บทที่ 246 วิชากระจกเงาดารา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 246 วิชากระจกเงาดารา

บทที่ 246 วิชากระจกเงาดารา

ฟิ้ว!

ในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ประดับประดาไปด้วยหมู่ดาว ร่างเลือนรางปรากฏขึ้นและหายไปด้วยความเร็วที่เร็วกว่าความเร็วเสียง ทุกที่ที่เงานั้นเคลื่อนผ่านไป เหลือทิ้งไว้เพียงชั้นอากาศที่ถูกฉีกออก จนกลายเป็นโพรงสุญญากาศขึ้น สร้างคลื่นกระเพื่อมเป็นวงกลมไปรอบข้างราวกับผิวน้ำที่กระจายตัวออก ส่งผลให้อากาศโดยรอบเริ่มเปลี่ยนเป็นสุญญากาศตามไปด้วย

ริ้วแสงพร่างพราวและงดงามกว่าสิบสายตามไล่หลังร่างเลือนรางนี้มาติด ๆ สมบัติเหินบินหลากสีสันเหล่านั้นทิ้งรอยยาวดุจหางลากยาวของดาวตกที่ลุกเป็นไฟออกมามากมาย ในท้องฟ้าสีดำสนิทพวกมันจึงสว่างไสวอย่างยิ่ง

เฉินซีพบว่าพละกำลังของเขายังคงถูกเผาผลาญอย่างต่อเนื่อง ปราณแท้ที่เหลืออยู่ในจุดตันเถียนของเขาเองก็เริ่มค่อย ๆ เหือดแห้งไปทีละนิด ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงสงบขณะที่เขานับเวลาอย่างเงียบ ๆ แล้วจึงเรียกโอสถวิญญาณขึ้นมาบนมือของเขา โอสถวิญญาณนี้มีลักษณะโปร่งแสงและใสราวผลึกแก้วทั้งเม็ด เส้นแสงศักดิ์สิทธิ์พร่างพรายม้วนขดตัวอยู่ภายใน ส่งเสียงคำรามที่เด่นชัดราวกับเสียงคำรามของมังกร

โอสถเหลวหยกนภา!!

โอสถระดับปฐพีชั้นยอดที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก โอสถเหลวหยกนภาหนึ่งเม็ดเทียบได้กับวารีวิญญาณมูลค่ากว่าแสนจิน และนั่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาซื้อได้ในตลาดอย่างแน่นอน!

โอสถระดับปฐพีนี้เป็นยาที่แรงจนมีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเท่านั้นที่สามารถกินได้ เมื่อได้บรรลุสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว รากฐานของสวรรค์และปฐพีจะหยั่งรากลงไปในร่างกายของผู้บ่มเพาะ ทำให้สามารถรองรับพลังจากตัวโอสถระดับปฐพีเอาไว้ในร่างกายได้ และหากเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลหรือขอบเขตเคหาทองคำฝืนใจใช้โอสถระดับปฐพีนี้ จุดตันเถียนจะถูกระเบิดจนพังทลายจากปริมาณพลังงานที่ทรงพลังจำนวนมากของโอสถ ทั้งยังส่งผลให้รากฐานแห่งเต๋าของพวกเขาเสียหายอย่างหนัก

เมื่อปราณแท้ในจุดตันเถียนของเฉินซีเหือดแห้งลง เขาก็กลืนโอสถเหลวหยกนภาลงไปโดยไม่ลังเลเลย เพื่อหลบหนีการไล่ล่านี้ ชายหนุ่มจึงไม่คิดสนใจสิ่งอื่นแม้แต่น้อย

ปัง!

ทันใดนั้น เฉินซีก็รู้สึกราวกับว่ามีมังกรไฟขนาดมหึมามุดเข้ามาในร่างของเขา ความแข็งแกร่งของยาที่ราวไม่มีที่สิ้นสุดและทรงพลังพุ่งตรงไปที่จุดตันเถียนของเขาและก่อปัญหาขึ้น มันกวาดตัวออกไปทุกทิศทางทำให้เส้นลมปราณในร่างกายของเขาแทบไม่อาจทนต่อพลังงานนี้ได้ พวกมันบิดเบี้ยวและพองตัวขึ้นราวกับจะระเบิดออกมา จนถึงจุดที่พวกมันใกล้ค่อย ๆ ปริออกทีละน้อย หากไม่ใช่เพราะดวงจิตแห่งเต๋าของขายหนุ่มมั่นคงและแข็งแกร่งอย่างมาก ความเจ็บปวดรุนแรงซึ่งเกิดในช่วงเวลานี้ก็มากเกินพอที่จะทำให้เขาหมดสติไปในทันทีแล้ว

แปลบ!

ร่างกายของเขาราวกับถูกค้อนขนาดใหญ่นับพันทุบอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดที่รุนแรงทำให้กลิ่นอายของเฉินซีผันผวนและเผยให้เห็นร่องรอยความผิดปกติ แต่ปราณแท้ปริมาณนับไม่ถ้วนก็หวนกลับมาสู่ในจุดตันเถียนของเขาพร้อมกับความเจ็บปวดนี้ ทว่าปราณแท้สายนี้เกรี้ยวกราดและรุนแรงยิ่ง มันพุ่งออกไปทุกทิศทุกทางราวกับมันต้องการที่จะแหวกจุดตันเถียนออกและพุ่งออกจากร่างของเขา

ความรู้สึกนี้เหมือนกับมีภูเขาไฟปะทุอยู่ภายในร่างกาย แต่ก็ไม่สามารถหาทางระบายความอัดอั้นนี้ออกไปได้ ความรู้สึกหายใจไม่ออกและจุกแน่นนี้จวนเจียนจะทำให้ร่างกายของเฉินซีระเบิดอยู่ร่อมร่อ!

เฉินซีไม่เคยคิดมาก่อนว่าร่างกายของเขาจะไม่สามารถทนต่อโอสถเหลวหยกนภาเพียงเม็ดเดียวได้จนเกือบจะระเบิดเช่นนี้

นี่ทำให้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงพลังของโอสถวิญญาณระดับปฐพี มันเป็นไปตามที่ข่าวลือกล่าวไว้ ว่าหากไม่ได้อยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้วไซร้ก็ไม่อาจกลืนมันได้

‘ระบาย! หากข้าไม่หาทางระบายพลังพวกนี้ออกไป ร่างของข้าได้ระเบิดในพริบตาเป็นแน่…’ ภายใต้การกระตุ้นจากสถานการณ์เบื้องหน้าประตูแห่งความตาย ดวงตาของเฉินซีได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ใบหน้าที่เย็นชาและไม่แยแสต่อสิ่งใดของเขาดูบิดเบี้ยวอย่างยิ่ง ขณะที่เส้นเลือดทั่วร่างกายปูดโปน รัศมีที่รุนแรงและน่าสะพรึงก็พวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขาและกวาดไปทั่วบริเวณในทันที

ยามนี้ ชายหนุ่มดูราวกับปีศาจจากขุมนรกโบราณ ที่ปรารถนาจะกินวิญญาณและเลือดสด ๆ ก็ไม่ปาน

เขาหันกลับไป และเริ่มเก็บกวาดทุกอย่างที่อยู่เบื้องหลังของเขา

ฉับพลันในใจของหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ที่ไล่ตามเฉินซีมาอย่างใกล้ชิด ก็ได้ปรากฏความสยดสยองที่อธิบายไม่ได้ขึ้นมา ร่างของพวกเขาที่บินด้วยความเร็วสูงกลับชะงักงันและชะลอตัวลงในทันที

เมื่อพวกเขามองไปรอบ ๆ ก็บังเอิญได้สบเข้ากับสายตาที่เฉินซีกวาดมองมาอย่างพอดิบพอดี

สายตาแบบนั้นมันอะไรกัน!

แววตาที่จับจ้องมานั้นไม่ได้เก็บอารมณ์ความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย มันเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็งในขุมนรกทั้งเก้า ระยิบระยับยิ่งกว่าเลือดสีแดงฉานที่เดือดพล่าน จิตสังหารที่โหดเหี้ยมไร้สิ้นสุดนั้นดูราวกับภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุและแฝงด้วยกลิ่นอายแห่งการทำลายล้างโดยสมบูรณ์

อึก!

พวกเขามองหน้ากันและกัน พร้อมกับความรู้สึกหวาดกลัวที่ก่อตัวขึ้นในใจ

ปัง!

เสียงระเบิดจากการสั่นสะเทือนที่ดังกึกก้องราวกับเสียงฟ้าร้องดังขึ้น สายตาของทุกคนในตอนนี้ถูกดึงไปทางเฉินซีผู้มีกลิ่นอายเหมือนภูเขาไฟที่กำลังปะทุ เพียงกะพริบตาลง เขาก็หายไปจากระยะการมองเห็นของพวกเขาในทันใด

ความเร็วของเขาเร็วเพิ่มขึ้นอย่างมาก อย่างน้อยก็มากกว่าเดิมถึงสามเท่า!

“ชายผู้นี้เลือกกลืนโอสถได้ทรงพลังยิ่ง แม้ว่ารัศมีของเขาจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมากแต่ก็ผิดปกติไปมาก ในเมื่อเขาไม่สามารถควบคุมพลังนี้ได้ จุดตันเถียนย่อมต้องถึงคราพังทลาย รากฐานแห่งเต๋าของเขาก็ย่อมถูกทำลายเช่นกัน ถึงเวลานั้นแม้แต่ทวยเทพก็ไม่อาจช่วยเขาได้!” สายตาของหลิวเฟิ่งฉือสั่นไหวขณะที่เขากล่าวขึ้น ด้วยความเฉลียวฉลาดของเขาจึงสังเกตเห็นถึงบางสิ่งได้ในทันที

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น ดูเหมือนเจ้าตัวบัดซบนี่ ไม่อยากแม้แต่จะหนีเอาชีวิตรอดด้วยซ้ำ…” ดวงตาของหวงฝู่ฉงหมิงหรี่ลงเล็กน้อยในขณะที่เขาหัวเราะอย่างเย็นชา “ทว่าหากคิดว่าเขาจะสามารถหลบหนีการไล่ล่าของเราได้โดยอาศัยสิ่งนี้ละก็ นับว่าคิดผิดมหันต์! ทุกคนรีบตามไป บางทีเราอาจไม่ต้องลงมือลงแรงเพื่อรับผลประโยชน์มากมายเลยก็เป็นได้!”

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

เมื่อพวกเขาเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฉินซี ทุกคนก็ฮึกเหิมยิ่งขึ้น และพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะเร่งให้สมบัติเหินบินใต้เท้าของพวกเขา แล้วไล่ตามด้วยแรงทั้งหมดของพวกเขาทันที

“หยุด ไม่จำเป็นต้องไล่ต่อแล้ว” ไม่นานหลังจากที่หวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ จากไป ริ้วแสงอีกสามสายก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เจิ้นหลิวชิงที่สวมชุดคลุมยาวก็เงยหน้าขึ้นมองออกไปไกลพลางกล่าวพึมพำ

“เราจะไม่ไล่ตามแล้วหรือ? ทำไมเล่า?” อันเชี่ยนอวี้พูดด้วยความประหลาดใจ เสียงของเขาแห้งแหบเล็กน้อยพร้อมกับความเหนื่อยล้าที่ปรากฏบนใบหน้าของเขา เช่นเดียวกับกลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิง เขา เจิ้นหลิวชิง และหวังเต้าซวี่เองก็ได้ติดตามไล่ล่าอีกฝ่ายมากว่าสองวันแล้วเช่นกัน และจนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังคงไล่ตามอยู่ อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเหนื่อยล้าทั้งกายและใจแล้ว แต่เพราะการพยายามอย่างหนักมาสักพักใหญ่นี้จึงเริ่มชินชาบ้างแล้ว ทำให้เขารู้สึกไม่ยินยอมอย่างยิ่งเมื่อเขาได้ยินว่าเจิ้นหลิวชิงตั้งใจจะมายอมแพ้เอาตอนนี้

“ใช่ เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่เด็กคนนั้นฝืนกินโอสถวิญญาณที่ทรงพลังเข้าไป แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้น แต่เขาก็คงไม่อาจยืนหยัดได้นานนัก นี่เป็นโอกาสของเรา ถ้ายอมแพ้ตอนนี้มันคงน่าเสียดายมาก” หวังเต้าซวี่ที่อยู่ด้านข้างเองก็แทรกเข้ามาอย่างเห็นด้วย

“หากเราไล่ตามต่อไปแล้วอย่างไร? พวกเราสามคนไม่สามารถเอาชนะกลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิงได้หรอก แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เหตุใดไม่สู้ถอนตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ เสียดีกว่าเล่า?” เจิ้นหลิวชิงพูดอย่างใจเย็น

“แต่… พวกเราไล่ตามกันมานานแล้ว พวกเราจะยอมแพ้ไปง่าย ๆ เช่นนี้จริงหรือ? เด็กคนนั้นมีสมบัติอยู่ในครอบครองตั้งมากมายเลยนะ!” เมื่อพวกเขาเห็นการแสดงออกที่แน่วแน่ของเจิ้นหลิวชิง อันเชี่ยนอวี้กับหวังเต้าซวี่ก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันและถามด้วยความงุนงง

“ข้าไม่ได้สนใจสมบัติเหล่านั้น ข้าแค่อยากรู้ว่าเขาจะสามารถหลบหนีการไล่ล่าของหวงฝู่ฉงหมิงได้หรือไม่เท่านั้น” เจิ้นหลิวชิงหัวเราะเบา ๆ “เจ้าสองคนไม่คิดว่าเจ้าเด็กขอบเขตเคหาทองคำผู้นี้น่าสนใจบ้างหรือไร? ในบรรดาผู้บ่มเพาะที่เข้าสู่ขุมสมบัติของเฉียนหยวนมีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ แต่เขากลับเป็นคนที่ได้รับสมบัติมากที่สุด เรื่องประหลาดเช่นนี้ยากนักที่จะเกิดขึ้นได้”

น่าสนใจ?

อันเชี่ยนอวี้และหวังเต้าซวี่หัวเราะเยาะอยู่ในใจ ในใจของพวกเขาการฉกชิงสมบัติที่เฉินซีครอบครองต่างหาก จึงจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างแท้จริง

เจิ้นหลิวชิงพูดต่อราวกับว่านางไม่ได้สังเกตการแสดงออกของพวกเขา “ยังไม่พูดถึงข้อสรุปที่ข้าได้รับผ่านวิชากระจกเงาดาราเมื่อครู่ ชะตากรรมของสหายผู้นี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ดูเหมือนเขาจะถูกลิขิตโดยลิขิตสวรรค์ มันคลุมเครือราวกับเงาสะท้อนของดวงจันทร์ในน้ำ ทำให้ไม่อาจมองเห็นความจริงได้อย่างชัดเจน แต่ข้าก็แน่ใจว่าเด็กผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะพบกับจุดจบเร็วเช่นนั้น ดังนั้นพวกเจ้าเองก็อาจไม่ได้รับสมบัติแม้ว่าเจ้าจะไล่ตามเขาไปก็ตาม”

วิชากระจกเงาดารา!

หัวใจของอันเชี่ยนอวี้และหวังเต้าซวี่สั่นไหวในทันทีที่ได้ยินชื่อวิชานี้ ทักษะเต๋านี้เป็นวิชาการทำนายที่ลึกซึ้งยิ่ง และเป็นหนึ่งในทักษะลับที่สืบทอดกันมาของหอวารีหมอกแห่งทะเลตะวันออก ที่สานสัมพันธ์กับธรรมชาติอย่างแน่นแฟ้นอยู่เป็นนิจ มันสามารถคำนวณความลับในการทำงานของสวรรค์ที่คนธรรมดาไม่สามารถแอบดูได้ออกมาได้ มันสามารถแสวงหาโชคลาภในขณะที่หลีกเลี่ยงภัยพิบัติ และยังเปลี่ยนภัยพิบัติเป็นโชคลาภได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วิชานี้ลึกลับและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

หอวารีหมอกแห่งทะเลตะวันออกได้ครอบครองพื้นที่ของราชวงศ์ซ่งและเป็นเอกเทศจากโลกภายนอกโดยอาศัยทักษะนี้ ทั้งยังทำให้เป็นผู้นำอยู่ในโลกแห่งการบ่มเพาะเป็นเวลานับหมื่นปีได้โดยไม่พินาศ แม้ว่าราชวงศ์ซ่งก็ยังบูชาบรรพบุรุษของพวกเขา พวกเขามักจะเชิญผู้บ่มเพาะบางคนของหอวารีหมอกที่มีความเชี่ยวชาญในวิชากระจกเงาดารามาเพื่อสรุปความลับของสวรรค์และเลือกวันที่เป็นมงคลเพื่อทำพิธีบูชาบรรพบุรุษของพวกเขา

ดังนั้นในตอนนี้เมื่อทั้งสองพบว่า เจิ้นหลิวชิงเข้าใจวิชากระจกเงาดาราและใช้มันเพื่อสรุปชะตากรรมของเฉินซี ความตกใจก็ผุดขึ้นมาในใจของอันเชี่ยนอวี้และหวังเต้าซวี่

และตามที่พวกเขาทราบ วิชากระจกเงาดารานี้ไม่อาจใช้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ทุกครั้งที่มันถูกใช้ มันจะกินเวลาชีวิตของผู้ใช้ไปหนึ่งร้อยปี เพราะนี่ก็เป็นถึงทักษะที่สามารถแอบดูความลับของสวรรค์ ก็ย่อมต้องได้รับความโกรธเกรี้ยวจากสวรรค์ การสูญเสียอายุขัยหนึ่งร้อยปีนี้จึงถือเป็นการลงโทษที่สวรรค์กำหนดให้กับผู้ใช้วิชานี้

และด้วยเหตุนี้เมื่อพวกเขาพบว่าเจิ้นหลิวชิงยอมสูญเสียอายุขัยของตัวเองไปหนึ่งร้อยปี เพื่อใช้วิชากระจกเงาดาราสรุปชะตากรรมของเฉินซี เพียงเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง มันก็ทำให้ทั้งคู่ตกใจเช่นเดียวกับที่รู้สึกว่ามันไร้สาระมากเช่นกัน มันคุ้มค่าขนาดที่ต้องทำเช่นนี้เชียวหรือ?

ดูเหมือนว่าเจิ้นหลิวชิงจะมองความคิดของพวกเขาออก มุมปากของนางจึงยกขึ้นเล็กน้อย จนเป็นรอยยิ้มที่ดูลึกลับแต่ก็ไม่อาจอธิบายออกมา และนางก็จะไม่อธิบายแก่พวกเขาอย่างแน่นอน

นี่คือกฎของหอวารีหมอก ความลับของสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถพูดถึงได้!

แต่นางก็ตัดสินใจเอาไว้แล้วว่า เมื่อกลับไปถึงหอวารีหมอกแล้ว นางจะรายงานชะตากรรมของเฉินซีให้ประมุขนิกายทราบอย่างแน่นอน เจิ้นหลิวชิงมั่นใจอย่างยิ่งว่าประมุขนิกายของนางจะต้องสนใจเรื่องนี้เป็นแน่

ปัง!

ริ้วแสงที่พาดผ่านท้องฟ้าทำให้ชั้นเมฆที่ควบแน่นด้วยไอน้ำแหวกออกเป็นทางตรงยาว ทำให้ทุกที่ที่พวกมันผ่านไปกลายเป็นภาพที่งดงามมาก

เฉินซีรู้สึกราวกับว่าตนเป็นลูกบอลเพลิงที่หอบหิ้วภูเขาไฟใกล้ระเบิดลอยข้ามฟากฟ้า การใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานด้วยพละกำลังทั้งหมดของเขาช่วยระบายพลังจากโอสถที่กำลังจะระเบิดอยู่ภายในจุดตันเถียนของเขาไปได้บ้างเล็กน้อย

ภูเขา แม่น้ำ พื้นดินที่กว้างใหญ่ เมืองที่สง่างาม หมู่บ้าน… ทิวทัศน์หลากหลายประเภทคล้อยผ่านเขาไปราวกับเงาที่ทอดตัวทิ้งไว้เบื้องหลัง ทำให้มันดูราวกับไม่มีอยู่จริง

ความเร็วของเขาในยามนี้เกินกว่าความเร็วปกติของเขาไปแล้วกว่าสามเท่า เขาได้ทิ้งหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ไว้ข้างหลังเขาโดยปริยาย ด้วยเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มากพอที่จะทำให้กลุ่มผู้ไล่ล่าต้องเริ่มติดตามเขาอย่างยากลำบากยิ่งแล้ว

ทว่าเฉินซีก็ไม่กล้าลดการป้องกันลงและยังคงบินเต็มกำลัง ในแง่หนึ่งเป็นเพราะความแรงของยาที่อยู่ภายในทะเลลมปราณของเขาที่ต้องระบายออกอย่างเร่งด่วน ส่วนในอีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะชายหนุ่มกังวลว่าเขาจะไม่มีเวลาในการเตรียมสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ก่อนที่หวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ จะเริ่มไล่ล่าเขาอีกครั้ง เมื่อเขากลับไปถึงเมืองหมอกสน

‘ชั่วยามครึ่ง! ข้าเพียงแค่ต้องถ่วงเวลาอีกไม่กี่ชั่วยามครึ่งเท่านั้น ด้วยเวลาเพียงเท่านั้นมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำทุกอย่างให้เสร็จ เมื่อถึงยามนั้น แม้จะเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาที่เข้ามาโจมตี ก็ไม่อาจรอดชีวิตไปได้!’ เฉินซีข่มความเจ็บปวดที่แผดเผาร่างกายของเขาอย่างรุนแรงเอาไว้อย่างสุดกำลัง และอาศัยความมุ่งมั่นอันแรงกล้าเพื่อรวบรวมข้อสรุปทั้งหมดนี้เอาไว้ในใจของเขา

หนึ่งวันต่อมา

กลิ่นอายของเฉินซีดูอ่อนแอลงอย่างมาก ใบหน้าของเขาซีดเผือด ที่มุมปากของเขาเองก็มีเลือดสีแดงเข้มไหลออกมา เปลือกตาของเขาหนักราวตะกั่ว ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังใจเพียงเส้นเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ ชายหนุ่มก็คงจะหมดสติไปนานแล้ว

ในช่วงเวลาหนึ่งวันนี้ เฉินซีใช้พลังโอสถในทะเลลมปราณของเขาไปเกือบจะหมดแล้ว ทว่าถึงความแข็งแกร่งของโอสถจะไม่รุนแรงอีกต่อไป แต่จุดตันเถียนและเส้นลมปราณทั่วร่างกายของเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกมันล้วนถูกปกคลุมไปด้วยบาดแผล ในระดับที่เส้นปราณของเขาฉีกขาดไปมากกว่าครึ่งแล้ว

นี่คือพลังที่เกินต้านทานของโอสถวิญญาณระดับปฐพีชั้นยอด โอสถเหลวหยกนภา สำหรับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางมันเป็นโอสถล้ำค่าที่มีค่าในการช่วยบ่มเพาะ แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในขอบเขตต่ำกว่าลงไป มันก็ไม่ต่างอะไรกับยาพิษเลยแม้แต่น้อย

“หืม?” ขณะที่จิตสำนึกของเฉินซีเริ่มพร่าเลือน จู่ ๆ เขาก็เงยศีรษะขึ้น ทิวทัศน์ของภูเขาลูกเล็กลูกใหญ่ที่ลดหลั่นความสูงไล่เรียงกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดสะท้อนเข้ามาในสายตาของชายหนุ่ม ในขณะที่ด้านข้างของภูเขานั้นเป็นเมืองที่มีรูปร่างคล้ายกระดองเต่าที่หันหลังให้ภูเขา และกลืนกินพื้นที่ขนาดใหญ่เอาไว้ตั้งอยู่

เมืองหมอกสน!

หัวใจของเฉินซีสั่นไหว เขาจ้องมองไปยังโครงสร้างที่คุ้นเคยของเมือง ชายหนุ่มเริ่มรวบรวมแรงใจของเขาอย่างแรงกล้าก่อนจะทุ่มพลังที่เหลืออยู่ในร่างกายของเขาเพื่อพุ่งลงมาจากกลางอากาศ ตรงไปยังสถานที่ที่คุ้นเคยที่สุดในความทรงจำของเขา

ในยามนี้ เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการปกปิดรูปร่างของตนอีกต่อไป เช่นเดียวกับที่เขาไม่ได้ใส่ใจว่าตนจะดึงความสนใจของผู้บ่มเพาะของเมืองหมอกสนหรือไม่ ความคิดเดียวในใจของเขาตอนนี้มีเพียงตามหาเฉินฮ่าวที่อยู่ในเขตตระกูลเฉินเท่านั้น

ไม่กี่อึดใจ จู่ ๆ เฉินซีก็หยุดเคลื่อนไหวลงและเดินโซเซลงไปบนพื้น เขาจ้องมองไปที่จวนหลังใหญ่ที่กินพื้นกว้างขวางเบื้องหน้าอย่างว่างเปล่า และจับจ้องไปยังแผ่นป้ายที่แขวนอยู่บนทางเข้าสีแดงชาดขนาดใหญ่

แผ่นป้ายที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเรียบและสง่างาม มีเพียงสองคำเท่านั้นที่เขียนขึ้นด้วยลายเส้นที่มั่นคงและประณีตดุจมังกรม้วนตัว เป็นคำว่า ‘ตระกูลเฉิน’!