กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิด
ในมือของเขาถือดิสก์ค่ายกลรับส่งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ เฝ้าดูรายละเอียดมันอย่างใกล้ชิด
บนดิสก์ค่ายกล ประกอบไปด้วย กิเลน หงส์ เต่า และมังกร อยู่ตามแต่ละมุม แต่ละด้าน
แต่ตอนนี้ หลังจากที่ถูกฆ่าโดยมังกรแล้ว กู่ฉิงซานก็เลือกเปลี่ยนไปอีกเส้นทางหนึ่ง
หลังจากข้ามผ่านกระบวนการอันยาวนาน ในที่สุด เขาก็มาถึงเชิงเขา
ตรงเชิงเขามีศาลารักษาการณ์อยู่
จ้องมองไปยังศาลากลางภูเขา
บนศาลา มอนสเตอร์ที่มีรูปร่างเหมือนม้า ทว่ามีเขาแหลมตรงส่วนเขากำลังหลับใหลอยู่
เมื่อสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนมาเยือน กิเลนก็ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน ลุกขึ้นมองกู่ฉิงซาน
และแล้ววิสัยทัศน์ของเขาก็ดำมืด
…
ย้อนกลับไปท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิด กู่ฉิงซานเริ่มคิดเกี่ยวกับวิธีการเข้าสู่วังสวรรค์เมฆาวิเวก
เขาค้นพบว่า ตนได้เลือกเดินทางบนเมฆกว่าสองครั้งสองคราแล้ว ผลสุดท้ายจบลงที่การไปกระตุ้นมังกรกับกิเลนเข้า
ก็แล้วถ้าอย่างงั้น… จะให้ทำอย่างไร?
ทุกกระบวนการกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
คราวนี้ กู่ฉิงซานไม่เลือกก้าวเดินบนก้อนเมฆอีกต่อไป
เขาเลือกที่จะบิน บินขึ้นสู่ท้องฟ้า และกลายเป็นกระแสแสงตรงไปยังภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป
หลังจากข้ามผ่านในส่วนของสวนอาหารและศาลา ไม่นาน กู่ฉิงซานก็มาถึงยอดเขา
ในเวลานั้นเอง เขาก็ค้นพบกับต้นไม้ร่มเงาขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ใจกลางยอดเขา
บนต้นไม้ร่มเงา ปรากฏนกตัวใหญ่ที่ทั้งร่างของมันปกคลุมไปด้วยขนสีแดงเข้ม
เมื่อกู่ฉิงซานบินลงจากท้องฟ้า นกตัวใหญ่ก็เชิดคอขึ้น และมองมาทางกู่ฉิงซาน
-นกตัวนี้มันเหมือนกันหงส์ที่ถูกแกะสลักอยู่บนดิสก์ค่ายกลรับส่งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์เลย
ไม่สิ นี่มันไม่ใช่นก แต่เป็นหงส์ตัวนั้นเลยต่างหาก!
กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างหมดหนทาง
จากนั้น วิสัยทัศน์ก็พลันมืดบอด
กู่ฉิงซานกลับมาอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิดอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น? มันไม่ราบรื่นหรือ?” ร่างแสงทมิฬเอ่ยถาม
เวลานี้ ร่างแสงทมิฬกำลังถือใบหยกในมือของเขา กำลังสำรวจเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยบางอย่างในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ
“มันค่อนข้างลำบาก แต่ผมจะลองหาวิธีดู” กู่ฉิงซานกล่าว
“ได้ยินแบบนั้นก็ค่อยโล่งใจ อย่าลืมว่าข้าสามารถใช้สกิลนี้ได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น จงถนอมมันให้ดี” ร่างแสงทมิฬกล่าว
“เข้าใจแล้ว ผมจะใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด” กู่ฉิงซานรับคำ
เขาลองพลิกดิสก์ค่ายกลไปมา ขบคิดอย่างเงียบๆ ว่าจะเข้าสู่วังสวรรค์เมฆาวิเวกได้อย่างไร
นี่มันเป็นปัญหาเสียจริง
เพียงแค่ถูกมองก็จบแล้ว งั้นฉันจะต้องใช้วิธีอะไรถึงจะสามารถเข้าไปยังวังสวรรค์ได้?
ต่อให้เขาปลอมเป็นนกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต ก็เกรงว่ามิอาจหลบเร้นสายตาของหงส์อยู่ดี
ดูเหมือนว่าพวกมันจะแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน
มังกรช่วยปกป้องรอบอาณาเขตวังสวรรค์เมฆาวิเวกทั้งหมด ส่วนกิเลนปกป้องประตูทางเข้าภูเขาเบื้องล่าง หงส์ก็ช่วยปกป้องส่วนเหนือของวัง เหลือแค่เต่าที่ยังไม่ทราบว่ามันซ่อนอยู่ที่ไหน
เมื่อต้องพบเผชิญกับอสูรวิญญาณที่ทรงพลังแบบนี้ ต่อให้เขามีโอกาสกว่าแปดร้อยครั้ง เกรงว่ายังไม่สามารถผ่านมันไปได้
เช่นนั้นยังมีวิธีใดที่สามารถใช้หลบเร้นไปจากสายตาของพวกมันได้หรือไม่?
กู่ฉิงซานจมอยู่ในห้วงความคิด
“นี่เจ้ายังคิดไม่ออกอีกหรือ?” ร่างแสงทมิฬถาม
“ขอทดลองดูอีกครั้ง ช่วยส่งผมกลับไปด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว
“ตกลง”
ซุ่ม!
กระแสคลื่นความมืดมิดโถมทับกูฉิงซาน
หลังจากสนทนากับนางเซียนไป่ฮั่ว ใช้ด้ายมิติกลับไปยังสมาคมกำปั้นเหล็ก และเปิดใช้งานดิสก์ค่ายกล
กู่ฉิงซานก็กลับมาถึงโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์อีกครั้ง
คราวนี้ เขาเดินไปที่ขอบพื้นเมฆ และก้มมองลงไป
ใต้ท้องฟ้าสีเทา เป็นผืนแดนแห้งแล้งอันไร้ที่สิ้นสุด
คราวนี้ เขาจะไม่เดินบนเมฆหรือบินบนท้องฟ้า
กู่ฉิงซานตั้งใจที่จะบินไปตามใต้เมฆ ลอดผ่านสวนให้อาหาร และที่ตั้งของศาลารักษาการณ์ บินจากเบื้องล่าง มุ่งสู่ทิศทางของวังสวรรค์
ตราบใดที่ภูเขาบนก้อนเมฆ มันยังเป็นภูเขาปกติอยู่ ตนเองก็ย่อมสามารถอาศัยสองดาบ เปิดรู ขุดเข้าไปจากเบื้องล่างได้
ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะสามารถหลบเลี่ยงหงส์จากเบื้องบน เข้าสู่ภายในวังสวรรค์จากใต้ดินได้อย่างง่ายดาย
กู่ฉิงซานลองคิดย้อนกลับไปกลับมาอีกครั้ง
และพบว่านี่แหละคือทางออก
ที่ต้องทำ มันก็แค่เมื่อตอนเปิดภูเขา จะต้องเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบเท่านั้น
มันคงจะเป็นการดีกว่า หากเขาแปลงกายเป็นสัตว์ที่เหมือนกับตัวตุ่น ขุดเข้าไปในดินตามใจต้องการ
โอเค ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว!
กู่ฉิงซานกระโดดลงจากก้อนเมฆ
เขาลดระดับลงมาเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงพื้นจึงค่อยๆ หยุดอย่างช้าๆ
พบว่าพื้นดินเบื้องล่างช่างแห้งแล้ง และเงียบเหงา
แต่เพื่อความปลอดภัย กู่ฉิงซานเลยไม่คิดจะสัมผัสกับพื้นดิน เขาตัดสินใจลอยอยู่ในอากาศเหนือมัน และเริ่มบินตรงไปข้างหน้า
เขาบินไปในทิศทางของภูเขาอันห่างไกล
มองขึ้นไปจากเบื้องล่างก้อนเมฆ ฉากภาพจะดูแตกต่างกันเล็กน้อย
เมฆอื่นๆ ล้วนบางเบา ทว่ามีเพียงเมฆใต้ภูเขาเท่านั้นที่หนาจนเกินไป
อย่างไรก็ตาม หากมันไม่ใช่เมฆหนาทึบ เกรงว่ามันคงจะไม่สามารถรองรับภูเขาขนาดใหญ่ และพระราชวังที่ตั้งอยู่เหนือมันได้น่ะสิ
กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมัน และเริ่มเร่งความเร็วขึ้น
เขาบินผ่านท้องฟ้าสีครามด้วยพลังทั้งหมดที่มี และในที่สุดก็มาถึงเบื้องล่างของภูเขาได้อย่างปลอดภัย
มังกรเหลือง กิเลน และหงส์ เขตความสนใจของพวกมันล้วนไม่ได้อยู่ในที่นี้
กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ กวาดเข้าไปในเมฆเหนือหัว
ปรากฏว่าไม่อาจรับรู้อะไรได้เลย
ดูเหมือนว่า จากตัวภูเขากับเมฆเบื้องล่างสุด จะมีระยะห่างกันอยู่บ้าง
กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก และบินขึ้นไปในเมฆหนาทึบ
กึ้ง!
บังเกิดเสียงหนักทึบ สั่นสะเทือนโลกหล้า
กู่ฉิงซานที่พึ่งบินเข้าไปในมวลเมฆ ก็ถูกตีกลับมา
เขาลูบหน้าผาก กระเด็นถอยหลังไปพักหนึ่ง ก่อนจะสามารถหยุดตนลงได้
กู่ฉิงซานกัดฟัน สงบนิ่งสักพัก เพื่อกล้ำกลืนความเจ็บปวดให้ลดน้อยลง
เขาเงยหน้ามองขึ้นไป
มันยังคงเต็มไปด้วยเมฆ เมฆที่ปกคลุมทุกสิ่งอย่าง
นี่มันเมฆอะไรกัน? เหตุใดเขาจึงไม่สามารถใช้จิตสัมผัสเทวะของตนเอง ค้นหาอะไรจากภายในมันได้เลย
นอกจากนี้ หัวของเขาเมื่อครู่ไปกระแทกเข้ากับอะไรกันแน่?
กู่ฉิงซานอดไม่ได้จีบออกด้วยวิชาลับ
นี่คือเทคนิคมนตราขั้นพื้นฐานที่สุด ผลลัพธ์ของมันคือการอัญเชิญวิญญาณลม
ทันทีที่พลังวิญญาณถูกขับเคลื่อน เทคนิคมนตราก็ประสบผล
สายลมพัดโชย
พัดโชยไปยังทิศทางเหนือเมฆ!
กู่ฉิงซานตอนนี้เป็นผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า ดังนั้นความยากง่ายในการใช้ออกด้วยเทคนิคมนตรา จึงค่อนข้างแตกต่างจากในอดีต
ชั้นเมฆของทั้งภูเขา ถูกปกคลุมไปด้วยสายลมแรง
เมฆถูกพัดพาออกไปอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นถึงฉากที่อยู่ภายใน
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น จ้องมองดูชั้นเมฆ สูญสิ้นความปรารถนาที่จะเปิดปากพูด
เพราะในที่สุด เขาก็รู้แล้วว่าหน้าผากเขากระแทกเข้ากับอะไรเมื่อครู่
เป็นกระดองเต่า!
ไม่ว่าจะเป็นมังกร กิเลน หรือกระทั่งหงส์ ล้วนมีขนาดและรูปร่างใหญ่ไม่ถึงหนึ่งหนึ่งในสิบส่วนของเต่าเบื้องหน้าเขาด้วยซ้ำ!
เต่ายักษ์ตัวนี้ กำลังแบกภูเขาไว้บนหลัง บินอยู่บนท้องฟ้าอย่างช้าๆ
นอกจากนี้ มันยังคงหลับตาอยู่ คล้ายกับว่ากำลังหลับใหล
การที่หัวของกู่ฉิงซานไปกระแทกเข้ากับมัน ไม่ได้ทำให้มันรู้สึกอะไรเลย
สวรรค์และโลกยังคงเงียบงัน
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานลอยล่องอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ เฝ้าสังเกตดูเต่ายักษ์
เขาพบว่า เมื่อใดก็ตามที่เต่าผ่อนลมหายใจ แม้จะแผ่วเบา ก็จักปรากฏเมฆหมอกสีขาวๆ ออกมาจากจมูก
เมฆค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ เริ่มทยอยปกปิดส่วนหนึ่งของร่างเต่า
กู่ฉิงซานหลับตาลง พยายามรับรู้อย่างเงียบๆ
เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่จากเต่าตัวนี้ คล้ายกับเปลวไฟที่โหมกระหน่ำไม่รู้จบ
ในการรับรู้ทางจิตวิญญาณของกู่ฉิงซาน ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่ามิแตกต่างจากหิ่งห้อย ขณะที่พลังของเต่านั้นราวกับเป็นดวงอาทิตย์
นี่คือเรื่องที่เขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน
แต่เดี๋ยวก่อนนะ
กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น เอ่ยงึมงำกับตัวเอง “นี่มันไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นมังกร กิเลนและหงส์ ที่ฉันเคยเห็นพวกเขามาก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าพวกมันจะทรงพลังมากก็ตามที แต่พวกมันก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกเจ็บปวดต่อฉันแบบนี้เลย?”
กู่ฉิงซานพยายามคิดอย่างหนัก ย้อนนึกถึงฉากที่สัตว์วิญญาณอีกสามตัวพบเจอเขา
ดูเหมือนว่าเต่าตัวนี้… จะมีบางอย่างผิดแปลกออกไปจริงๆ
สำหรับอสูรวิญญาณโบราณทั้งสามตัว มดดั่งเช่นเขาย่อมไม่มีภัยคุกคามใดๆ
แต่ทั้งสามก็ยังเลือกที่จะสังหารเขา
โดยไม่มีการสื่อสารใดๆ
ไร้ซึ่งสรรพเสียง
เช่นเดียวกับการกระทำสิ่งต่างๆ ตามกฎ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องจักรสังหาร
แต่เต่าตัวนี้กลับแตกต่างกันออกไป
เต่าค่อนข้างสงบและมั่นคง มันกำลังจมอยู่ในห้วงนิทรา
โดยปกติแล้ว ด้วยระดับของอสูรวิญญาณพวกนี้ มันสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
แต่เต่าไม่ค้นพบว่ามีภัยคุกคามใดๆ จากกู่ฉิงซาน
มันเลยยังคงสามารถหลับอย่างสงบสุข
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็เริ่มรู้สึกว่าอสูรวิญญาณอีกสามตัวคล้ายกับว่าจะมีอะไรผิดปกติ
ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในจิตใจของเขา
“ต้องการเข้าสู่พระราชวังสวรรค์เมฆาวิเวกอย่างงั้นหรือ เช่นนั้นก็จงหยิบใบหยกพิทักษ์กายาออกมาเสีย”
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นทันใด
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เต่าได้ตื่นแล้ว
มันจ้องมองมาที่กู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น เฝ้ารอชั่วขณะหนึ่ง
แต่กลับพบว่าวิสัยทัศน์เขายังไม่มืดบอด
นั่นหมายความว่าหากตนเดินมาตามเส้นทางนี้ เขาจะไม่ตาย
ใช่ คราวนี้เขายังไม่ตาย!
เจ้าตัวลอยล่องอยู่ในอากาศ สักพักค่อยได้สติกลับคืน
การดำรงอยู่ของเต่า แน่นอนว่าย่อยสามารถสะกดพลังของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
ทว่าหากมันไม่ต้องการสังหารผู้ใด มันก็ย่อมสามารถระงับพลังของตนเองได้
กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน เขาหันไปกล่าวกับเต่ายักษ์ “ใบหยกวังสวรรค์ถูกทำลายลงแล้ว แต่ท่านได้โปรดให้ข้าผ่านเข้าไปด้วยเถอะ”
เต่าปฏิเสธทันที “ไม่มีใบหยก? งั้นเจ้าก็มิอาจเข้าสู่วังสวรรค์”
เต่ามองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจและกล่าว “ลืมมันซะเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็มีทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าไปในวังสวรรค์ได้ เฮ้อ…ข้าคงจำต้องส่งเจ้ากลับไป”
และแล้ววิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานก็มืดบอดลง
……………………