พระสนมหูยืนฟังอยู่ด้านหลังหน้าต่างอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจึงทนไม่ไหว กล่าวว่า “นี่มันสมัยไหนกันแล้ว ยังมาคุยเรื่องพวกนี้กันอีก?”
กู้ชิงย่อมรู้แต่แรกแล้วว่านางแอบฟังอยู่ จึงกล่าวว่า “ภายหน้าองค์ชายต้องปกครองแผ่นดินนี้ ย่อมจำเป็นต้องรู้เรื่องเหล่านี้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อรู้ว่าอาจารย์หนีออกมาจากคุกสะกดมารได้แล้ว เขาก็สงบขึ้นกว่าเดิมมาก ดูคล้ายอาจารย์ขององค์ชายมากกว่าเดิม
พระสนมหูชอบฟังคำพูดแบบนี้ จึงยิ้มอย่างมีความสุขขึ้นมา มิได้กล่าวกระไรอีก
“เจ็ดสำนักใหญ่ที่ก่อตั้งงานชุมนุมเหมยฮุ่ยขึ้นมาในตอนนั้นยังมีวัดกั่วเฉิงและสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย ทั้งสองสำนักนี้เดินอยู่บนถนนของโลกปุถุชน แต่กลับฝึกฝนวิถีแห่งการตัดขาดจากโลก ดังนั้นจึงถือว่าเป็นกลาง”
กู้ชิงหมุนตัวกลับมา กล่าวอธิบายกับองค์ชายจิ่งเหยาต่อว่า “นิกายเฟิงเตาและสำนักกระบี่ซีไห่เป็นสำนักที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ แต่เป็นเพราะเทพดาบและเทพกระบี่ซีไห่ จึงทำให้ทั้งสองสำนักค่อนข้างมีชื่อเสียงบารมี แต่เนื่องเพราะเทพกระบี่ซีไห่สูญเสียพลังชีวิตไปเป็นจำนวนมากในศึกลานเมฆ ในช่วงเวลาหลายสิบปียากจะฟื้นฟูกลับมาได้ ส่วนสำนักเสวียนหลิง ต้าเจ๋อและจิ้งจงเองก็ล้วนแต่มียอดวิชาของตัวเอง ทว่าหลังจากก่อตั้งสำนักมาก็ยังไม่เคยมีใครที่บรรลุเป็นเซียนได้ คนที่บรรลุขั้นทะลวงสวรรค์ได้ก็มีอยู่น้อยนิด ดังนั้นจึงถือเป็นสำนักที่อยู่ในอันดับรองลงไป”
จิ่งเหยามองไปบนท้องฟ้า ก่อนกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าเป็นศิษย์ชิงซาน ต่อไปจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชิงซานอย่างแน่นอน แต่ว่ามันยังไม่พอ อาจารย์บอกว่าเรือนอี้เหมาสามารถเชื่อถือได้ แต่ข้าได้ยินนางกำนัลอาวุโสบอกว่าอาจารย์เหล่านั้นล้วนแต่ไม่ชอบข้า อย่างนั้นข้าควรจะไปหาใคร?”
แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องใบหน้าเล็กๆ ของเขา ดูใส่ซื่อและบริสุทธิ์
กู้ชิงตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ราชวงศ์มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับวัดกั่วเฉิงมาโดยตลอด”
จิ่งเหยาไม่ค่อยเข้าใจ กล่าวว่า “ในวัดกั่วเฉิงมิใช่ว่าเป็นพระกันหมดหรือ?”
กู้ชิงกล่าวว่า “กระหม่อมไม่ทราบสาเหตุ เอาไว้พระองค์โตแล้ว พระองค์ทรงลองถามฝ่าบาทด้วยตัวพระองค์เอง แต่ตัวกระหม่อมมองว่า บางทีอาจเป็นเพราะสำนักจงโจวมีอิทธิพลต่อราชสำนักมากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งเหยาคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงกล่าวว่า “ข้ากลายเป็นศิษย์ชิงซาน สำนักจงโจวไม่พอใจอย่างมากใช่หรือไม่?”
กู้ชิงกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงต้องการทำเรื่องที่ทุกสำนักไม่พอใจนั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดประโยคนี้มีความหมายลึกซึ้ง เรียกได้พูดถึงเจตนาในการก่อตั้งพันธมิตรเหมยฮุ่ยในอดีตออกมาอย่างชัดเจน
เจ็ดสำนักใหญ่และราชวงศ์ตระกูลจิ่งต่างเห็นพ้องต้องกันในจุดนี้
จิ่งเหยาถอนใจออกมาคล้ายผู้ใหญ่ ก่อนกล่าวว่า “ก็จริง ข้าต้องแย่งชิงบัลลังก์กับท่านพี่ ยังไงสำนักจงโจวก็ไม่มีทางชอบข้าอยู่แล้ว”
บทสนทนาดำเนินมาถึงตรงนี้ก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อีก
พระสนมหูเองก็ไม่อาจทนฟังต่อไปได้ นางดึงกู้ชิงกลับมาจากด้านนอกหน้าต่าง แสดงทำเป็นซุบซิบอะไรกับเขา “ท่านมานี่ ข้ามีของดีจะให้ท่านดู”
นางเตรียมเอาหยิบเอาไข่นกจูเชวี่ยขึ้นมาให้เขาดู แต่กลับพบว่ากู้ชิงกำลังมองดูนางอย่างเงียบๆ
“ท่านกำลังคิดอะไรอยู่?”
พระสนมหูงุนงงอยู่ครู่ถึงได้เข้าใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
“พระสนมทรงกำลังคิดอะไรอยู่? กระหม่อมอยากจะบอกว่าพระองค์ไม่ควรจะเอาแต่ตีนางกำนัลผู้นั้นให้กระหม่อมดู….” กู้ชิงมองดวงตาของนางพลางกล่าว “หากพระสนมทรงเห็นแก่ความสัมพันธ์เมื่อในอดีตจริงๆ ก็ทรงส่งนางกลับไปยังบ้านเกิดเถอะพ่ะย่ะค่ะ มีขุนนางในพื้นที่คอยประสานงาน ดีกว่าต้องมาอยู่ในวัง ในอนาคตจะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้”
พระสนมหูนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “เข้าใจแล้ว”
ในเวลานี้แบบนี้ยังมีใจมาพูดเรื่องจุกจิกภายในวัง นี่ย่อมต้องเป็นเพราะใจของเขาสงบแล้ว ก็เหมือนกับทุกๆ คน
ในเมืองเจาเกอเกิดแผ่นดินไหวเบาๆ ขึ้นอีกหลายสิบครั้ง แต่ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เดินทางมาถึงแล้ว ยังมีอะไรให้ต้องกังวลอีก?
……
……
“ทุกคนมากันหมดแล้ว”
ชายชราผู้เป็นร่างแปลงของดวงจิตชางหลงมองดูดวงตาของจักรพรรดิแห่งหมิง พลางกล่าวว่า “คนที่มาในวันนี้เหมือนจะมากกว่าตอนที่จับเจ้าในตอนนั้นเสียอีก อย่าว่าแต่ตัวเจ้าในตอนนี้เลย ต่อให้เป็นพ่อเจ้าในตอนที่แข็งแกร่งที่สุดก็มีแต่จะต้องถูกจับ”
จักรพรรดิแห่งหมิงรับรู้ได้ถึงพลังที่อยู่ด้านนอก จากนั้นกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “แต่ว่าผ่านมาหกร้อยปี มนุษย์มียอดคนขั้นทะลวงสวรรค์เพิ่มขึ้นมาหลายคน ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”
ชายชรากล่าว “เรื่องจริงนั้นทำให้คนเสียใจ แต่ก็จำเป็นต้องยอมรับ ความพยายามใดๆ ที่จะหนีออกไปจากคุกสะกดมารของเจ้าล้วนแต่จะเป็นข้ออ้างให้มนุษย์ใช้สังหารเจ้าได้”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าว “ก็จริง”
ครั้นพูดจบ เพลิงวิญญาณที่อยู่ในรอยแตกต่างๆ ภายในคุกสะกดมารต่างก็บินออกมา กลายเป็นจักรพรรดิแห่งหมิงตัวเล็กๆ ลอยนิ่งๆ อยู่ในอากาศ
นี่คือความจริงใจของจักรพรรดิแห่งหมิง หรือพูดอีกอย่างก็คือการแสดงท่าที
ชายชรากล่าวว่า “เจ้าต้องการอะไร?”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าว “ไม่มียุง”
ชายชรากล่าว “หากเจ้ายอมตัดเพลิงวิญญาณส่งไปยังโลกเบื้องล่างเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง เดิมมันก็ไม่จำเป็นต้องมียุง”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “ข้าต้องการหุบเขาสีเขียว แบบที่เป็นหุบเขาจริงๆ แล้วก็ต้องการคนที่สามารถคุยกับข้าได้ จะดีที่สุดถ้าเป็นคนของเผ่าพันธุ์ข้า”
นี่คือรายละเอียดที่ทำการเจรจา
หากชายชราไม่เห็นด้วยกับคำขอของจักรพรรดิแห่งหมิง เพลิงวิญญาณตัวเล็กๆ เหล่านั้นก็จะบินเข้าไปในร่างกายของชางหลงอีกครั้ง ทำให้มันเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส
ชายชรานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวว่า “เงื่อนไขเหล่านี้ข้าไม่มีสิทธิ์รับปากเจ้าได้ เจ้าจะเป็นต้องไปคุยกับคนที่อยู่ข้างนอกพวกนั้น”
จักรพรรดิแห่งหมิงยิ้มขึ้นมา กล่าวว่า “หากข้าออกไปข้างนอก แล้วข้าจะเล่นงานเจ้าได้อย่างไร? คนพวกนั้นจะต้องฆ่าข้าแน่นอน ไม่มีทางที่จะมาเจรจาอะไรกับข้า”
ชายชรากล่าว “เช่นนั้นจะทำอย่างไร? ที่นี่มีพายุรุนแรง จิตจำแนกไม่สามารถผ่านเข้ามาได้”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “เจ้าให้คนพวกนั้นเลือกตัวแทนคนหนึ่งเข้ามาในนี้ อืม…ไม่เอาคนของเขาอวิ๋นเมิ่ง ถ้าคนจากชิงซานมาแล้ว ก็เอาเขานั่นแหละ”
ชายชรากล่าวอย่างจนปัญญา “เจ้าคิดว่ามันจะเป็นไปได้หรือ?”
ทุกที่ในอุโมงค์ล้วนแต่เต็มไปด้วยลมพายุที่สกปรกและมีกลิ่นเหม็น
เจ้าสำนักชิงซานจะเข้ามาในนี้ได้อย่างไร
จักรพรรดิแห่งหมิงคิดในใจ จริงอย่างที่เจ้าว่า จึงกล่าวว่า “ข้าไม่ยอมออกไปแน่นอน เจ้าคิดหาทางแล้วกัน”
เพลิงวิญญาณที่เหมือนจักรพรรดิแห่งหมิงขนาดย่อส่วนเหล่านั้นอยู่ห่างจากบาดแผลภายในร่างกายของชางหลงเพียงไม่กี่ฉื่อ พวกมันพร้อมที่มุดกลับเข้าไปทุกเมื่อ
เมื่อคิดถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสภายในร่างกายก่อนหน้านี้ สีหน้าของชายชราก็ขาวซีดขึ้นมาอีกครั้ง เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเล็กน้อยว่า “เจ้าตามข้าขึ้นไปด้านบน”
ที่นั่นจักรพรรดิแห่งหมิงยังเล่นงานชางหลงได้อยู่ จิตจำแนกของยอดฝีมือที่อยู่บนท้องฟ้าของเมืองเจาเกอเหล่านั้นเองก็สามารถเข้ามาที่นี่ได้ด้วย ทั้งสองฝ่ายสามารถทำการเจรจาได้
จักรพรรดิแห่งหมิงเห็นด้วยกับคำแนะนำของชายชรา สองมือไพล่หลังบินออกไป
สีหน้าของชายชราแปรเปลี่ยนเป็นโล่งใจ ก่อนจะตามออกไป
เดินทางผ่านอุโมงค์อันยาวเหยียดมาถึงจุดที่เชื่อมต่อของชั้นสองของคุกสะกดมารและชั้นล่างสุด ด้านบนคือก้อนหินที่ลอยสะเปะสะปะอยู่กลางอากาศ ดอกไม้สีม่วงแอบซ่อนอยู่ในหมู่ก้อนหิน
หากเลี้ยวซ้ายจากตรงนี้ก็จะเป็นคุกไท่ฉาง หากลอยขึ้นไปตามช่องว่างของก้อนหินที่ลอยสะเปะสะปะก็จะเป็นบึงสีเขียว
จักรพรรดิแห่งหมิงสองมือไพล่หลัง ลอยเข้าไปในซอกหินเหมือนเมฆหมอก ไม่นานก็มาถึงก้นบึงน้ำ ตรงนั้นคือม่านพลังไร้รูปร่างที่โปร่งใส่และมีสีเขียวจางๆ
เสียงเพล้งดังขึ้นเบาๆ จักรพรรดิแห่งหมิงทำลายม่านพลังเข้าไปในบึงสีเขียว
ระหว่างดวงตาทั้งสองข้างของเขามีเพลิงวิญญาณปรากฏขึ้นมาดวงหนึ่ง เพลิงวิญญาณเปลี่ยนเป็นเยื่อบางๆ ห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้ ไม่มีช่องว่างแม้แต่นิดเดียว สกัดกั้นน้ำในบึงที่เป็นพิษอันรุนแรงเอาไว้ข้างนอก
จักรพรรดิแห่งหมิงลอยขึ้นไปบนผิวน้ำ เพลิงวิญญาณที่ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ค่อยๆ บางลง เสื้อผ้าและเส้นผมไม่มีร่องรอยถูกน้ำกัดกร่อน
น้ำสีเขียวคล้ำไหลลงมาจากร่างกาย เขาลุกขึ้นยืน
ชายชราได้ปรากฏตัวขึ้นตรงริมบึงก่อนล่วงหน้าแล้ว พลางมองดูเขาอย่างเงียบๆ ด้วยรอยยิ้มแปลกๆ บนใบหน้า
“เจ้ายิ้มได้น่าเกลียดจริงๆ มักจะทำให้ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร คล้ายว่าพร้อมจะลอบโจมตีข้าทุกเมื่อ”
จักรพรรดิแห่งหมิงหยุดฝีเท้าอยู่ห่างจากริมบึงออกไปหลายจ้าง ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “หากไม่เป็นเพราะข้ามั่นใจว่าดวงจิตอย่างเจ้านี้มิใช่คู่ต่อสู้ของข้า บางทีข้าอาจจะเชื่อเช่นนั้นไปแล้วจริงๆ ก็ได้”
แม้นจะบอกว่าไม่เชื่อ แต่อันที่จริงความระแวงได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่อย่างนั้นเหตุใดเขาจึงหยุดฝีเท้า?
ชายชรายิ่งยิ้มกว้าง มุมปากยิ่งฉีกออก ยิ่งดูน่าเกลียด
ในหน้าผาที่สูงชันเป็นพันจ้างพลันมีก้อนหินพุ่งออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นถล่มลงมา!
ท้องฟ้าอันมืดมิดคล้ายสูญเสียการการค้ำจุนไปอย่างฉับพลัน พังถล่มลงมายังพื้นด้านล่าง ขณะเดียวกันพื้นดินที่อยู่รอบๆ และบึงน้ำก็ยกตัวสูงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เพียงแค่พริบตา คุกสะกดมารที่เดิมทีกว้างใหญ่ไพศาลพลันเปลี่ยนเป็นคับแคบขึ้นมา
นี่มิใช่การหมุนกลับฟ้าดิน การหมุนกลับฟ้าดินเป็นการเปลี่ยนตำแหน่งของที่ว่าง แต่สิ่งที่ชายชราทำคือทำให้ฟ้าดินหดเล็กลง!
…………………………………………………