ตอนที่ 731

Elixir Supplier

731 ผีดิบ น่าสะพรึงกลัว

 

“หวังว่าครั้งจะจัดการได้สำเร็จนะ” เมี่ยวซานติงพูด

 

“ฉันก็หวังไว้แบบนั้นเหมือนกัน ฉันอยู่ที่นี่นานพอแล้ว แล้วฉันก็กลัวมากด้วย” หลิวซื่อฟางจุดบุหรี่

 

“นายเลิกสูบไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” เมี่ยวซานติงถาม

 

“พี่ก็รู้” หลิวซื่อฟางพูด “เวลาที่ฉันกังวล ฉันก็จะสูบตลอดนั่นแหละ”

 

“นายไม่จำเป็นต้องมาอยู่กับฉันก็ได้นะ” เมี่ยวซานติงพูด

 

“อย่าพูดแบบนั้นสิ เราเป็นพี่น้องกันนะ” หลิวซื่อฟางพูด “ก็อย่างที่พี่พูด ฉันหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น แล้วจัดการปัญหาทุกอย่างได้สำเร็จสักที พี่ว่าใครอยู่ในสุสานนี้ พี่เคยพูดไว้ไม่ใช่เหรอว่า น่าจะเป็นคนเมื่อสี่ร้อยกว่าปีก่อน ที่เต็มไปด้วยความแค้นและแข็งแกร่งมากเลยน่ะ?”

 

“นายจะมาถามทำไม?” เมี่ยวซานติงถาม “นายก็เป็นนักโบราณคดีนี่”

 

“ฉันมาเป็นนักโบราณคดียังไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ ฉันเลยยังไม่มีความรู้เรื่องนี้มากพอน่ะสิ” หลิวซื่อฟางพูด “ฉันยังไม่ได้เชี่ยวชาญด้านนี้จริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้เข้าไปเห็นข้างใน ฉันก็เลยบอกไม่ได้ว่า เจ้าของสุสานนี้เป็นใคร”

 

“ฉันว่า พวกเขาน่าจะเข้าไปข้างในกระท่อมนั่นแล้วนะ” เมี่ยวซานติงพูด

 

ที่ด้านนอกกระท่อม กลุ่มของนักพรตกำลังมองงดูรอบๆ

 

“ระตัวกันให้มาก แล้วก็ทำตามแผนที่เราวางไว้ก่อนน่านี้” นักพรตชราพูด

 

“ครับ อาจารย์” นักพรตผู้เป็นลูกศิษย์พูด

 

“อืม” นักพรตจางพูด

 

“วางใจได้เลยครับ ก็อย่างที่ผมพูดไว้ก่อนหน้านั้น ผมจะไม่สร้างปัญหาให้พวกคุณเด็ดขาด” หวังเย้าพูด “ผมจะดูอยู่เฉยๆเท่านั้น”

 

พวกเขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งแยกขึ้นไปบนยอดเขา ส่วนอีกกลุ่มแยกเข้าไปด้านในสุสาน หวังเย้าเดินตามพวกเขาอยู่ด้านหลัง

 

“มีอะไรรึเปล่า?” หวังเย้าถาม

 

“พวกเขาจะเข้าไปข้างในสุสาน แต่ทุกอย่างน่าจะไม่มีปัญหาอะไร?” นักพรตหนุ่มพูด

 

หวังเย้าไม่ได้พูดอะไรต่อ

 

“เป็นคนธรรมดาไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วยังอยากจะเข้าไปข้างในอีก” นักพรตเต๋าพูด “คิดจะมาสร้างปัญหาหรือยังไงกัน?”

 

ด้านในสุสาน ประตูสุสานยังคงเต็มไปด้วยเครื่องรางและแผ่นยันต์ แต่แผ่นยันต์ส่วนใหญ่ได้กลายเป็นสีเหลืองและดูราวกับกำลังจะลุกไหม้

 

ประตูสุสานนั้นยากที่จะเปิดออกจากด้านนอก แต่เห็นได้ชัดว่า นักพรตชราทั้งสองจะเคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาแล้ว นักพรตชราร่างบางเดินไปเปิดประตู พร้อมกับพูดออกมาว่า “เปิด!”

 

นักพรตเต๋าจากเขาหลงหู่ไม่ได้เหมือนกับที่มีการเผยแพร่ให้เห็นในทีวี พวกเขาคือของจริง พวกเขาไม่ได้แค่สั่นกระดิ่งและร่ายคาถา พวกเขาลงมือทำด้วยความตั้งใจและเข้าใจ ซึ่งล้วนมาจากการฝึกฝนเป็นระยะเวลานาน พวกเขาได้รับสืบทอดความรู้ที่ส่งต่อกันมาหลายร้อยปี ซึ่งคนธรรมดาไม่อาจจะจินตนาการได้ และคนแบบพวกเขาก็มีอยู่ไม่มาก

 

เมื่อประตูถูกเปิดออก นักพรตชราทั้งสองก็เข้าไปด้านใน ภายในสุสานมืดมาก หวังเย้ามองผ่านประตูที่ถูกเปิดออกเข้าไปด้านใน ทางเดินด้านในนั้นเป็นทางคดเคี้ยวลงไปด้านล่าง ซึ่งต่างจากทางเดินด้านนอกที่ราบเรียบเป็นทางตรง

 

“ลงไปดูข้างล่างกันเถอะ” หวังเย้าพูด

 

นักพรตเต๋าที่อยู่ข้างๆพยายามจะห้ามเขาเอาไว้ แต่หวังเย้าก็ไปโผล่อยู่ที่ประตูแล้ว นักพรตเต๋าที่เหลือต่างตกใจ พวกเขารู้ว่ามันยุ่งยาก แต่พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าหวังเย้าจะทำแบบนี้

 

“ศิษย์พี่?” นักพรตเต๋าคนหนึ่งพูดขึ้นมา

 

“ไม่ต้องไปสนใจเขา” นักพรตอีกคนพูด “ทำตามที่ตกลงกันไว้ก็พอ”

 

หวังเย้าเดินเข้าไปด้านในสุสาน

 

“อ้าว เธอเข้ามาข้างในทำไม?” นักพรตจางถาม

 

“ผมอยากเข้ามาดูข้างในน่ะครับ” หวังเย้าตอบ “สบายใจได้ ผมไม่เป็นอะไรหรอก”

 

เขาปลดปล่อยพลังฉีออกมาครอบร่างกายของเขา เหมือนกับสร้างกำแพงขึ้นมาป้องกันตัวเขาเอาไว้ มันไม่ต่างจากที่มีบรรณยายอยู่ในนิยายเลย

 

“นี่มัน?!” นักพรตจางตกตะลึง “พลังฉีต้นกำเนิด!”

 

ไม่แปลกใจเลยที่หวังเย้ากล้าเสนอตัวตามพวกเขาขึ้นมาบนเขาด้วย และยังเข้ามาด้านในสุสานอีก ด้วยเกราะป้องกันที่ถูกสร้างขึ้นจากพลังฉี เขาไม่มีทางเป็นอันตรายอย่างแน่นอน

 

นักพรตเต๋ามุ่งหน้าลึกเข้าไปด้านใน พวกเขาเลิกเป็นห่วงหวังเย้าไปแล้ว ด้วยพวกเขารู้แล้วว่า หวังเย้าสามารถดูแลตัวเองได้ สิ่งที่อยู่ภายในสุสานอันตรายมากก็จริง แต่มันก็ไม่สามารถเข้าใกล้หวังเย้าได้ เขามีพลังฉีคอยปกป้องร่างกายของเขา ซึ่งคล้ายกับทักษะกายาทองคำของทางพุทธ

 

ตัวสุสานเย็นเฉียบราวกับถูกสร้างขึ้นมาจากก้อนน้ำแข็ง หลังจากเดินลงไปได้ประมาณ 10 เมตร พวกเขาก็พบเข้ากับประตูบานหนึ่งที่ถูกเปิดเอาไว้แล้ว ด้านในมีรูปปั้นของราชาลิงที่อยู่ในสภาพแตกหัก รอยร้าวกระจายทั่วรูปปั้นราวกับภาพของใยแมงมุม

 

“เขาเป็นประตูหินสองบานนี้ได้ยังไงกัน?” หวังเย้าถามด้วยความสงสัย

 

ตัวบานประตูมีความหนาประมาณสี่นิ้ว น้ำหนักของรูปปั้นก็ต้องหนักเกือบห้าร้อยกิโลกรัม แม้แต่ผู้ชายที่แข็งแร่งที่สุดก็อาจจะไม่สามารถเปิดมันออกได้ ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงผีที่ไม่มีร่างกายจริงเลย

 

“ระวังด้วย” นักพรตจางพูด

 

เขาถือดาบกำราบปีศาจเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถือกระจกทองแดงเอาไว้ พวกเขาต่างกำลังถือโคมไฟที่ไม่รู้ที่มาของตัวเชื้อเพลิงที่กำลังลุกไหม้อยู่

 

มีเสียงพูดดังขึ้น “ไป”

 

ทั้งกลุ่มเดินเข้าไปสู่ตัวสุสาน ที่มีรูปร่างเป็นครึ่งวงกลมและล้อมรอบไว้ด้วยรูปปั้นจำนวนมาก รูปปั้นทั้งหมดคือพระอรหันต์ 18 รูป ซึ่งมีขนาดเท่ากับคนจริง รูปปั้นบางอันเกิดการแตกหัก บางอันก็ศีรษะก็ตกลงไปที่พื้น ตรงกลางมีโลงศพหินตั้งอยู่ พร้อมกับฝาโลงที่ถูกเปิดออก

 

“เขาฟื้นขึ้นมาจากความตายเหรอ?” หวังเย้าถาม เขาเงยหน้าขึ้นมองด้านบนสุสาน ซึ่งถูกสร้างเป็นโดมและมีรูปสลักติดอยู่ “มีรูปปั้นพระอรหันต์ล้อมเยอะขนาดนี้ คนคนนี้เป็นใครกันแน่?”

 

อยู่ๆก็มีร่างๆหนึ่งปรากฏตัวออกมาและพุ่งตัวเข้าหานักพรตจางที่กำลังถือดาบกำราบปีศาจอยู่ ตัวดาบได้ส่องประการแสงสีทองออกมา แล้วร่างๆนั้นก็กระเด็นออกไกล

 

นักพรตชราหยิบกระจกทองแดงออกมา แสงจากตัวกระจกถูกส่องออกไป จนเกิดเป็นเสียงให้ได้ยิน

 

หวังเย้าที่อยู่ด้านหลังพวกเขาถอนหายใจออกมา มันน่าตื่นเต้นไม่ต่างจากที่ดูในหนังเลย

 

บรรยากาศภายในสุสานเย็นยะเยือกและหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ กระดิ่งที่ข้างเอวของนักพรตชราทั้งสองส่งเสียงดังไม่หยุด

 

“อยู่ตรงนั้น!” หวังเย้าชี้มือไปที่จุดหนึ่ง

 

กระจกทองแดงของนักพรตพริกไปตามทางที่หวังเย้าชี้ แสงถูกส่องออกไปยังเงาร่างสีดำมืด

 

ร่างนั้นคือนักพรตเต๋าคนหนึ่ง เขาสวมชุดคลุมของนักพรตเต๋า แต่ใบหน้าของเขากลับดำคล้ำและดูน่าหวาดกลัว ดวงตาของเขาเป็นสีแดงก่ำ และเขาก็กำลังหัวเราะอยู่

 

กระจกทองแดงสั่นสะท้านและแสงก็ดับมืดลง

 

“ตรงนั้น!” หวังเย้าชี้ไปที่อีกจุดหนึ่ง

 

แสงถูกส่องไปยังร่างของนักพรตเต๋าคนนั้นอีกครั้ง นักพรตจางวิ่งเข้าหาพร้อมกับดาบที่อยู่ในมือ เขาพุ่งเข้าหาร่างของนักพรตเต๋าคนนั้นและใช้ดาบฟันไปที่ร่างของเขา

 

นักพรตเต๋าส่งเสียงกรีดร้องแปลกหูและหลบหนีไป

 

“ทำได้แค่นี้เหรอ?” อยู่ๆหวังเย้าก็ชกใส่อากาศ เงาร่างนั้นกระเด็นออกไปและกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างรุนแรง

 

กระจกทองแดงถูกปาออกจากมือของนักพรตชรา มันกระแทกโดนร่างของนักพรตเต๋าปีศาจ จนทำให้ร่างของเขาร่วงลงกับพื้น

 

นักพรตจางรีบวิ่งเข้าไป เขาแทงดาบกำราบปีศาจเข้าใส่ร่างนั้นโดยไม่ลังเล แม้จะรู้ว่าร่างนั้นอาจจะเป็นลูกศิษย์ของทางวัดเอง

 

“มันจบแล้วใช่ไหม?” เขาถาม

 

แต่อยู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากภายในโลงศพ

 

ทั้งสามหันกลับไปมอง พวกเขาเห็นชายสวมชุดเกราะนั่งอยู่บนโลงศพนั้น

 

“ไม่นะ! เขาฟื้นขึ้นมาจากความตาย!” หวังเย้าถอนหายใจ ถึงเขาจะไม่ได้กลัวก็ตามที

 

จนถึงเดี๋ยวนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เขาเข้าใจแล้วว่า เนื้อเรื่องที่บรรยายในนิยายหรือในหนังก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องโกหกซะทีเดียว

 

รูปปั้นพระอรหันต์เกิดการแตกหักไปทีละอัน กระดิ่งที่บริเวณเอวของนักพรตทั้งสองส่งเสียงดังลั่น ราวกับกำลังจะเตือนให้พวกเขารีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

 

สีหน้าของนักพรตจางเปลี่ยนไป “ร่างกายของเขาไม่ได้เน่าเปื่อย!”

 

กระจกทองแดงบินออกไปและกระแทกเข้ากับร่างของมัน เขาร่วงลงไปจนเกิดเสียงดังลั่น แต่แล้ว เขาก็ค่อยๆลุกขึ้นมาอีกครั้ง

 

นี่มันตัวอะไรกัน? หวังเย้าเดินเข้าไปและมองดูใบหน้าของมัน ร่างๆนั้นดูเหมือนกับศพที่แห้งเหี่ยว ผิวหนังของมันยับย่นและน่ากลัวอย่างที่สุด

 

“ทำไมมันถึงยังขยับได้ล่ะ?” หวังเย้าถาม มันไม่เพียงแต่จะขยับเท่านั้น แต่มันยังลุกขึ้นได้เองด้วย “ผีดิบเหรอ?”

 

“ระวัง!” นักพรตจางตะโกน

 

อยู่ๆมันก็พุ่งเข้าโจมตีหวังเย้าด้วยความเร็วที่น่าตกใจ ซึ่งในเวลานี้เขาคือคนที่อยู่ใกล้กับมันมากที่สุด