แต่ในตอนนั้นเอง อวี่เหวินซวนหันไปแนบตัวติดฝาเหล็กอีกครั้ง ไม่นานก็หันกลับมาพูดอย่างตื่นเต้น “ถ้าอย่างนั้น…พวกนายอยากไปดูตอนนี้ไหมล่ะ?”
ตอนนี้? ไปไหน?
พอเห็นอวี่เหวินซวนทำท่าชี้ออกไปข้างนอก สวี่ซูหานก็ใจเต้น “ตึกตัก” ขึ้นมาทันที
จบกัน หมอนี่ยังไม่คิดจะหยุดอีก…ถึงแม้ไม่รู้ว่าเขาได้ยินเสียงอะไรจากการยืนเงี่ยหูฟังอยู่ตรงนั้นบ้าง แต่แค่เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งกับสภาพเปื้อนโคลนทั้งตัวของเขา เธอก็รู้ทันทีว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน…
แต่เธอยังไม่ทันพูดอะไร หลิงม่อที่อยู่ใกล้ๆ ก็พูดขึ้นมาก่อนว่า “เดี๋ยวก่อน”
หื้ม? หลิงม่อจะห้ามเขาหรอ? ดีแล้ว…สวี่ซูหานถอนหายใจ
เมื่อกี้เรื่องที่เธอกังวลมากที่สุด ก็คือหลิงม่ออาจบ้าไปกับเจ้าเฟิ่งจื่อคนนั้นด้วย…พวกนายมาตามหากันไม่ใช่หรอ? ตอนนี้คนก็หาเจอแล้ว รีบหันมาหาทางออกกันดีกว่า
“เป็นอะไรไป?” อวี่เหวินซวนชะงัก ถามขึ้น
หลิงม่อดุนคาง ทำหน้าครุ่นคิด พลางบอกว่า “ทางออกก็อยู่ข้างหน้าด้วยหรือเปล่า?”
…นายอยากไปกับตาบ้านี่จริงๆ ด้วยสินะ! ไม่ใช่แค่อยากไป แต่ยังยกข้ออ้างสั่วๆ แบบนี้ขึ้นมาพูดอีก!
สวี่ซูหานรู้สึกหมดแรงขึ้นมาทันที พลางพึมพำเสียงเบา “จะเป็นไปได้ยังไง…”
“แต่ตลอดทางมานี้เราก็ไม่เห็นเลยไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อหูไวได้ยินเสียงเธอพึมพำ จึงรีบเสนอความคิดของตัวเอง
“ไม่ใช่ว่าเราเดินมาผิดทางหรอกหรอ!” สวี่ซูหานกัดฟันกรอด ทว่าประโยคนี้เธอกลับไม่ได้พูดออกมา เพราะหากพูดให้ถูกต้องแล้ว พวกเขาล้วนถูกหลอกล่อให้เข้ามาที่นี่…ทางออกที่พวกของถังฮ่าวเตรียมไว้ไม่มีทางอยู่ในสถานที่อย่างนี้แน่นอน แต่ที่หลิงม่อพูดเขาไม่ได้หมายถึงทางออกที่พวกนั้นสร้างขึ้นเท่านั้น แต่หมายถึงทางออกอื่นด้วย…
ที่นี่มีอาคารบ้านเรือนแออัด มีทั้งอาคารพาณิชย์และที่อยู่อาศัย ดังนั้นเครือข่ายท่อน้ำทิ้งใต้ดินจึงตัดผ่านและเชื่อมต่อกันระโยงระยาง ไม่แน่ว่าอาจบังเอิญเจอฝาท่อเข้าที่ไหนซักแห่งก็ได้
เพียงแต่เรื่องแบบนี้หากคิดในใจดูเป็นเรื่องง่ายๆ ต่างกับเวลาที่อยู่ในท่อน้ำทิ้งที่ทั้งลึกและมืด แถมยังมีสัตว์ประหลาดวิ่งเพ่นพ่านไปทั่วอย่างนี้ ก็จะรู้สึกได้ด้วยตัวเองอย่างชัดเจน…ฝาท่อมีน้อยเกินไปแล้ว! ไอ้ฝาท่อที่เหลือบเห็นเวลาเดินอยู่บนถนนตลอดพวกนั้นหายไปไหนแล้วล่ะ! เวลาต้องการพวกแกหายไปไหนกันหมด หา!
…บ่นก็ส่วนบ่น แต่เพื่อหยุดความคิดของสองคนนี้ สวี่ซูหานได้แต่อดทนพูดอย่างใจเย็นว่า “บุ่มบ่ามเข้าไปมันอันตรายมาก…”
“ย้อนกลับยิ่งอันตรายกว่า” อวี่เหวินซวนกลับตัดบทเธอตรงๆ
และไม่คิดว่าหลิงม่อก็พยักหน้า พูดอย่างเห็นด้วยว่า “ใช่แล้ว ถึงพวกเราจะไม่รู้จักที่นี่ แต่อย่างน้อยพวกเราก็รู้ว่า ระหว่างทางย้อนกลับไปมีอันตรายซ่อนอยู่มากมาย ถึงแม้เราจะผ่านไปได้อย่างปลอดภัย แต่ข้างหน้านั้นก็ยังมีสัตว์ประหลาดรอพวกเราอยู่อีกหนึ่งฝูง ไม่ใช่แค่พวกมัน แต่ยังมีพวกของเจ้า ‘โอเบลิสก์’ ตัวนั้นอีก อย่าลืมสิ เมื่อกี้มันยังพูดขู่พวกเราอยู่เลย”
“…” เถียงไม่ออกเลยจริงๆ!
“นอกจากนี้ ฉันสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดที่นี่ อาจเกี่ยวข้องกับพวกถังฮ่าวก็ได้” หลิงม่อพูดขึ้น
สวี่ซูหานชะงักค้าง แต่อวี่เหวินซวนกลับงุนงง
หลิงม่อโบกมือไปมา พูดต่อว่า “เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เพราะฉันเองก็เพิ่งค้นพบเบาะแสเล็กน้อยเท่านั้น แต่การที่ฉันเจอเบาะแสที่เกี่ยวข้องกันระหว่างซอมบี้กับมนุษย์อย่างนี้ ฉันเชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน ว่าไหม?”
ทั้งสองนิ่ง ไม่นานก็พากันพยักหน้า
เป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ แค่เรื่องที่หาเบาะแสนี้พบ ก็บ่งบอกถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว
ถ้าไม่อย่างนั้นหากอยู่ในสถานการณ์ปกติ มนุษย์เป็นแค่อาหารของสัตว์ประหลาด กฎข้อนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแน่นอน อย่าว่าแต่เบาะแสเลย แค่เจอโครงกระดูกซักชิ้นก็ถือว่าไม่เลวแล้ว…
ปัญหาคือ เธอเดินมากับเขาตลอดทาง แต่ทำไมถึงไม่ตระหนักถึงข้อนี้เลยล่ะ? หรือเธอพลาดอะไรไปงั้นหรอ? สวี่ซูหานขมวดคิ้ว กระทั่งอดคิดในใจไม่ได้ว่า ‘หลิงม่อ นี่นายกับฉันลงมาในท่อน้ำทิ้งเส้นเดียวกันไหมเนี่ย…’
“เรื่องนี้เอาไว้ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน…” พูดถึงตรงนี้ อยู่ๆ หลิงม่อก็หันไปมองอวี่เหวินซวน ถามว่า “นายอธิบายเรื่องของนายมาให้รู้เรื่องก่อน แล้วพวกเราค่อยตัดสินใจกันว่าจะออกไปดูไหม”
“นาย…ปัดโถ่!” อวี่เหวินซวนดูท่าไม่อยากเสียเวลาแม้แต่น้อย แต่สุดท้ายเขาก็ยอมหมุนตัวมา แล้วบอกว่า “ถ้าฉันบอกว่าฉันถูกลากมาที่นี่ พวกนายจะเชื่อไหม?”
“ลาก?”
หลิงม่อกับสวี่ซูหานทำตาโตพร้อมกัน
คำตอบนี้อยู่เหนือความคาดหมายไปเล็กน้อย!
“ฉันไม่รู้ว่าพวกนายมาได้ยังไง แต่หลิงม่อมีพลังจิต น่าจะช่วยได้บ้างใช่ไหมล่ะ? ตอนที่ฉันถูกลอบโจมตี ฉันก็หมดหนทางขัดขืนแล้ว” ปากพูดอย่างนั้น แต่น้ำเสียงของอวี่เหวินซวนกลับยังคงเหมือนเดิม “พวกนายก็น่าจะได้ยินเสียงนั้นแล้วใช่ไหม? ฉันเองก็เดินตามเสียงนั้นอยู่นาน ถึงได้รู้สึกตงิดๆ ขึ้นมา แต่ตอนนั้นฉันยังไม่ค่อยแน่ใจ แล้วก็ไม่กล้าทดสอบสุ่มสี่สุ่มห้าด้วย…ใครจะไปรู้ล่ะว่าสถานการณ์ของอีกฝ่ายจะเป็นยังไง? เกิดถ้ามันมีหลิงม่ออยู่ในกำมือจริงๆ งั้นถ้าฉันพรวดพราดออกไป ไม่เท่ากับเป็นการพาหลิงม่อซวยหรอ?”
“เหลือเชื่อที่นายรู้จักคำว่าพาซวยกับเขาด้วย…” หลิงม่อพูดขึ้นจากอีกฝ่าย
อวี่เหวินซวนกระแอมเบาๆ ทำเมินคำถากถางของหลิงม่อแล้วพูดต่อว่า “ดังนั้น ฉันจึงคิดหาวิธีมากมาย จนสุดท้ายหนีรอดจากมันมาได้ แต่ในตอนที่ฉันคิดว่ารอดจากมันแล้ว ข้างหน้ากลับมีเงาคนคนหนึ่งปรากฏขึ้น คนคนนั้นถูกฉันวิ่งชนเต็มๆ เขากำลังยืนหันหลัง ชะโงกหน้ามองงเข้าไปในช่องทางเดิน ฉันกำลังคิดจะพุ่งเข้าไปจัดการเขา แต่เขากลับกระโจนออกไปอย่างกะทันหัน ฉันเห็นเหมือนมันกำลังวิ่งตามอะไรบางอย่างอยู่ ความเร็วของมันไม่เลวเลยทีเดียว ฉันเลยได้แต่วิ่งตามมันห่างๆ อยู่ข้างหลัง จากนั้น…”
พูดถึงตรงนี้ เขากลับทำหน้าลำบากใจ แล้วพูดอึกอักต่อว่า “หลังจากที่ฉันวิ่งตามไปจนห่างกันไม่ถึงสิบเมตร แล้วเห็นว่าเขาคลาดกับเป้าหมายของตัวเองไป ฉันเลยคิดว่าจะจัดการเขาก่อน แต่ปรากฏว่า…เขากลับหันข้างให้ฉัน แล้วจู่ๆ ก็ฉีกทึ้งหน้าตัวเอง…”
“ฉีกหน้า? อ้อ…” หมายถึงแปลงร่าง
แต่ฟังจากน้ำเสียงของอวี่เหวินซวน เขาน่าจะไม่รู้ว่าพลังของอีกฝ่ายคืออะไร…
“อื่ม ไม่ใช่แค่หน้านะ แต่ฉีกทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย…ในตอนนั้นเองที่มีบางสิ่งเข้ามาจากข้างหลังฉัน แล้วก็ตีฉันแรงๆ หนึ่งที ฉันกำลังอึ้งกับภาพทีเห็น ก็เลยไม่ทันหลบ…ต่อมาภายหลังฉันเดาว่ามันน่าจะเป็นท่อนไม้หรืออะไรคล้ายๆ กัน แต่ตอนที่มันเหวี่ยงเข้ามาฉันกลับไม่รู้สึกถึงแรงอะไรเลย จนกระทั่งมันสัมผัสโดนตัวฉันฉันถึงสัมผัสได้ถึงแรงฟาด นั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฉันหลบไม่ทัน…” อวี่เหวินซวนลูบท้ายทอย “พอฉันตื่นขึ้นมาจากความมืด คนที่ฉีกหน้าตัวเองคนนั้น กับเงาคนอีกเงาหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้ฉัน…ความจริงตอนนั้นฉันยังพอมีแรงขัดขืนอยู่ แต่พอได้ยินพวกเขาคุยกัน ฉันก็เลยตัดสินใจหนามยอกเอาหนามบ่ง แสร้งทำเป็นยังไม่ได้สติซะเลย …”
ถึงแม้อวี่เหวินซวนเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สวี่ซูหานที่ฟังอยู่กลับหน้าซีดเผือด
น่าทึ่งเกินไปแล้ว!
ไม่ใช่ประสบการณ์ของอวี่เหวินซวนที่น่าทึ่ง แต่เป็นน้ำเสียงราบเรียบของเขาต่างหาก!
ในสถานการณ์ที่แปลกขนาดนั้น เขายังคิดแผนการหนามยอกเอาหนามบ่งขึ้นมาได้!
“พวกเขาคุยอะไรกัน?” หลิงม่อถาม
“แปลกๆ นิดหน่อย…เงาคนอีกเงาแค่ครางตอบสองสามครั้งเท่านั้น ส่วนมากเป็นเจ้าหมอที่ฉีกหน้าตัวเองพูดมากกว่า มันสั่งให้เงาคนเงานั้นลากฉันเข้ามา และกำชับว่าอย่าทำเสียหาย ‘นานๆ ทีถึงจะจับมนุษย์มาทำอาหารได้ อย่าให้เสียของเด็ดขาด เขายังไม่ตาย ระวังอย่าให้เขาตื่น’ นี่คือสิ่งที่มันพูดตอนนั้น จากนั้นเงาคนเงานั้นก็เข้ามาลากฉัน…” อวี่เหวินซวนบอก
เดี๋ยวนะ…ได้ยินชัดขนาดนั้นแล้วนายยังนอนนิ่งอยู่ได้อีกหรอ! สวี่ซูหานแทบคลั่งแล้ว…ถ้าเป็นเธอ…ช่างเถอะ ไม่คิดดีกว่า
“ตอนนั้นฉันคิดว่า ไม่แน่ว่าหลิงม่ออาจอยู่ข้างในด้วย ในเมื่อพวกมันไม่ได้คิดจะฆ่ามนุษย์ทันที ก็แสดงว่าฉันจะปลอดภัยไปชั่วคราว แค่แกล้งทำเป้นหมดสติต่อไปก็พอแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่า จู่ๆ พวกมันกลับถอดเสื้อผ้าของฉัน…เจ้าหมอที่ฉีกหน้าตัวเองยังลูบคลำตัวฉันอีกสองสามที แถมยังให้อีกคนยกตัวฉันขึ้น จากนั้นก็จ้องฉันอยู่นานสองนาน…ฉันคิดว่ามันคงกำลังดูว่าคุณภาพเนื้อของฉันเป็นยังไงล่ะมั้ง อุวะฮ่าฮ่าฮ่า…” เขากลับหัวเราะออกมาได้
ทว่าหลิงม่อกลับทำหน้าครุ่นคิดอยู่อีกด้าน…ไม่แน่ว่า อาจเป็นเพราะความบ้าคลั่งและความใจเย็นของอวี่เหวินซวน ที่ทำให้เขามีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้…พฤติกรรมของเขาอาจดูเหลวไหลพึ่งพาไม่ได้ แต่นั่นกลับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่เขาจะตัดสินใจได้ในตอนนั้น สู้กัน จากนั้นก็จับตัวมาไต่สวน? ในเมื่อเห็นภาพที่ฉีกทึ้งหน้านั่นแล้ว ก็น่าจะรู้แล้วว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล ดังนั้นหนามยอกเอาหนามบ่งต่างหาก คือวิธีที่ดีที่สุดในตอนนั้น
เพียงแต่…มันก็ออกจะเสี่ยงอันตรายเกินไปจริงๆ…
ส่วนเรื่องถูกถอดเสื้อผ้าที่เขาพูดถึง…คงเป็นขั้นตอนที่เจ้า “โอเบลิสก์” กำลังเตรียมตัวแปลงร่าง…
————————————