Ch.244 – พลาดโอกาสที่ดีที่สุด

Provider : Muntra

 

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.244 – พลาดโอกาสที่ดีที่สุด

 

“บัดซบ!”

 

เมื่อพลาดโอกาสที่ดีที่สุดไป ฉินเฟิงก็โมโหจนแทบทนไม่ไหว

 

แต่เรื่องนี้มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายคือเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญาในระดับราชันย์ ดังนั้นเลยไม่แปลกอะไรที่ฉินเฟิงจะไม่สามารถกำจัดมันได้อย่างง่ายดาย!

 

“จงกลับมา!”

 

เปลวเพลิงทั้งหมดโดยรอบถูกเรียกกลับคืน มังกรไฟเองว่ายวนในอากาศอีกเล็กน้อย ก่อนกลับเข้าสู่ร่างกายของฉินเฟิง

 

เมื่อไร้ซึ่งอบิลิตี้ ฝูงชนโดยรอบถึงค่อยกลับมาสูดลมหายใจได้อีกครั้งหนึ่ง

 

แรงกดดันของมัน น่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง

 

ผู้ชายคนนี้ ไม่คาดคิดเลยว่าจะครอบครองความแข็งแกร่งที่น่าตกตะลึง

 

ในผิงหยุนมีตัวตนทรงอำนาจถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

 

ในเวลาเดียวกัน สมาชิกของหน่วยลาดตระเวนที่เหลืออยู่แค่สามคน ทั้งหมดสบตากันด้วยใจที่สั่นสะท้าน ต่างมองมาทางฉินเฟิงด้วยความหวาดกลัว

 

พวกเขาไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมีหลายคนจู่ๆก็เลือกที่จะวิ่งหนีไป แต่ที่รู้แน่ๆ คืออำนาจของฉินเฟิงเป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวง

 

ทั้งสามไม่แน่ใจว่าสมควรทำอย่างไรดี

 

ในเวลานั้นเอง อีกสองสามร่างก็ถลาเข้ามาสมทบอย่างรวดเร็ว

 

ก่อนฉินเฟิงจะเกิดใหม่หลังจากรอยแยกปรากฏขึ้นในชุนชมผิงหยุน มันก็ถูกปิดลงทันทีเหมือนกัน แต่ปีศาจเสพวิญญาณสามารถซ่อนตัวได้เป็นอย่างดี ไม่เอะอะใดๆ ดังนั้นทุกคนเลยไม่มีใครสามารถตระหนักถึงมัน

 

แต่ปัจจุบัน ฉินเฟิงทำเสียงอึกทึกครึกโครม ตัวตนระดับสูงทั้งหมดของสถานชุมชนเลยรู้สึกตัว และพากันออกมา

 

คนควบคุมรถไฟของกลุ่มซ่งเฉิงที่กำลังหยุดพักผ่อนในศูนย์กลางการขนส่งก็มาด้วย เพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น

 

พอได้เห็นฉินเฟิงในฐานะผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล E ที่กำลังเรียกมังกรไฟขนาดใหญ่กลับคืน หัวใจของทั้งหมดก็ฟุ้งไปด้วยความตกใจ

 

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” 

 

“เป็นใครที่ทำให้ท่านผู้ใหญ่ต้องโกรธเคือง!”

 

“พวกแกรู้เรื่องอะไรบ้าง พูดมาให้หมด บอกมาว่าใครไปล่วงเกินท่านผู้ใหญ่คนนี้? ยังไม่ได้ไปลากตัวมันมาขอโทษอีก!”

 

เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาได้แต่ก้มหน้ารับคำตำหนิ อันที่จริงระดับสูงพอจะรู้คร่าวๆว่าเป็นฉินเฟิงนั่นแหละที่อาละวาด แต่เขาคือเลเวล E ทั้งยังเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ที่แข็งแกร่งมาก ดังนั้นไม่มีใครในผิงหยุนสามารถล่วงเกิน ทุกคนไม่กล้าตำหนิเขา

 

ในเวลานั้นเอง เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับคำถาม ทั้งยังเป็นเสียงที่คุ้นเคย

 

“ผู้ว่าการฉิน!”

 

ฉินเฟิงเลื่อนสายตาตามเสียง แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเป็นตันหยู

 

“ผู้ว่าการฉิน ทำไมคุณถึงมาที่นี่?”

 

เมื่อครึ่งเดือนก่อนในเมืองไห่ ตันหยูยังเรียกชื่อฉินเฟิงห้วนๆอยู่เลย แต่เวลานี้ เขาไม่กล้าอีกแล้ว!

 

เพราะฉินเฟิงสามารถสังหาร 8 วายร้ายจากองค์กรมืดได้ในคราวเดียว หลังจากนั้นสถานชุมชนเฟิงหลีก็ถูกผู้มีชื่อเสียงอย่างไซคลอปส์ , ปรมาจารย์หยิน และราชาคลั่งไปก่อกวน แต่ทั้งหมดถูกหั่นศีรษะโดยฉินเฟิง กลายเป็นรางวัลจากการต่อสู้ไปซะอย่างนั้น

 

ในเวลานี้ เลยมีผู้คนจำนวนมาก ต้องการไปช็อปปิ้งที่สถานชุมชนเฟิงหลี!

 

“ตันหยูงั้นหรอ? มาได้จังหวะพอดีเลย!”

 

แม้ฉินเฟิงจะเป็นเลเวล E แต่ก็ยังไม่มีอำนาจในการโน้มน้าวระดับผู้นำในผิงหยุนได้ เขาพูดอะไรไป คนอื่นๆอาจไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง

 

“กองทัพทุ่งล่าในเฉิงเป่ยได้แจ้งข้อมูลบางอย่างให้แก่ฉัน ฉันก็เลยตัดสินใจออกมายืดเส้นยืดสายสักเล็กๆน้อยๆ แล้วแวะผ่านมาที่นี่!”

 

ประโยคข้างต้น คือข้ออ้างที่ฉินเฟิงเตรียมเอาไว้

 

เป็นธรรมดาที่ตันหยูจะไม่สงสัย เขาเร่งถามต่อ “ว่าแต่ก่อนหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”

 

ตันหยูไม่นึกเลยว่าฉินเฟิงจะถึงขั้นใช้ไม้ตายอย่างเทคนิคมังกรไฟ

 

เพราะนี่คือเทคนิคอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้ใช้อบิลิตี้ มันจำเป็นต้องใช้พลังสมาธิมหาศาลในการเรียกมังกรแต่ละครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ตันหยูไม่รู้ก็คือ เทคนิคมังกรไฟน่ะมันยากสำหรับคนอื่นๆ แต่เป็นเรื่องง่ายสำหรับฉินเฟิง ดังนั้นหากคิดจะใช้มันเมื่อไหร่ ก็สามารถทำได้อย่างอิสระ!

 

เมื่อได้ยินตันหยูเอ่ยถาม ฉินเฟิงก็อธิบายออกไปทันที “มีการแจ้งเตือนจากอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติ ฉันเองก็รู้สึกถึงอันตราย เลยแวะมาดู และดันพบกับเผ่าพันธุ์ต่างมิติที่มีสติปัญญาระดับสูง!”

 

“ว่ายังไงนะ!?”

 

เวลานี้ ไม่เพียงตันหยูที่ตกใจ กระทั่งผู้คนรอบๆที่กำลังรับฟัง ต่างก็ตะลึงงัน เพราะเผ่าพันธุ์ที่ครอบครองสติปัญญาระดับสูง ถือเป็นการดำรงอยู่ที่น่ากลัวมาก

 

“แล้วศัตรูคือตัวอะไร?”

 

บางคนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

 

ฉินเฟิงกล่าวเสียงหม่น “มันคือปีศาจเสพวิญญาณเลเวล E3 , ทรงภูมิปัญญา , ไม่หวาดกลัวการโจมตีทางกายภาพใดๆ แต่มันแพ้อบิลิตี้ไฟและแสง ยังไงก็เถอะ สำหรับพวกคุณ คงไม่อยากรู้มากไปกว่านี้!”

 

ฉินเฟิงสูดหายใจลึก และเอ่ยปากอีกครั้ง “เพราะปีศาจเสพวิญญาณที่ว่า มันอยู่ในระดับราชันย์!”

 

ระดับราชันย์!?

 

ได้ยินสองคำนี้ ฝูงชนก็แทบลืมหายใจ

 

เพราะกระทั่งสัตว์ร้ายเลเวล E ระดับสามัญ พวกเขายังต้องถึงขั้นต้องใช้ปืนใหญ่ป้องกันเมืองเพื่อสังหารมัน และที่สำคัญก็คือ ผู้ใช้พลังที่แข็งแกร่งที่สุดในชุนชมผิงหยุนอยู่แค่ในเลเวล F เท่านั้น

 

หมายความว่าผู้คุมรถไฟ หรือหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน ก็ไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่าย

 

ซึ่งตอนนี้ ฉินเฟิงได้บอกกับพวกเขาออกไป ว่าเผ่าทรงภูมิปัญญาเลเวล E ที่บุกเข้ามา เป็นระดับราชันย์!

 

แค่ได้ยินชื่อก็น่าหวาดกลัวมากพอแล้ว

 

พวกเขาไม่กล้าที่จะจินตนาการเลย ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ทั้งหมดต่างรู้สึกราวกับมีกิโยตินห้อยอยู่เหนือศีรษะ พร้อมสะบั้นลงมาตลอดเวลา

 

“มีใครเห็นหรือรู้จักคนสุดท้ายที่วิ่งหนีไปไหม? พวกเราต้องเริ่มตามหาตัว และพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นอยู่ใกล้เขา! ไม่อย่างนั้นคนอื่นๆอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้!” ฉินเฟิงถามหน่วยลาดตระเวน

 

แต่ในเวลานั้นเอง ฟางหยูที่สั่นไปทั้งกายได้เอ่ยปากออกมา “ไม่ว่าจะฉันหรือคุณต่างก็รู้จักเขา … เป็นกวงเสี่ยวกัง!”

 

–ที่แท้คนสุดท้ายที่ถูกปีศาจเสพวิญญาณเข้าสิง และสามารถหลบหนีไปได้ก็คือกวงเสี่ยวกัง!

 

ชายคนนี้เป็นหนึ่งในชาวมุง ณ ที่เกิดเหตุ คือตัวตนที่ครอบครองสถานะแข็งแกร่งที่สุดรองลงมาจากเฉียนหยวนซึ่งกำลังบาดเจ็บอยู่

 

และผลสุดท้าย ก็ตกเป็นภาชนะให้กับปีศาจเสพวิญญาณ

 

สีหน้าของฉินเฟิงหม่นทะมึนลง

 

“ฉันจำได้ว่าเคยบอกให้ไปให้พ้นแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมยังไม่รีบไปกันอีก?”

 

เวลานี้ ไม่ใช่แค่พี่น้องฟาง กระทั่งเฉียนหยวนก็ไม่กล้าเอ่ยปาก

 

ก็พวกเขาอยากจะรู้นี่นาว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะจู่ๆฉินเฟิงก็ทิ้งพวกเขาไปจากห้องอาหาร สุดท้ายพอเจอฉินเฟิงอีกทีก็เห็นว่าเขากำลังต่อสู้กับปีศาจเสพวิญญาณแล้ว

 

และใครมันจะไปคิดกัน ว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตนั่น จะเป็นระดับราชันย์

 

ทว่าเมื่อลองย้อนนึกดูดีๆว่าฉินเฟิงสามารถโค่นระดับราชันย์ลงได้ นี่มิได้หมายความว่าเขาคือการดำรงอยู่ที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าหรอกหรือ?

 

ชายที่ชื่อฉินเฟิง จริงๆแล้วเป็นใครกันแน่?

 

“ตอนนี้ปีศาจเสพวิญญาณไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นพวกเธอต้องรีบออกจากผิงหยุน ไม่อย่างนั้น จะตายเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลา!” 

 

“แต่ … ” ฟางหยูลังเลอย่างเห็นได้ชัด เพราะพวกเธอเพิ่งเผชิญหน้ากับนายพลสัตว์ร้ายในทุ่งล่ามา อีกทั้งเวลานี้ก็เริ่มมืดแล้ว มิอาจรับประกันได้ว่าจะเจอสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าหรือไม่ ฉะนั้นไม่อยากจะเสี่ยงใดๆ

 

“มิสเตอร์ฉิน ให้พวกเราติดตามคุณไปด้วยเถอะ แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า!” ฟางหลิงกล่าวเสริม

 

ฉินเฟิงหัวเราะเย็นชา “จะตามฉันมา? ตามมาแล้วกลายเป็นตัวเกะกะเหมือนกับกวงเสี่ยวกังเมื่อกี้ใช่ไหม? รู้รึเปล่าว่าต่อให้ฉันจับตัวปีศาจเสพวิญญาณได้ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเธอในตอนนี้ ถึงจับมันไปย่างกิน ก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากนักหรอก!”

 

ฉินเฟิงประชดประชัน เขาทราบดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่แค่หวาดกลัว แต่ยังต้องการผลประโยชน์แอบแฝง 

 

ขณะนั้นเอง ใครบางคนก็เอ่ยแทรกขึ้นมา

 

“สวัสดีท่านผู้ใหญ่ ฉันคือผู้นำของชุมชนผิงหยุน ชื่อว่าหยูกัง”

 

ชายร่างท้วมก้าวแทรกเข้ามาพร้อมตราโลโก้เลเวล F8 ที่โชว์หราบนหน้าอก เขามีอายุอย่างน้อยน่าจะสัก 40 – 50 ปี แม้ว่าจะยังคงมีกำลังภายในอยู่ แต่ฉินเฟิงสามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายค่อนข้างละเลยการออกกำลังกาย!

 

ฉะนั้นในฐานะผู้นำ คงมิใช่รับผิดชอบในการต่อสู้ แต่เป็นทางด้านธุรกิจซะมากกว่า

 

อีกทั้งเขายังเป็นดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการของกลุ่มซ่งเฉิน 

 

เวลานี้ตามตัวหยูกังส่งกลิ่นฉุนของยาสูบและแอลกอฮอล์ ระคายจมูกสิ้นดี

 

“สวัสดี ผมชื่อฉินเฟิง เป็นผู้นำของสถานชุมชนเฟิงหลีภายใต้เขตอำนาจของเมืองเฉิงหยาง” ฉินเฟิงยื่นมือไปเชคแฮนอีกฝ่าย กล่าวแนะนำตัว

 

“เฟิงหลี?” ได้ยินสองคำนี้ แววตาของหยูกังก็เบิกกว้างทันใด —เนื่องจากโฆษณาของสถานชุมชนเฟิงหลีเมื่อไม่นาน ทำให้ทางผิงหยุนเองก็ได้รับออเดอร์มากมายให้ไปส่งที่เฟิงหลี

 

“ยินดี … ยินดีที่ได้รู้จัก!” หยูกังเชคแฮนด์อย่างแรง เขย่าไม่หยุด