ตอนที่ 134 โดนด่า
มือของชุยหังสั่นจนแทบจะถือโทรศัพท์ไว้ไม่ไหว หลูจื้อเคยโทรมาหาเขาจริงๆ และไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย
จิตสำนึกของเขาเหมือนกับก้อนเมฆที่โดนระเบิดออกจนเป็นช่องโหว่อย่างกะทันหัน ชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นในทันใด
เหมือนคนที่เป็นความดันโลหิตต่ำ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเลือดพุ่งขึ้นที่ศีรษะอย่างกะทันหัน ความรู้สึกตื่นเต้นแบบที่ทำให้เขาอยากหาคนมาแบ่งปัน อยากจะพูดสักสามสี่ประโยคเพื่อพิสูจน์ว่าตนไม่ได้ฝันไป
เขาดึงหมายเลขโทรศัพท์ของหลูจื้อออกจากรายชื่อบัญชีดำอย่างระมัดระวัง
จากนั้นข้อความก็เด้งขึ้นมาไม่ขาดสาย…
ที่แท้หลูจื้อไม่เพียงแค่โทรหาเขาเท่านั้น แต่ยังส่งข้อความมาด้วย
เขากดเข้าไปดูข้อความทีละข้อความๆ ที่ส่งมาจากหลูจื้อ
[ฉันไม่ได้กลับมาเพื่อโยกย้ายงาน ฉันโอนย้ายกลับมาแล้ว เรื่องแฟนฉันจะจัดการให้เรียบร้อยเอง]
[ฉันเลิกกับเขาแล้วนะ แบบนี้นายพอใจหรือยัง]
[นายทำไมไม่รับโทรศัพท์ฉัน ทำไมถึงขึ้นว่ากำลังพูดโทรศัพท์อยู่ตลอดเลย]
[นายแม่งบล็อกชื่อฉันไปแล้วใช่ไหม นายอยากตายหรือไง]
[นายหมายความว่าไง รีบตอบฉันกลับเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันรออยู่นะ]
[ไม่ว่ายังไงตอนนี้ฉันก็เลิกไปแล้ว ไม่มีแฟนแล้ว หน้าที่รับผิดชอบครั้งนี้นายรับไปเลยนะ]
[นี่มันบ้าอะไร ชุยหังนายแม่งตาบอดหรือไงวะ ไม่เห็นข้อความที่ฉันส่งให้นายหรือไง]
[ฉันเพิ่มวีแชทนายแล้ว ทำไมนายถึงไม่ให้ผ่านฮะ นายโง่หรือเปล่าเนี่ย]
ด้านหลังยังมีข้อความบางส่วนที่เต็มไปด้วยความโกรธจัดเหมือนฟ้าผ่า ชุยหังรู้สึกว่าตนเหมือนพวกคนโง่จริงๆ ที่ไม่เห็นข้อความพวกนี้เลย
จากนั้นเขาก็เปิดโรมมิ่งแล้วกดเข้าไปในวีแชท ทันใดนั้นคำตรวจสอบยืนยันเพื่อนที่หลูจื้อส่งมาหลายข้อความก็เด้งรัวเข้ามา
ทุกข้อความมีแค่คำด่าเขาทั้งหมด
[ไอ้เจ้าลูกกระต่ายนายรีบกดผ่านเดี๋ยวนี้นะ]
[ฉันบอกให้นายเพิ่มฉันเห็นหรือยัง]
[นายอย่าให้ฉันจับนายได้นะ ไม่งั้นคอยดูว่าฉันจะจัดการกับนายยังไง]
ยิ่งดูข้อความพวกนี้มากเท่าไหร่ ในหัวของชุยหังก็ยิ่งสับสนมากขึ้นเท่านั้น
มีความรู้สึกเหมือนถูกความสุขและความกลัดกลุ้มตีเข้าที่หัวในเวลาเดียวกัน
ส่วนอันไหนเจ็บกว่ากัน แน่นอนว่าหัวต้องเจ็บกว่า…
ตนเตรียมพร้อมที่จะยอมแพ้แล้ว จู่ๆ เขาก็มาบอกกับตนว่าเขาทำเรื่องพวกนี้เพื่อตน
แม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับแต่มันก็หมายความว่าเบี่ยงเบนแล้วไม่ใช่หรอกหรอ
ชุยหังรู้สึกว่าถ้าตนไม่แสดงออกอะไรเลยมันจะดูไม่ค่อยเหมาะสมเกินไปหรือเปล่า
ถ้าตนยังเสแสร้งทำเป็นเฉยเมยไม่สนใจ แบบนั้นมันเหมือนนังชาเขียว [1] จริงๆ ทั้งๆ ที่ชอบหลูจื้อ ตอนนี้หลูจื้อก็กลับมาแล้วและยังเลิกกับแฟนสาวเพื่อเขาแล้ว แต่เขากลับเจ้าเล่ห์หาเรื่อง ถ้าละครในทีวีแสดงแบบนี้ล่ะก็แม้แต่ตัวชุยหังเองก็อดไม่ได้ที่จะทุบทีวีแล้วแคะแกะเอามันออกมาโยนลงบนพื้นและเหยียบย่ำจนตาย
ดังนั้นเขาจึงกดผ่านคำตรวจสอบยืนยันเพื่อนของหลูจื้อ
จากนั้นเพื่อพิสูจน์ว่าเขาลากหลูจื้อออกจากรายชื่อบัญชีดำแล้วจึงส่งข้อความสั้น ๆ ไปให้เขาแทนวีแชท
[ผมพึ่งเห็นเมื่อกี้ ขอโทษนะ อย่าโกรธไปเลยนะ]
จากนั้นเขาก็ดูอย่างละเอียดอีกครั้ง มันควรจะทำให้คนรู้สึกว่าไม่เสแสร้งแล้วก็ชาเขียวก่อนถึงจะเลือกกดส่งมันไป
ข้อความจากทางด้านนี้ก็พึ่งจะส่งออกไปไม่นาน โทรศัพท์ของหลูจื้อก็โทรเข้ามา
แต่ว่าอารมณ์ของชุยหังในครั้งนี้ไม่เหมือนกับคราวที่รับสายของซ่งไข่ที่แฝงความหงุดหงิดรำคาญใจอยู่หน่อยๆ แต่ค่อนข้างจะประหม่ามาก
“ฮัลโหล…” เขาพูดอย่างระมัดระวัง
“ชุยหัง นายแม่งไม่เคยตายใช่ไหม เป็นบ้าหรือไง” หลูจื้อตะโกนด่าอย่างแรง
ชุยหังเข้าใจอารมณ์ของเขาในตอนนี้และก็รู้ว่าตนทำผิดอะไร ดังนั้นจึงไม่กล้าจะด่ากลับไป ได้แต่พูดเสียงเบาๆ ว่า: “น่าจะใช่มั้ง…”
“ยังจะหลบ หลบอะไรนักหนา นายคิดจะหลบฉันไปถึงเมื่อไหร่ ฉันแม่งจะหานายไม่เจอแล้วหรือไง”
ตอนที่ 135 ถ้าฉันเป็นแฟนกับนายล่ะ
ไฟโกรธของหลูจื้อคงจะต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะสงบลงได้
ชุยหังทำได้แค่เพียงฟังอย่างเชื่อฟัง และไม่ต่อต้านใดๆ
“นี่นายหมายความไง ใครให้สิทธิ์บล็อกเบอร์ฉัน วีแชทก็ลบทิ้ง โทรศัพท์ก็โดนบล็อก นายอยากขึ้นสวรรค์หรือไง” หลูจื้อถาม
“ไม่ใช่นะ…ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น…”
“งั้นนายหมายความว่าไง จงใจด้วยใช่ไหม ไม่อยากติดต่อกับฉันแล้วใช่ไหม ถ้าเกิดฉันไม่เป็นแฟนกับนาย นายก็ไม่อยากรู้จักครูฝึกคนนี้แล้วใช่หรือเปล่า” หลูจื้อถามคำถามหลายข้อติดต่อกันยาวเหยียด
ชุยหังไม่รู้ว่าควรจะตอบข้อไหนถึงจะเหมาะสม
“ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ เป็นใบ้แล้ว?” หลูจื้อถาม
นี่เป็นครั้งแรกที่ชุยหังพบว่าฝีปากของหลูจื้อดีมากขนาดนี้
ก่อนหน้านี้ที่เขาอยู่ต่อหน้าตนแล้วพูดไม่ทันตน นั่นเป็นเพราะตรรกะทฤษฎีของตนมันก้าวหน้ามากเกินไป เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ดังนั้นเลยทำให้ตื่นตกใจล่ะมั้ง
ตอนนี้เขาปรับตัวให้เข้ากับตนได้แล้วและพร้อมที่จะยอมรับตนแล้ว ดังนั้นตรรกะทฤษฎีของตน พวกนี้สำหรับเขาจึงไม่ได้มีความกดดันอยู่เลยแม้แต่นิด
ก่อนหน้านี้ทำไมตนถึงคิดไม่ถึงจุดนี้นะ จนตอนนี้ถูกหลูจื้อโจมตีกลับแล้ว
“เปล่าก็ผมฟังคุณพูดอยู่ไง” ชุยหังพูดประโยคที่โง่เขลาสุดๆ ออกไป
ประโยคนี้ทำให้หลูจื้อโกรธมากขึ้นกว่าเดิมจริงๆ : “ฉันถามคำถามนายอยู่ นายฟังฉันพูด พูดกะผีอะสิ?”
“ประเด็นก็คือคุณถามเยอะเกินไป ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบข้อไหนดี…” ชุยหังกล่าว
ตอนนี้เขาไม่ได้แสดงอำนาจท่าทีเหมือนกับที่เคยใช้กับหลูจื้อเมื่อตอนแรก เป็นเหมือนกับลูกแมวที่ถูกตัดเล็บตัดเขี้ยวไปแล้วไม่มีผิดเพี้ยน ไม่มีพลังต่อสู้เลย
“ฉันถามนาย ถ้าฉันไม่เป็นแฟนกับนาย นายก็จะไม่ติดต่อกับฉันอีกแล้วใช่ไหม” หลูจื้อถามย้ำคำถามที่สำคัญที่สุดที่เขาพึ่งถามไปเมื่อก่อนหน้านี้
ชุยหังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและตอบอย่างตรงไปตรงมา: “อืม น่าจะใช่”
“หึ ตอนนี้ล่ะ? ถ้าฉันบอกว่าฉันยินดีจะเป็นแฟนกับนายล่ะ?” หลูจื้อถาม
ชุยหังยังคงคิดถึงสิ่งที่เขาพูดกับตนในวันนั้นแล้วพูดขึ้นว่า: “ผมคิดว่าคุณกลับไปคิดๆ ดูก่อนเถอะ”
“คิดน้องแกสิ ฉันจนเลิกกับแฟนแล้ว นายยังจะให้ฉันคิดๆ ดู นายเป็นอะไรเนี่ย” หลูจื้อรู้สึกเหมือนโดนหลอก
ชุยหังพูดขึ้น: “ประเด็นคือคุณเลิกกับแฟนคนนี้แล้ว แต่คุณเคยบอกไม่ใช่หรอว่าต่อไปในอนาคตคุณจะแต่งงาน”
หลูจื้อโกรธจัดและพูดว่า: “นายโง่หรือเปล่าฮะ ฉันถามนายหน่อยสินายโง่หรือเปล่า”
ชุยหังถูกหลูจื้อด่าอย่างประหลาดใจ นี่เขาพูดเองไม่ใช่หรอ?
หรือว่าตนจำผิดไป ใส่ร้ายเขา?
“วันนี้นายหยุดใช่ไหม” หลูจื้อถาม
“ใช่ ทำไมหรอ” ชุยหังถาม
“มารอฉันที่ประตูสาม ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” หลูจื้อกล่าว
ยังไม่ทันรอคำตอบของชุยหัง หลูจื้อก็ตัดสายโทรศัพท์ทิ้งไปก่อนแล้ว
ชุยหังรู้สึกว่าสมองของเขาไฟฟ้าลัดวงจรไปแล้ว รู้สึกสับสนเกี่ยวกับสาเหตุและผลลัพธ์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ตนทำอะไรไป เมื่อครู่นี้ตนคงจะได้คุยโทรศัพท์กับหลูจื้อจริงๆ ใช่ไหม
หลังครุ่นคิดสักพักเขาก็เหมือนสมองเป็นตะคริวยังไงอย่างนั้น กดส่งข้อความวีแชทไปหาหลูจื้อว่า: [คุณจะมาจริงๆ หรอ]
หลังจากนั้นไม่นานหลูจื้อก็ส่งข้อความเสียงมา: [แม่งเลิกพูดไร้สาระ แล้วไปที่ประตูสาม ถ้าฉันไม่เจอนายล่ะก็นายคิดเอาเองเลยว่าอยากตายยังไง]
ชุยหังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นี่มันแนวคิดอะไรกันเนี่ย?
อันที่จริงในใจของเขาแอบมีความหวังเล็กๆ แต่ว่าตราบใดที่หลูจื้อไม่ได้บอกเขา เขาก็ไม่กล้ามั่นใจเด็ดขาด
ดังนั้นไปรอที่ประตูสามก่อนแล้วค่อยว่ากัน
——
[1] นังชาเขียว 绿茶婊 (ลีว์ฉาเปี่ยว) Green Tea Bitch โดย绿茶 (ลีว์ฉา) คือชาเขียว 婊 (เปี่ยว) คือโสเภณี หมายถึงคนที่มีท่าทางหงิม ๆ แต่ความจริงเป็นคนฉลาด มากวิธีการหรือน้ำนิ่งไหลลึก เป็นคนเงียบขรึม แต่มีความคิดลึกซึ้ง