ตอนที่281 ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนนักข่าว

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล]

ตอนที่281 ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนนักข่าว

หัวเซียงซิ่วโดนทั้งคุณปู่และคุณพ่อติเตียนทำร้ายจิตใจอย่างหนัก ซึ่งนี่ก็ยิ่งทำให้เธอเกลียดชังในตัวจ้าวเฉียนมากยิ่งขึ้นไปใหญ่ และเธอต้องการแก้แค้นเขาให้จงได้ ดังนั้นเธอจึงโทรเรียกเพื่อนที่เป็นนักข่าวทั้งหมด และเชิญพวกเขาไปทานดินเนอร์เพื่อขอความช่วยเหลือ

ท้ายที่สุดนี้เธอคือกสมาชิกตระกูลหัว เพื่อนๆ นักข่าวทุกคนย่อมให้หน้าเธอโดยธรรมชาติ ไม่นานพวกเขาก็มาถึงที่นัดหมายกันไว้

ณ งานเลี้ยง หัวเซียงซิ่วยกแก้วไวน์ขึ้นมาและกล่าวว่า

“ที่เชิญทุกคนมาในวันนี้เพราะอยากให้ทุกคนมารำลึกถึงเรื่องในวันวาน ดื่ม!”

คนอื่นๆ เองก็ทราบดีว่าตนเองควรวางตัวกันอย่างไร และยกแก้วขึ้นดื่มด้วยความยินดี

หลังจากดื่มไวน์แก้วนี้จนหมด ทุกคนก็เอ่ยถามหัวเซียงซิ่วว่า พวกเขาพอช่วยอะไรเธอได้บ้างไหม

หัวเซียงซิ่วรีบพยักหน้าตอบทันที

“แน่นอน พี่ชายของฉันมีเรื่องกับคนอื่นแถมยังโดนตัดมือไปอีก แต่ผลที่ได้คือ พวกตำรวจกลับปกป้องไอ้ฆาตกรบัดซบนี่เฉยเลย ปล่อยให้เขาลอยนวลแล้วจับแพะให้มารับผิดแทน ฉันอยากให้พวกนายทุกคนช่วยทำข่าวกดดันพวกตำรวจให้ดำเนินการสืบสวนอย่างซื่อตรง ทำยังไงก็ได้วให้ไอ้ฆาตรกรนั้นมารับผิดให้จงได้!”

นักข่าวจากหวานจิ้งไทม์ หยิงเสวี่ยเฉิงเอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้วใครคือฆาตรกรที่ว่า? เธอพอมีช้อมูลของเขาบ้างไหม?”

หัวเซียงซิ่วหยิบโทรศัพท์ชขึ้นมาและเปิดรูปถ่ายของจ้าวเฉียนให้ทุกคนดู จากนั้นก็กล่าวว่า

“นี่แหละโฉมหน้าฆาตรกร มันชื่อจ้าวเฉียน ฉันไม่รู้รายละเอียดของมันมากนัก แต่ที่แน่ๆ คือครอบครัวของมันทรงอำนาจไม่น้อยเลย”

หยิงเสวี่ยเฉิงหรี่ตาแคบจับจ้องรูปถ่ายจ้าวเฉียนตาเขม็ง เมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกแปลกๆ ของเธอ หัวเซียงซิ่วก็เกิดเอะใจเอ่ยถามขึ้นว่า

“เสวี่ยเฉิง ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น เธอรู้จักกับเขาเหรอ?”

ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่หยิงเสวี่ยเฉิงเท่านั้น ซางเหวินซวนจากลาเก๋อไทม์, เหลียวอวี่เฟยจากโจวจิ้งไทม์ และอวู่จุนจากหมิงเชิงไทม์ ทั้งหมดล้วนเผยสีหน้าการแสดงออกแปลกประหลาดกันทั้งสิ้น

หยิงเสวี่ยเฉิงถอนหายใจเล็กน้อยและตอบกลับไปว่า

“ฉันไม่รู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัวหรอก อย่าหาว่าฉันพูดอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ แต่ฉันเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน ประมาณหกปีที่แล้ว เขาขับรถชนเด็กสาวคนหนึ่ง ตอนนั้นฉันที่ยังเป็นมือใหม่ได้รับคำสั่งต้องไปทำข่าวของเขา แต่วันรุ่งขึ้นจู่ๆ หยานจิ้งไทม์ของฉันก็ถูกซื้อกิจการกะทันหัน และโดนสั่งห้ามไม่ให้ทำข่าวของชายคนนี้อีกเลย ประธานคนใหม่อธิบายแค่ว่า นี่เป็นกรณีพิเศษ ไม่อนุญาตให้ใครทำข่าวหรือขุดคุ้ยเรื่องของเขาทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้น ต่อให้เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการก็ต้องถูกไล่ออกทันที เพียงเท่านี้ก็น่าจะรู้แล้วนะว่า เบื้องหลังของเขาทรงอำนาจขนาดไหน”

คนอื่นๆ เองก็พูดแบบเดียวกันกับหยิงเสวี่ยเฉิง ทันทีที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ไปทำข่าวนี้ วันรุ่งขึ้นทุกสำนักข่าวก็ถูกซื้อกิจการโดยกระทันหัน และโดนสั่งห้ามไม่ให้ใครก็ตามทำข่าวของชายคนนี้เด็ดขาด

หัวเซียงซิ่วขมวดคิ้วแน่น เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า

“นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว หมอนี่เป็นใครกันแน่?”

หยิงเสวี่ยเฉิงหัวเราะครื่น เอ่ยตอบไปว่า

“ถึงขนาดที่ว่าประธานสำนักข่าว สั่งห้ามเป็นการส่วนตัว เห็นได้ชัดเลยว่า ชายคนนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด”

หัวเซียงซิ่วครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง เธอรู้สึกว่า ตราบใดที่มีเงินย่อมสั่งการผู้คนให้ทำตามที่ต้องการได้ และเงินสำหรับคนหาเช้ากินค่ำอย่างคนเหล่านี้ก็สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ดังนั้นเธอจึงยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“ถ้าอย่างนั้นฉันต้องรบกวนพวกนายช่วยเสี่ยงเพื่อฉันสักครั้งแล้วล่ะ แต่ฉันไม่ปล่อยให้เหนื่อยฟรีอยู่แล้ว ฉันจะให้คนละหนึ่งแสนหยวนเป็นค่าขอบคุณ ว่ายังไง?”

หัวเซียงซิ่วเสนอขึ้น

เงินหนึ่งแสนหยวนสำหรับนักข่าวเหล่านี้ มันไม่คุ้มที่จะเอ่ยถึง แน่นอนว่าพวกเขาต้องการเงิน ทว่าหากจะต้องทำข่าวของชายคนนี้ ที่มีแม้แต่หัวหน้ากองบรรณาธิการยังไม่กล้าแตะต้อง ใครบ้างจะกล้าเสี่ยงกับแค่เงินหนึ่งแสนหยวน?

ถ้าเดินทางผิดขึ้นมา นั้นหมายความว่าอนาคตในสายงานนักข่าวของพวกเขาจำต้องปิดฉากลงเช่นกัน

“เซียงซิ่วขอบใจนะที่ช่วยเรามางานเลี้ยง ถ้ามีอะไรที่เราพอใจช่วยได้ พวกเราเต็มใจช่วยแน่นอนโดยไม่ขอเงินเธอสักหยวน แต่…เรื่องนี้มันเกินความสามารถเราไปจริงๆ คนจากเบื้องบนถึงกับสั่งลงมาเอง ไม่ให้ทำข่าวของชายคนนี้ พวกเราก็แค่นักข่าวตัวน้อยๆ คงทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”

คนอื่นๆ เองก็เห็นพ้องต้องกันไม่ต่าง

“ใช่ ถ้าต้องการจะให้ทำข่าวจริงๆ เธอต้องไปเจรจากับเจ้านายของพวกเราเป็นการส่วนตัว ถ้าได้รับอนุญาตพวกเราจะช่วยเต็มที่ แต่ตอนนี้…เราคงทำไม่ได้จริงๆ”

“ใครจะไปกล้าเสี่ยงตายเพื่อเงินแค่หนึ่งแสนหยวน?”

“ฉันคิดว่า เธอลองไปคุยกับทางตำรวจตรงๆ ดีกว่าไหม? พวกเขาอาจจะช่วยเหลือเธอได้ไม่มากก็น้อย ดำเนินการตามกฎหมาย ไม่จำต้องห่วงหน้าห่วงหลังอะไรด้วย”

“นอกจากนี้ ถึงเราจะยอมเสี่ยงช่วยเธอ แต่ถ้าเบื้องบนไม่อนุมัติ ข่าวที่พวกเราเขียนก็ไม่ได้ถูกเผยแพร่ออกไปอยู่ดี ชายคนนี้แข็งแกร่งเกินไป แล้วอย่าเที่ยวจ้างนักข่าวคนอื่นเลยนะ มันเปลืองเงินแสนโดยเปล่าประโยชน์แน่นอน เชื่อพวกเราสิ”

………..

หัวเซียงซิ่วคิดว่าตัวเองเข้าใจในความหมายที่บรรดาเพื่อนนักข่าวกำลังจะสื่อ เธอจึงกล่าวตอบกลับไปทันทีว่า

“ถ้าอย่างนั้น ฉันไม่สนว่ามันจะได้ผลแค่ไหน แต่ฉันจะจ่ายให้คนละห้าแสนหยวน แล้วถ้าพวกนายเจอปัญหาระหว่างทำข่าว ครอบครัวของฉันจะรับผิดชอบดูแลในเรื่องคดีความเอง ว่ายังไง?”

หยิงเสวี่ยเฉิงหันไปมองคนอื่นๆ และพวกเขาเองต่างก็หันมาสบตากันโดยไม่ตั้งใจ และเป็นเธอที่เอ่ยปากแสดงจุดยืนก่อนคนแรก

“เซียงซิ่ว ฉันว่าเธอกำลังเข้าใจผิดนะ เรามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อเงิน แต่เราอยากจะช่วยเหลือเธอจริงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันวัดกันที่ตัวเงินได้ยังไง? แต่งานนี้มันเสี่ยงเกินไปจริงๆ พวกเราคงช่วยเขียนข่าวให้ไม่ได้”

คนอื่นๆ เองต่างพยักหน้าและแสดงจุดยืนโดยไวว่า

“ใช่แล้ว ที่ฉันมาที่นี่เพราะอยากช่วยเท่าที่จะช่วยได้ในฐานะเพื่อน ไม่ได้เห็นแก่เงินเลยนะ”

“อย่ามาถามเลยว่าเราต้องการเท่าไหร่ นี่ไม่ต่างอะไรกับการทำร้ายจิตใจกันเลย”

“ตามที่ทุกคนว่าเลย ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง คนที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบคือพวกเรา งานนี้มันเสี่ยงเกินกว่าจะช่วยได้จริงๆ”

………

ทว่าอย่างไร ตราบใดที่หัวเซียงซิ่วคืนความยุติธรรมให้แก่พี่ชายเธอได้ ไม่ว่าเท่าไหร่เธอก็ยอมจ่ายทั้งนั้น เธอยังมีเงินติดบัญชีอีกเป็นล้าน ซึ่งนั้นก็น่าจะเพียงพอซื้อใจคนพวกนี้แล้ว

หากคนเหล่านี้เต็มใจช่วยเหลือเธอจริงๆ ในฐานะหลานสาวตระกูลหัว เธอย่อมเปิดโอกาสให้พวกเขาเติบโตในเส้นทางนักข่าวได้อย่างแน่นอน

ดังนั้นหัวเซียงซิ่วจึงกัดฟันกล่าวน้ำเสียงหนักแน่นขึ้นว่า

“เอาอย่างงี้แล้วกัน ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยพี่ชายของฉัน พวกเธอทำข่าวโจมตีไอ้ฆาตรกรนี้ได้เลยเต็มที่ ถ้าถูกไล่ออกขึ้นมาจริงๆ ฉันจะใช้เส้นสายทั้งหมดที่มีช่วยพวกนายหางานใหม่เอง! พอใจหรือยัง?”

หยิงเสวี่ยเฉิงดูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะตอบไปว่า

“ก็ได้ ก็ได้…แต่บทความของพวกเราจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากหัวหน้ากองบรรนาธิการก่อน ถึงจะเผยแพร่ออกไปได้ เธอต้องยัดเงินใต้โต๊ะให้คนพวกนั้น ไม่อย่างนั้นเราเขียนข่าวยังไงก็เสียเปล่า”

สุดท้ายนี้หัวเซียงซิ่วก็คิดถูก บรรดาเพื่อนนักข่าวเหล่านี้ก็แค่พวกหน้าซื่อใจคด ขอแค่มีเงินมากย่อมซื้อใจพวกเขาได้เป็นธรรมดา

หัวเซียวซิ่วยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ถ้าอย่างนั้น เรื่องหัวหน้ากองบรรณาธิการเดี๋ยวฉันจัดการเอง แทนคำขอบคุณ ฉันจะเพิ่มค่าเหนื่อยให้ทุกคนอีกคนละแสน รวมเป็นหกแสนหยวนต่อคน พวกนายต้องช่วยกันประโคมข่าวโจมตีไอ้ฆาตกรให้ได้มากที่สุด ยิ่งกลายเป็นข่าวดังเท่าไหร่ยิ่งดี”

หยิงเสวี่ยเฉิงแสร้งทำเป็นขมวดคิ้วปั้นหน้าเครียด เพื่อให้หัวเซียงซิ่วรู้สึกกลัว ที่เธอต้องทำแบบนี้เพราะต้องการเรียกร้องขอเงินเพิ่มอีกรอบ

หัวเซียงซิ่วย่นคิ้วพลางเอ่ยถามขึ้นว่า

“ทำไม? ยังมีปัญหาอะไรอีก?”