ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 25 ชายหนุ่มในชุดแต่งงาน (1)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ทั้งสองใช้วิชาตัวเบากลับถึงเรือนข้าง น้ำชาบนโต๊ะเพิ่งเปลี่ยนไป พวกหลิงหลงกำลังรอแทบทนไม่ไหว เห็นทั้งสองเดินเข้าประตูมา ก็รีบเข้าไปรุมล้อมถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวอันใดมา” 

 

อวี่ซือเฟิ่งโบกมือบอกพวกเขาให้เบาหน่อย เดินไปด้านในจึงยิ้มกล่าวว่า “เรื่องใหญ่ไม่เบา ที่แท้เซียนหญิงนั่นร้ายกาจยิ่งกว่าผู้ชาย ทุกปีแต่งสามีถึงสี่คน!” 

 

เขาเล่าเรื่องที่แอบฟังจากโถงกลางเมื่อครู่ หลิงหลงฟังจนอ้าปากค้าง กล่าวติดๆ กันว่า “มีเรื่องเช่นนี้ด้วย! เซียนหญิงนั่นเป็นปีศาจดังที่คาดไว้หรือ” 

 

เสวียนจีกล่าวว่า “ว่าไปแล้ว เช้าวันนี้ตอนอยู่ที่ศาลบรรพชนนั่น ตอนเซียนหญิงมา ข้าราวกับได้กลิ่นอายปีศาจ” 

 

จงหมิ่นเหยียนขมวดคิ้ว “กลิ่นอายปีศาจได้กลิ่นได้ด้วย? เช่นนั้นเจ้าลองบอกมาหน่อยว่าแท้จริงกลิ่นอันใด” เขาแต่ไรไม่เคยรู้ว่ากลิ่นอายปีศาจรับรู้จากกลิ่นได้  

 

เสวียนจีตะลึงไปครู่หนึ่ง “เอ๋ กลิ่น…” นางกล่าวไม่ถูกว่ากลิ่นอันใด แต่ได้กลิ่นก็น่าจะรู้เองกระมัง  

 

“แต่ไรมาพวกเจ้าไม่เคยได้กลิ่นกลิ่นอายปีศาจหรือ” 

 

จงหมิ่นเหยียนหัวเราะดัง “ข้าไม่เคยดม และไม่เชื่อว่าผู้ใดดมได้” เขาดีดหน้าผากเสวียนจีเบาๆ ทีหนึ่ง พลางหัวเราะว่า “เหตุใดเจ้ามักมีเรื่องประหลาดมากมายเช่นนี้เรื่อย เป็นเด็กประหลาดจริง” 

 

เสวียนจีคลำหน้าผากงุนงง 

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “กลิ่นอายปีศาจย่อมได้กลิ่นได้ บำเพ็ญเพียรขั้นสูงก็ย่อมรู้สึกได้ เอาว่าไม่รู้ว่าเซียนหญิงนั่นใช่ปีศาจหรือไม่ แต่หากเป็นเซียนจริง ทำเรื่องเช่นนี้ พวกเราก็ไม่อาจปล่อยไปง่ายๆ ได้” 

 

จงหมิ่นเหยียนพยักหน้า “ผู้บำเพ็ญเซียนก็ควรกำจัดปีศาจกำราบมาร ขจัดโพยภัยให้ปวงประชา!” 

 

เขายิ้ม สบตากับอวี่ซือเฟิ่ง ล้วนนึกถึงเรื่องราวปฏิบัติการไข่มุกเมื่อสี่ปีก่อน ยังมีประโยคหนึ่งที่ปรีดายิ่งว่า พวกเราเป็นวีรบุรุษ! 

 

ใช่ พวกเราเป็นวีรบุรุษ ตอนนี้ก็ต้องเป็นวีรบุรุษกันต่อไป 

 

ในเมื่อมั่นใจว่าจะต้องช่วยชาวเมืองจงหลี ทั้งห้าก็ร่วมกันมารวมหัวกันหารือแผนรับมือ ต้องหาวิธีการที่ปลอดภัยที่สุด ไม่ถูกเซียนหญิงนั่นพบเข้า 

 

ขณะกำลังหารือกันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากระเบียงทางเดินด้านนอก ทุกคนรีบกลับไปนั่งที่เดิม ยกชาขึ้นจิบวางท่าทางสบายอารมรณ์ นาทีต่อมาก็มีคนผลักประตูอย่างแรง คนทั้งกลุ่มกรูกันเข้ามา คุกเข่าลงกับพื้น พลางสะอื้นไห้ว่า “ขอจอมยุทธ์ทุกท่านช่วยชีวิตด้วย! ช่วยชีวิตด้วย!” 

 

อย่างไรพวกเขาก็ยังเป็นหนุ่มสาวอายุน้อย ไหนเลยเคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้ รีบเข้าไปประคองทุกคนให้ลุกขึ้น รั่วอวี้ยิ้มกล่าวว่า “ทุกท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ มีความทุกข์อันใดก็ขอให้กล่าวมา พวกเรายินดีช่วยอย่างเต็มที่” 

 

นายท่านฟางเล่าด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นขึ้น ดังคาด เขาเล่าเรื่องราวเซียนหญิงมารอบหนึ่ง สุดท้ายยังโขกศีรษะกับพื้น ขอร้องว่า “เซียนหญิงผู้นั้นเป็นผู้รู้ทุกสิ่งจริงๆ ชาวบ้านอย่างพวกเราไม่กล้ามีเรื่องขัดแย้งด้วย ขอจอมยุทธ์เมตตา ช่วยพวกข้าน้อยด้วย!” 

 

อวี่ซือเฟิ่งก้าวเข้าไปรั้งตัวเขาเบาๆ ประคองเขาให้ลุกขึ้นยืน พลางกล่าวว่า “ท่านอาลุกขึ้นก่อน ทุกท่านวางใจ พวกเราต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่างอย่างแน่นอน คืนความสงบสุขสู่เมืองจงหลี!” 

 

กล่าวจบเขาก็เดินไปหน้าชายหนุ่มทั้งสี่ สำรวจมองขวาทีซ้ายที มองบนมองล่างอยู่เป็นนาน พลันดึงฟางอี้เจินออกมาด้านหน้า หันกลับไปถามจงหมิ่นเหยียน “ข้ากับเขา รูปร่างใกล้เคียงไหม” 

 

จงหมิ่นเหยียนเข้าใจความคิดเขานานแล้ว ยิ้มกว้างเดินเข้าไปพร้อมกับรั่วอวี้ แต่ละคนลากมาอีกคนหนึ่ง ถามว่า “รูปร่างใกล้เคียงพวกเขาไหม” 

 

คนที่เหลือเข้าใจความหมายทันที มองพวกเขาอย่างงุนงง หลิงหลงตบมือร้อนใจกล่าวว่า “โอ๊ย จริงๆ เลย! คืนพรุ่งนี้เซียนหญิงก็จะมารับคนแล้ว ก็ให้นางรับพวกเราไปอย่างไร! พวกเจ้าแต่ละคนก็เอาลูกชายตัวเองไปซ่อนให้ดี อย่าให้นางพบ!” 

 

ทุกคนจึงพลันระลึกได้ รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างที่สุด บ้างก็โขกศีรษะ บ้างก็ร่ำไห้กล่าวไม่หยุดก็มี พลันวุ่นวายไปหมดทั้งห้อง เสียงดังโหวกเหวกไปหมด 

 

พวกอวี่ซือเฟิ่งกว่าจะคุยให้บรรดาผู้อาวุโสที่ตื่นตระหนกพวกนี้ออกไปได้ก็เป็นนาน นายท่านฟางย่อมต้องอยู่ก่อน สั่งการให้บ่าวรับใช้จัดงานเลี้ยง ทำความสะอาดห้องรับรองที่ดีที่สุด อยากจะยกห้องตนเองให้พวกเขาไปเสียเลย 

 

มีแต่นายท่านจวงที่ยังเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ ที่แท้พวกเขาห้าคนมีเพียงสามคนที่เป็นชาย ที่เหลืออีกคนจึงไม่มีคนแทน หลิงหลงเห็นจวงจิ่งตระกูลเขาร้องไห้จนน่าสงสาร จึงได้ออกตัวอย่างกล้าหาญ ตบหน้าอกกล่าวว่า “ข้าไปแทนเขาเอง! เห็นข้าอย่างนี้ ข้าก็มีความสามารถมากนะ!” 

 

รั่วอวี้ส่ายหน้า “ไม่ได้ หน้าตาหลิงหลงแต่งชาย เกรงว่าไม่เหมือน และเจ้าก็ซุกซนยุกยิกเกินไป…” 

 

หลิงหลงร้อนใจกระทืบเท้ากล่าวว่า “ไม่เหมือนตรงไหน! ซุกซนยุกยิกตรงไหน!” 

 

“ตรงไหนก็ใช่…” อวี่ซือเฟิ่งพึมพำเบาๆ สี่ปีแล้ว นางมารยังคงเหมือนเดิม ราวกับกระบอกประทัด จุดทีก็ระเบิดตูม 

 

“เจ้าว่าอะไรนะ!” ดังคาด หลิงหลงถลึงตาใส่ทันที อวี่ซือเฟิ่งรีบก้มหน้าแสร้งทำหูหนวกเป็นใบ้ต่อ ไม่กล่าวอันใดอีก 

 

“ข้าว่า เสวียนจีเหมาะกว่าหน่อย” รั่วอวี้ดันจวงจิ่งไปหน้าเสวียนจี เทียบไปมา “แม้ว่ารูปร่างต่างกันอยู่ แต่เสริมรองเท้าให้สูงอีกหน่อย ยามค่ำคืนมืดมิดก็คงมองไม่ออก” 

 

เสวียนจีกำลังดีใจที่ตนไม่ต้องทำอันใด พอได้ยินเขาเสนอตนขึ้นมา ก็รีบโบกมือ “ข้า…ข้าไม่เอา! ให้หลิงหลงไปสิ นางชอบเรื่องพวกนี้…” 

 

รั่วอวี้กล่าวจริงจังว่า “นี่เป็นคุณธรรมแห่งการผดุงความเป็นธรรม เสวียนจี คิดปฏิเสธหรือ” 

 

ราวหมวกใบใหญ่มากครอบลงหัวนาง อา…เสวียนจีหน้าบึ้ง ราวกับว่าหากไม่รับก็เป็นพวกไม่ผดุงความเป็นธรรม 

 

“ตกลงเช่นนี้ละกัน! เสวียนจี เจ้าแต่งเป็นจวงจิ่ง หลิงหลงเจ้าเป็นกองหลัง ถึงตอนนั้นลอบขึ้นเขา จำไว้ว่าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น จะได้ไม่ทำให้เซียนหญิงนั่นต้องลงมือก่อน อย่างไรก็เป็นพื้นที่นาง พวกเราต้องระวังรอบคอบ” 

 

จงหมิ่นเหยียนโบกมืออย่างไม่สนใจอันใดอีก กำหนดแผนเรียบร้อย เสวียนจีขยับปาก แต่สุดท้ายก็มิได้ปฏิเสธ ได้แต่ยอมรับข้อเสนอไปเงียบๆ 

 

ยามนี้บรรดาแขกและเจ้าบ้านต่างยินดีปรีดาแท้จริง งานเลี้ยงเริ่มดำเนินการถึงยามพระจันทร์ขึ้นสูงกลางท้องฟ้า แม้แต่เสวียนจีก็ดื่มไปมาก กุมใบหน้าร้อนผ่าว หน้าตางุนงงไม่เข้าใจ วิ่งไปมองพระจันทร์กลางลาน 

 

คืนนี้จันทร์เพิ่งเริ่มรอบใหม่ เป็นจันทร์เสี้ยวแขวนบนท้องฟ้า โค้งๆ ราวกับขนมเปี๊ยะย่างที่ถูกคนกัดไปคำใหญ่ เสวียนจีแอบคิดเงียบๆ ร่างกายโงนเงน ไม่สนใจว่าพื้นเย็น พิงตัวเข้ากับเสาระเบียง ท่าทางสะลึมสะลืออยากจะนอน 

 

พลันได้ยินเสียงคนกระซิบกระซาบเบาๆ อยู่ด้านหน้า เหมือนว่าเป็นเสียงหลิงหลง นางกำลังยิ้ม ยิ้มหวานมาก 

 

“…น่ารังเกียจ…ขี้เกียจสนใจเจ้าละ!” 

 

เสวียนจีลืมตามอง เห็นเงาสองคนไปมาอยู่ตรงหน้าระเบียง ท่ามกลางมวลดอกไม้ใต้แสงจันทร์นี้ ย่อมเป็นบรรยากาศหอมละมุน นางรู้ว่าไม่ควรอยู่ต่อ กำลังจะลุกขึ้นหลบออกไป ก็เห็นหลิงหลงยืนขึ้นบิดขี้เกียจ กล่าวว่า “ข้าง่วงแล้ว เจ้าก็เข้านอนเร็วหน่อย พรุ่งนี้ยังมีงานต้องทำ” 

 

กล่าวจบนางก็กลับห้องตนเองไป เสวียนจีเห็นจงหมิ่นเหยียนอยู่ต่อคนเดียว ยิ่งรู้สึกไม่อาจอยู่ต่ออีก รีบลุกขึ้นจะเดินกลับ เพิ่งก้าวได้ก้าวเดียว ก็ได้ยินจงหมิ่นเหยียนทักว่า “เอ๋ เสวียนจี?” 

 

นางตัวแข็งค้าง ได้แต่หันกลับมาแต่โดยดี ทักขึ้นเสียงหนึ่ง “ศิษย์พี่หก” นางค่อยๆ เดินมาช้าๆ เห็นจงหมิ่นเหยียนนอนหงายอยู่ที่พื้น มือรองไว้ที่ท้ายทอย น่าจะดื่มมากไปแล้ว แววตาดูคมปลาบกว่าปกติ ราวกับมีกระแสไฟฟ้าเยียบเย็น 

 

“เจ้ารู้ว่าเป็นข้าได้อย่างไร” นางถาม เมื่อครู่นางมั่นใจว่าไม่ได้ส่งเสียงออกไปสักแอะ  

 

จงหมิ่นเหยียนยิ้มเล็กน้อย “ตัวเจ้าพกถุงหอมดอกหลันฮวา กลิ่นนั้นพอดมก็รู้ว่าเป็นเจ้า” 

 

เช่นนี้หรือ? นางคว้าถุงหอมมาดม ก็ไม่ได้กลิ่นอันใดเป็นพิเศษ 

 

เหมือนเขารู้สึกว่าวาจาเมื่อครู่ดูสนิทสนมเกินไป กระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง ก่อนจะวางท่าทางเป็นการเป็นงานกล่าวว่า “ดึกแล้วทำไมไม่ไปนอน ปกติเจ้าไม่ใช่ว่าขึ้นเตียงนอนแต่หัววันหรือ” 

 

เสวียนจี “อ้อ” ขึ้นเสียงหนึ่ง เกาศีรษะ “ดื่มมากไป อยากออกมาตากลมหน่อย” 

 

จงหมิ่นเหยียนไม่กล่าวอันใด เสวียนจีเองก็ไม่รู้กล่าวอันใด ทั้งสองหนึ่งเอนนอนหนึ่งยืน เงียบเป็นนาน ในที่สุดยังคงเป็นเสวียนจีอดไม่ได้กล่าวว่า “ข้าไปนอนดีกว่า” 

 

“เอ๋ รอก่อน…” จงหมิ่นเหยียนพลันเรียกนางไว้ 

 

เสวียนจีหันกลับมา ใบหน้าเขาในความมืดดูเลือนราง สีเพียงสองตาส่องกระจ่าง มองแล้วน่าตกใจอยู่สักหน่อย  

 

“เจ้า…คือว่า…” จงหมิ่นเหยียนคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็หาประเด็นเจอ “คืนพรุ่งนี้พวกเราไปเขาเกาซื่อซาน เจ้าตามอยู่หลังข้า อย่าวิ่งไปมา อย่าส่งเสียง รู้ไหม” 

 

เสวียนจีพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง 

 

“หากเจออันตรายใด ต้องเรียกพวกเรา รู้ไหม” 

 

พยักหน้าอีก 

 

“เรียกให้เจ้าหนี เจ้าก็หนีก่อน เรียกให้เจ้าหลบ เจ้าก็หลบ อย่าได้ฝืน เข้าใจไหม” 

 

ยังคงพยักหน้า 

 

จงหมิ่นเหยียนพลันหันไปถลึงตาใส่นาง “เจ้าเอาแต่พยักหน้า จริงๆ แล้วไม่ได้ฟังเข้าหูเลยล่ะสิ” 

 

“เปล่านะ” นางตอบเสียงนิ่ง “ข้าฟังอยู่” 

 

จงหมิ่นเหยียนมองนางอย่างสงสัยเป็นนาน พลันยิ้มเล็กน้อย กางมือออกลงนอนแผ่บนพื้น พลางกล่าวเบาๆ ว่า “คนเช่นเจ้านี่นะ เฮ้อ คนเช่นเจ้านี่นะ…โลกนี้ไยจึงมีคนเช่นเจ้ากัน” 

 

เขาส่ายหน้ายิ้มทอดถอนใจ 

 

เสวียนจีอึ้งไป พลันกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้ารังเกียจข้าหรือ” 

 

“ไม่ ไม่ได้รังเกียจ” เขาส่ายหน้า หรี่ตามองราวกับคิดหนัก ครู่หนึ่งจึงได้กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้า เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะอยู่ร่วมกับคนเช่นเจ้าได้อย่างไร ผู้ใดกล่าวว่า…ข้ารังเกียจเจ้าเล่า” 

 

เสวียนจีเงียบไป ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงหันกายจะจากไป กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าง่วงแล้ว ไปนอนละ ศิษย์พี่หกนอนให้เร็วหน่อยล่ะ” 

 

เหมือนเขาดื่มมากไปหน่อย คืนนี้จึงกล่าววาจากับนางมากมายเช่นนี้ คิดดูดีๆ แต่เล็กจนโต เขาแทบไม่ได้คุยกับตนดีๆ เช่นนี้สักครั้ง พวกเขาสองคนมักจะกล่าวไม่กี่คำก็ไร้วาจาจะกล่าว ไม่ใช่เขาโมโหก็เป็นนางอึดอัด 

 

“ฉู่เสวียนจี” เขาเรียกขึ้นอีกครั้ง ท่าทางสับสนเล็กน้อย “ความลับนั่นของเจ้า…วางใจ ข้า…ผู้ใดก็ไม่รู้…เจ้า ที่แท้เจ้าเป็น…” 

 

“อันใด” เสวียนจีแปลกใจมาก หันไปมอง เขาหลับไปแล้ว 

 

ดังคาด ดื่มมากไปแล้ว เสวียนจีได้แต่ไปตามพวกรั่วอวี้มาลากเขากลับห้อง ก่อนตนเองจะกลับเข้าไปพักผ่อน