Ch.246 – ผิงหยุนถูกทำลาย

Provider : Muntra

 

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.246 – ผิงหยุนถูกทำลาย

 

รูนมืดทรงพลังเป็นอย่างมาก แค่เส้นผ่านศูนย์กลางของมันก็กว้างกว่า 3 เมตร เสาทมิฬทะยานขึ้นสู่เบื้องบน พุ่งเข้าชนกับเพดานบาร์ แพร่กระจายออกไปรอบอาคาร

 

บาร์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าที่สูงกว่า 20 เมตร เมื่อต้องเผชิญกับพลังที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ ตัวอาคารก็เริ่มปริร้าวและ–

 

–ครืนนนน!

 

อาคารถล่มลงมา แสงสีดำขนาดใหญ่พวยพุ่ง ก่อตัวเป็นวังวนเมฆดำบนท้องฟ้า

 

ระดับราชันย์ แน่นอนว่าไม่ใช่ตัวตนเล็กจ้อย

 

ในการต่อสู้ที่แล้วๆมา ที่มันไม่สำแดงพลังนี้ ก็เพราะยังไม่อาจปรับสมดุลให้เข้ากับโลกมิตินี้ได้

 

ปัจจุบัน รูนสีดำกระจายไปในอากาศ มนุษย์ในพิสัยของมันเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก พลังงานในร่างกายคล้ายถูกดูดซึม และหดหายไปอย่างรวดเร็ว ผิวที่เคยเปล่งปลั่งสุขภาพดี บัดนี้เหี่ยวเฉา คล้ายกำลังผุพัง

 

เบ้าตาของพวกเขาเริ่มลึกโบ๋ สองตาปูดโปนคล้ายกำลังจะระเบิด ปรากฏกลิ่นสาบกระจายออกมาจากตัว

 

“ฮือ — ” ลำคอของคนเหล่านี้ไม่อาจเปล่งเสียงพูดของมนุษย์ได้อีกต่อไป ทั้งคนทั้งร่างแปรสภาพกลายเป็นศพเน่าเปื่อย!

 

–พวกเขาติดเชื้อจากรูนมืด!

 

สำหรับปีศาจเสพวิญญาณ นอกจากครอบครองพลังสมาธิอันทรงประสิทธิภาพแล้ว ที่ทรงพลังยิ่งกว่าก็คือความสามารถในการแพร่เชื้อ

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“รีบอุดจมูกเร็วเข้า การโจมตีนี้แทรกซึมอยู่ในอากาศ คนที่สูดเข้าไปจะติดไวรัส รีบฆ่าพวกเขาเร็ว!”

 

“นั่นรูนมืด! ระวังตัวกันให้ดี อย่าปล่อยให้คนที่ติดไวรัสกัด!”

 

ผู้ใช้พลังทั้งหมดในผิงหยุน ระเบิดพลังเข้าต่อสู้ เนื่องจากร่างกายของพวกเขามีคุณสมบัติเหนือกว่ามนุษย์คนอื่นๆ ดังนั้นไม่มีปัญหาใดๆ ทว่าสำหรับมนุษย์ธรรมดาในบริเวณใกล้เคียง … ยากนักที่จะรอด

 

อีกทั้งการแพร่กระจายของเชื้อ ยังระบาดกินวงกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว

 

ก็คิดดูเอาเองเถอะ ว่าขนาดพวกเขายังโกลาหลกันถึงขนาดนี้ แล้วใครบางคนที่ยืนหยัดอยู่ใจกลางความมืดมิด คนที่เป็นทั้งผู้ใช้วรยุทธโบราณและผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล E จะตกอยู่ในสถานการณ์ใด!

 

หากบุคคลที่กล่าวมาติดเชื้อ บางทีศัตรูที่ชุมชนผิงหยุนต้องรับมืออาจไม่ใช่ระดับราชันย์แค่ 1 แต่เป็น 2 !

 

ณ ใจกลางของเสารูนมืด พวกเลเวล F ที่ตามมาสนับสนุนฉินเฟิง ไม่สามารถเฝ้ารอเขาได้อีกต่อไป 

 

—รูนมืดอันทรงพลังกำลังแพร่กระจายด้วยความเร็วอันน่าสะพรึงกลัว พวกมันพยายามที่จะเจาะเข้าไปในร่างกายของฉินเฟิง เพื่อกำจัดกลิ่นอายแห่งชีวิตของเขา

 

“พลังพิเศษดูดกลืน!”

 

ฉินเฟิงระเบิดพลังพิเศษติดตัวของตนขึ้นทันใด มันเริ่มดูดซับรูนมืดรอบๆอย่างบ้าคลั่ง

 

รูนมืดถูกดูดเข้าไปหลอมรวมกับดาวเคราะห์ในจิตสำนึกของฉินเฟิง ช่วยลดทอนอันตรายที่เขาต้องเผชิญ

 

แม้ฉินเฟิงจะมีภูมิคุ้มกันต่อรูนมืด แต่ก็ไม่เสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูนมืดอันทรงพลังที่ปลดปล่อยออกมาจากชนชั้นราชันย์

 

“เล่นกันถึงขนาดนี้ ถ้าฉันไม่โต้กลับไปบ้าง คงจะเป็นการเสียมารยาท!”

 

ฉินเฟิงย่อตัวลง คว้าจับแขนของปีศาจเสพวิญญาณทันใด 

 

ในเวลานี้ปีศาจเสพวิญญาณซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน และสถานะของมันสมควรเป็นอากาศธาตุ มิอาจสัมผัสต้องได้

 

อย่างไรก็ตาม มือของฉินเฟิงห่อหุ้มไว้ด้วยรูนมืด ฉะนั้นเขาเลยสามารถใช้มันเป็นสื่อกลางในการสัมผัสอีกฝ่ายได้

 

“เอาไปกินซะ!”

 

ฉินเฟิงระดมรูนไฟกลายพันธ์ระเบิดลงใส่พื้นดิน 

 

รูนไฟทรงพลังและรูนมืดยื้อยุทธกันและกัน

 

ผลพวงของมันทำเอาพื้นโดยรอบหลอมเหลวจนเกิดเป็นลาวา

 

และแล้วการปะทะระหว่างสองรูนก็ได้ข้อสรุป

 

ตูม!

 

รูนทั้งสองแตกกระเจิงไปทุกทิศทาง กระแสวังวนทมิฬที่ก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้าถูกขัดจังหวะโดยฉินเฟิง ปีศาจเสพวิญญาณถูกห่อหุ้มภายใต้รูนมืด ดังนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ มันฉวยโอกาสงับเข้าใส่มือของฉินเฟิง

 

“ฮึ่ม!” ฉินเฟิงคำรนเกรี้ยวกราด การกัดของมันทำให้ฝ่ามือของเขาเกิดอาการด้านชา และกลายเป็นไร้ความรู้สึก

 

–นี่คือการโจมตีด้วยพลังสมาธิ

 

ซึ่งพลังสมาธิที่ปีศาจเสพวิญญาณครอบครอง มันทรงพลังเป็นอย่างมาก

 

ฉินเฟิงจำใจต้องปล่อยมือ ปีศาจเสพวิญญาณไม่รอช้ามุดหายจมลงไปเบื้องล่างทันที มิอาจหาร่องรอยได้อีกเลย

 

มันหนีเขาไปอีกแล้ว!

 

สีหน้าของฉินเฟิงหม่นทะมึน

 

อย่างไรก็ตาม ภายนอกเหมือนว่าจะยังได้ยินเสียงของการต่อสู้อยู่ มองออกไป จะพบกับผู้ใช้พลังกำลังต่อกรกับซากศพนับไม่ถ้วน สำหรับพวกเขา นอกเหนือไปจากการสะบั้นศีรษะแล้ว ไม่มีวิธีอื่นใดที่จะใช้สังหารพวกมันลงได้อีก

 

ซากศพเริ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

 

คนธรรมดาเมื่อถูกรูนมืดสัมผัสก็เริ่มเน่าเปื่อย และกลายพันธุ์เป็นซากศพ พละกำลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล จากคนธรรมดากลายเป็นมีความแข็งแกร่งอย่างน้อยก็เลเวล G

 

แต่ประเด็นก็คือ จำนวนคนธรรมดา เมื่อเทียบกับผู้ใช้พลังแล้ว ถือว่าแตกต่างกันมากเกินไป

 

และเมื่อคนธรรมดากลายเป็นศัตรู เหล่าผู้ใช้พลังก็ไม่ต่างอะไรกับลูกแกะที่กำลังขึ้นเขียง

 

นับว่าโชคยังดีที่ฉินเฟิงออกมาจากซากปรักหักพังของบาร์ และช่วยแก้วิกฤตของเหล่าผู้ใช้พลังได้พอดี

 

“พรมโลกันต์!”

 

ถนนทั้งสายถูกปกคลุมไปด้วยทะเลเพลิง เมื่อซากศพสัมผัสกับเพลิงโลกันต์ของฉินเฟิง พวกมันก็มีสภาพเป็นก้อนโค้ก และในอีก 2 – 3วินาทีต่อมาก็กลายเป็นขี้เถ้า

 

เนื่องจากพลังสมาธิของฉินเฟิงแข็งแกร่งมาก ดังนั้นอบิลิตี้ที่ถูกปลดปล่อยออกมาในปัจจุบัน จึงไม่อาจนำไปเทียบเปรียบกับเมื่อก่อนได้

 

ในขณะที่ซากศพก็อ่อนแอเกินไป ฉะนั้นการต่อสู้จึงจบลงอย่างรวดเร็ว

 

“ผู้ว่าการฉิน คุณเป็นอะไรรึเปล่า?” ตันหยูเมื่อเห็นฉินเฟิงก้าวออกมาแบบไร้รอยขีดข่วน ความกังวลในหัวใจของเขาก็คลายลง

 

เพราะหากฉินเฟิงกลับมาในสภาพเป็นซากศพเน่าเปื่อย พวกเขาคงสิ้นหวัง และมิอาจรอดชีวิตออกไปจากเมืองได้!

 

“สั่งอพยพพลเมืองทั้งหมดในชุมชน … เร็วเข้า!”

 

ตอนนี้ทั่วทั้งสถานชุมชน อย่างน้อยก็มีซากศพติดเชื้อกว่าหลายพันตัว แต่ยังมีคนธรรมอีกนับหมื่นที่ไม่ติดเชื้อ ดังนั้นขอแค่สามารถออกไปจากที่นี่ ก็ยังพอมีโอกาสรอดชีวิต

 

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เมื่อคนเหล่านี้จากไป จะได้ไม่มีอะไรมาคอยขวางมือขวางตีนฉินเฟิง และสามารถสู้กับปีศาจเสพวิญญาณได้อย่างเต็มที่สักที

 

นี่ยังไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่ หากปีศาจเสพวิญญาณกลืนกินวิญญาณได้มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นได้มากเท่านั้นอีกนะ

 

–หลังจากที่โลกเข้าสู่ยุคโลกาวินาศ แม้มนุษย์จะสามารถปลุกพลังวรยุทธโบราณและอบิลิตี้ขึ้นมาได้ แต่ก็มีน้อยมาก หากเทียบกับมือปืน ทั้งสองสิ่งนี้บ่งชี้ให้เห็นได้ว่า เผ่าพันธุ์มนุษย์ ในความเป็นจริงแล้ว ‘พลังสมาธิ’ คือจุดแข็งของพวกเขา 

 

ดังนั้น วิญญาณมนุษย์ สำหรับปีศาจเสพวิญญาณแล้ว เลยถือว่าเป็นอาหารเสริมชั้นดี

 

ด้วยเหตุนี้เองในชีวิตก่อนหน้าของฉินเฟิง หลังจากที่ผู้คนกว่า 20,000 ถูกสูบกลืนโดยปีศาจเสพวิญญาณ อีกฝ่ายเลยสามารถวิวัฒนาการขึ้นเป็นเลเวล D 

 

เป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงจะไม่รั้งรอให้ศัตรูตัวฉกาจของเขาเติบโตขึ้นไปถึงระดับนั้น

 

ในเวลานี้ ไม่ใช่แค่ตันหยู กระทั่งหยูกังที่เป็นตัวปัญหาคอยขัดขวางคำสั่งของฉินเฟิง ทั้งสองตัดสินใจเร่งประกาศฉุกเฉินทันที โดยเฉพาะตัวหยูกัง หลบหนีไปเร็วยิ่งกว่าคนอื่นๆซะอีก

 

สำหรับผิงหยุน แม้จะเป็นเมืองขนาดเล็ก และมีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป อย่างเช่นสถาบันระดับสูง ฯลฯ แต่สิ่งที่พวกเขาไม่ขาดแคลน —คือรถศึก!

 

พลเมืองถูกอพยพอย่างรวดเร็ว ซากศพเดินได้ระเกะระกะระหว่างทาง ถูกปืนกลหนักที่ติดตั้งบนรถศึกยิงกวาดจนเกลี้ยง

 

ฉินเฟิงเองก็คอยสนับสนุนการอพยพเช่นกัน ซากศพใดผ่านแนวสายตาเขา ล้วนถูกแผดเผากลายเป็นขี้เถ้า

 

ชุมชนผิงหยุนที่แต่เดิมคึกคักและเต็มไปด้วยชีวิตชีวาในยามเช้า ค่ำคืนในวันนี้ กลับกลายเป็นแดนนรก!

 

หลังจากอพยพกันตลอดทั้งคืน สามารถนำคนออกมาจากผิงหยุนได้แค่ 10,000 คนเท่านั้น แต่ประเด็นก็คือ 10,000 ที่รอดตายมีโอกาสติดเชื้อและกลายเป็นซากศพได้ตลอดเวลา ดังนั้นตันหยูเร่งส่งทีมแพทย์เข้าทำการรักษาอย่างรวดเร็ว

 

ภายในผิงหยุน ตอนนี้สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ได้แก่ คนที่ไม่สามารถหลบหนีมาได้ , เสียงกรีดร้องน่าสยดสยองของซากศพ และปีศาจเสพวิญญาณที่ไม่ทราบว่าไปมุดหัวอยู่ที่ไหน

 

ฉินเฟิงยืนอยู่บนดาดฟ้าของตึกกลุ่มซ่งเฉิน ในจุดที่สามารถมองเห็นทั่วทั้งสถานชุมชน

 

เส้นขอบฟ้าเริ่มปรากฏสีขาวรำไร บ่งบอกว่ารุ่งอรุณได้มาเยือนอีกครั้ง

 

สำหรับปีศาจเสพวิญญาณ แม้มันจะเป็นราชันย์เลเวล E แต่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตธาตุมืด ฉะนั้นไม่ชอบแสงแดด เลยวางใจเรื่องที่มันอาจจะหลบหนีไปจากสถานชุมชนได้

 

ฉินเฟิงหลับตาและพักผ่อน ระดมพลังสมาธิเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการใช้งานตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็คอยค้นหาตำแหน่งของปีศาจเสพวิญญาณ

 

ในเวลาเดียวกัน ณ ภายในห้องใต้ดินอันมืดมิด ผู้คนกระจุกรวมกันนับ 10 คน กอดกันด้วยกายที่สั่นสะท้าน

 

เมื่อวานหลังจากเกิดการกลายพันธุ์ของซากศพ คนพวกนี้ดันโชคร้ายบังเอิญเจอพวกมันเข้า และไม่มีกำลังมากพอจะต่อต้าน หลังจากได้รับคำสั่งอพยพฉุกเฉิน พวกเขาก็เลือกซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดินซึ่งมีมาตรการป้องกันระดับสูง เฝ้ารอคอยทหารจากภายนอกเข้ามาช่วยเหลือ

 

แต่ช่างน่าสงสาร ที่พวกเขาไม่ทราบ ว่าศัตรูที่แท้จริงที่พวกตนกำลังเผชิญ มันมิใช่กองทัพซากศพ

 

ท่ามกลางความมืดมิด ร่างสีเข้มโผล่ออกมาจากนอกกำแพง พริบตาเดียวก็ตะครุบเข้ากลางวงฝูงชนทันที

 

“อ๊าาาา!”

 

เสียงกรีดร้องน่าเวทนา สะท้อนไปทั้งชั้นใต้ดิน …