยังไปหาสะใภ้สี่อีก” คุณชายสิบเจ็ดถามอีกครั้ง

 

 

สีหน้าของคุณชายสี่ยิ่งดูแย่ลงกว่าเดิมพลางถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ “สะใภ้สี่?”

 

 

คุณชายสิบเจ็ดเกร็งคอตอบอย่างไม่สบายใจ นี่ไม่ใช่คำสั่งของท่านประมุขหรือ ว่าให้ดูแลนางดีๆ ทำแบบนี้ก็เรียกว่ากินไม่หมดเอาห่อเก็บกลับบ้าน[1]น่ะสิ

 

 

คุณชายสี่เม้มปากบาง เพียงชั่วครู่แววตาปรากฏก็ความซับซ้อนออกมา

 

 

คุณชายสิบเจ็ดโน้มตัวลงมากระซิบใกล้เสียงแผ่วเบา “ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย พี่สี่ ในเมื่อเจ้าเด็กนั่นยังกล้ามาเหยียบที่นี่ นั้นหมายความว่านางรนหาที่ตายเอง เช่นนั้นพวกเราก็…”

 

 

พูดยังไม่ทันจบ แววตาแห่งความเกลียดชังก็ปรากฏออกมา กัดฟันพูดด้วยความแค้น

 

 

“แก้แค้นบ้าอะไรกัน พลังของเจ้าเด็กสมควรตายนั่นถึงระดับก่อแก่นปราณขั้นสูงแล้ว”

 

 

เพียงพูดจบ แก้วชาที่อยู่ในมือของคุณชายสิบเจ็ดก็หล่นลงจากมือ แตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดีในทันที

 

 

คุณชายสี่มองตำหนิ “น้องสิบเจ็ด เจ้าตกใจอันใด มองดูตัวเจ้าตอนนี้สิ ควบคุมอารมณ์ตัวเองยังไม่ได้ มิน่าเล่า หลายปีผ่านมานี้ถึงยังอยู่แค่ระดับรากฐานชั้นกลางเท่านั้น!”

 

 

ตอนนี้สีหน้าของคุณชายสิบเจ็ดแม้แต่มะระยังขมสู้ไม่ได้ “พี่สี่ ไม่ใช่ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้ จริงอยู่ที่เจ้าเด็กนั่นเป็นนักฆ่าตัวฉกาจ แต่ตอนนั้นพลังของนางก็เป็นแค่ระดับรากฐานตอนกลางเท่านั้น กลับทำให้พวกเราทั้งคู่แทบปางตาย ต้องกักตัวรักษาอาการถึงสิบปี ตอนนี้นางอยู่ระดับก่อแก่นปราณขั้นสูง เกรงว่า…”

 

 

ได้ฟังเรื่องน่าสะเทือนใจ แก้วน้ำชาที่อยู่ในมือคุณชายสี่ถูกบีบอย่างโหดเ**้ยมจนแตกออกเป็นผุยผง

 

 

“หุบปาก! เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าตอนนี้ท่านประมุขคือผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดแล้ว และข้าหวังสี่ผู้นี้ คือผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณเพียงหนึ่งเดียวของที่นี่ หากพวกเรามีเรื่องอันใด มีหรือท่านประมุขจะยืนดูอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย”

 

 

มองดูสีหน้าซีดเผือกของคุณชายสี่ คุณชายสิบเจ็ดก็เอ่ยตอบอย่างระมัดระวังว่า “พี่สี่ ท่านอย่าลืมสิ ปีนั้นที่ท่านได้รับบาดเจ็บสลบไปสิบปี ท่านประมุขไม่ได้เอ่ยอันใดเลย อีกทั้งผู้ที่สั่งให้ข้ากักบริเวณ และแบ่งวิญญาณโอสถของข้าให้เจ้าเด็กแซ่มั่วนั่น ก็คือท่านประมุข แม้แต่…”

 

 

เมื่อพูดถึงตรงนี้เจ้าตัวเกิดความลังเลขึ้นเล็กน้อย นึกถึงมั่วชิงเฉินที่ตอนนี้คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสูงแล้ว บางทีนี่เป็นสาเหตุที่นำไปสู่พลังทำลายล้างได้ ทั้งยังยากที่จะพูดออกไป “แม้แต่หวังหกก็สมคบคิด…”

 

 

มองดูสายตาที่แทบจะฆ่าคนได้ของคุณชายสี่ ก่อนจะตอบกลับเสียงทุ่มว่า “คนที่เห็นแล้วมีความสุขก็คือท่านประมุข”

 

 

พูดถึงตรงนี้คุณชายสิบเจ็ดเกิดความสงสัยเล็กน้อย เจ้าเด็กนั่นให้ท่านประมุขกินยาแฝดใช่หรือไม่ หากเป็นคนอื่นก็ช่างปะไร แต่นี่อากับพี่สะใภ้ของตัวเองทำเรื่องผิดศีลธรรม ในเมื่อมิอาจยับยั้งได้ หากไม่ใช่เพราะเหยียนเหยี่ยนยังเด็กถึงได้ไม่ตั้งใจพูดเรื่องที่ทำให้สะใภ้สี่อับอายถึงเพียงนี้ เกรงว่าสิบปีก่อนคงต้องเปลี่ยนคำเรียกเป็นพี่สะใภ้หกแล้วกระมัง เรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ ในใจท่านประมุขผู้อาวุโสของตระกูลแท้จริงแล้วกำลังคิดเรื่องน่ายินดีอะไรอยู่กันแน่

 

 

คิดถึงจุดนี้ ในใจก็หวาดผวาขึ้นมาแต่ก็ยังพูดต่อไปว่า “พี่สี่ เป็นไปได้ไหมว่าความจริงแล้ว ท่านประมุขชอบเจ้าเด็กแซ่มั่วนั่น!”

 

 

ลักษณะท่าทางที่ดุดันของมั่วชิงเฉินที่ถือก้อนอิฐอยู่ในมือ เกือบจะเดินเข้าไปหัวหกล้มคะมำเพราะบังเอิญได้ยินประโยคนี้เข้าพอดี นางรู้ดีว่าหมาบ้าสองตัวรวมหัวอยู่ด้วยกัน คงไม่พ้นความคิดที่น่าสมเพชนี้ได้ ช่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสียจริงเชียว!

 

 

คุณชายสี่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศเยือกเย็นในทันใด ไอจิตสังหารแผ่ปกคลุมทั่วท้องฟ้าทางด้านหลัง แต่คุณชายสิบเจ็ดยังคงไม่รับรู้ถึงความตายที่กำลังมาเยือน ทั้งยังพูดต่อไปว่า “พี่สี่ ท่านคิดว่าอย่างไร หากพวกเราใช้วิธียั่วยุให้ท่านประมุขจัดการกับเจ้าเด็กนั่น อย่างไรเสียท่านประมุขเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดได้อายุก็ไม่น้อยแล้ว ทั้งยังไม่มีคู่ชะตาบำเพ็ญเพียร เจ้าเด็กนั่นมิใช่ว่าเป็นพวกดุดันมหรอกหรือ หากเป็นเช่นนั้นท่านประมุขผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็…อ๊า…”

 

 

ในสายตาของคุณชายสี่ ภาพที่เห็นคือคุณชายสิบเจ็ดถูกก้อนอิฐที่หล่นลงมาจากท้องฟ้าตกใส่ ด้านหลังถูกหินโอบล้อมบินไปตามทิศทางที่ไกลถึงถึงสิบจั้งจนกระทั่งชนกับภูเขาเทียมจึงหยุดเคลื่นไหวได้

 

 

คุณชายสี่หันหลังขวับ ก็พบกับมั่วชิงเฉินที่กำลังถือก้อนอิฐสีทองเปล่งประกายแวววาวก้อนหนึ่งอยู่ในมือ

 

 

ลางสังหรณ์อันเลวร้ายคืบคลานเข้ามา ชั่วพริบตาดาบจันทร์เสี้ยวแห่งหนามเหมันต์ก็ปรากฏออกมาจากมือด้านหลังคุณชายสี่ พร้อมเอ่ยว่า “แม่นางมั่ว ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ถึงแม้น้องสิบเจ็ดจะพูดจาไม่เหมาะสม แต่ก็มิได้ได้เอ่ยต่อหน้าท่าน ทั้งยังไม่ได้ลงมือทำอันใดให้บาดเจ็บ แต่ท่านกลับทำเช่นนี้ มิได้เป็นการรังแกคนของสกุลหวังของข้ากระมัง หวังว่าแม่นางมั่วจะให้คำอธิบายได้”

 

 

มู่ชิงเฉินยิ้ม โยนก้อนอิฐที่อยู่ในมือขึ้นไป

 

 

อธิบายหาน้องสาวเจ้าน่ะสิ มีแต่คนบ้าเท่านั้นถึงจะพูดจาไร้สาระจู้จี้จุกจิกออกมาได้ แล้วรอให้เจ้ารวบรวมพลังเนี่ยนะ!

 

 

คุณชายสี่อกสั่นขวัญผวา นี่มันไม่ตรงตามแผนที่คิดไว้นี่นา มีที่ไหนบินเข้ามาในเขตควบคุมของอีกฝ่ายที่ยังพูดไม่จบก็โจมตีเสียแล้ว

 

 

มองดูแสงสีทองเปล่งประกายของก้อนอิฐที่ตอนนี้อยู่บนหัวของตน ก็ทำให้ใบหน้าของคุณชายสี่ซีดเผือดในทันใด ดาบพระจันทร์เสี้ยวที่อยู่ในก็มือบินขึ้น

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสูงโดยทั่วไปแล้ว สามารถรับมือกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นต้นได้แปดถึงเก้าคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปราณเซียนและการสร้างการพลังแปรผันของของมั่วชิงเฉินที่ซึมซับในจุดตันเถียน

 

 

แม้แต่ของวิเศษนางก็ไม่ได้ใช้ เพียงแค่ยกเท้าขึ้นมาก็สามารถเตะดาบพระจันทร์เสี้ยวให้บินออกไปยังภูเขาจำลองอีกฝั่งหนึ่งได้

 

 

 

 

——

 

 

[1] เป็นสำนวน หมายถึง ก่อเรื่องไม่ได้จำต้องแบกรับผล หรือทำอะไรไว้ต้องรับผิดชอบ