บทที่ 50 ข้ากล้าเจ้าไม่กล้า โดย Ink Stone_Romance
บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ในห้องสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
แต่ไม่ใช่เพราะคำว่าเกิดเรื่องสองคำ แต่เป็นเพราะสาวใช้พูดว่าข้างนอก
“อยู่ในบ้านพูดถึงข้างนอกอะไร” หญิงรับใช้คนหนึ่งเอ็ดเสียงดัง
ครั้งก่อนมีสาวใช้คนหนึ่งเสียสติเป็นบ้าไปแล้ว บอกเรื่องคฤหาสน์ข้างนอกให้องค์หญิงฟังผลสุดท้ายไม่เหลือชีวิต ถึงกับยังมีคนไม่รู้จักบทเรียนมาพูดเรื่องข้างนอกอีก นางอยากตายก็อย่าลากคนอื่นไปด้วย
สาวใช้คนนั้นถูกตะคอกอับอาย แต่กลับไม่ได้หยุด
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ข้างนอกอันนั้น” นางรีบร้อนเอ่ย ยื่นมือชี้ด้านนอก “เป็นข้างนอกประตูบ้านเรา มีคนมาโยนข้าวของ”
คนในห้องล้วนตะลึง กระทั่งองค์หญิงจิ่วหลีก็หยุดชามตะเกียบด้วย ประหลาดใจเล็กน้อยมองข้ามมา
โยนข้าวของนอกประตูจวนสกุลลู่? นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ
ใครเสียสติเป็นบ้าไปแล้ว?
“โยนของอะไร?” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยถาม
สาวใช้สีหน้าพิกล
“บอกว่าเป็นสินสอด” นางเอ่ย พูดจบก็ก้มหน้า
สินสอด?
สินสอด….
ทั้งห้องเงียบกริบ
ประตูจวนสกุลลู่กลับเสียงดังไม่ขาด เมื่อหีบใบสุดท้ายถูกโยนลงจากรถ หลังเสียงโครมครามเสียงหนึ่งดังขึ้นในที่สุดก็สิ้นสุด
แต่หน้าประตูกลับไม่ได้เงียบสงบลงตรงนี้ เฉินชียืนอยู่บนรถปรบมือ ส่งเสียงดังกังวาน หลังจากนั้นหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ
“โอ้ใช่แล้ว ยังมีสิ่งนี้” เขาเอ่ย ยืนอยู่หน้าประตูเหยียดมองลงจากที่สูงมองมาทางลู่อวิ๋นฉีโบกทีสองที “เงินครั้งก่อน”
พูดจบก็สะบัดทีหนึ่ง ตั๋วเงินลอยละล่องกระจายเต็มด้านบนหีบกล่อง
องครักษ์เสื้อแพรกับชุดปลาบินและดาบปักวสันต์สองด้านหน้าประตูยืนนิ่ง สายตาทะมึนประหนึ่งจะทำให้แสงอัสดงฉับพลันกลายเป็นค่ำมืด
ลู่อวิ๋นฉีกลับไม่เคลื่อนไหวอย่างใด สายตาจับบนตั๋วเงินที่โปรยปรายอยู่นั่น
“ตอนนี้ กล้าแล้ว” เขาเอ่ยเรียบเฉย
คำพูดนี้ฟังแล้วไม่มีต้นไม่มีปลาย ไร้ที่มา
แต่เฉินชีกลับรู้นี่หมายความว่าอะไร นอกจากนี้เขายังเติมคำบอกน้ำเสียงคำหนึ่งให้ลู่อวิ๋นฉีเอง แล้วยังประกอบสีหน้าให้อีกด้วย
สีหน้านี้คือดูแคลนและหยามหยัน
ตอนนี้ กล้าแล้วสิ
เมื่อปีก่อนนี่เองลู่อวิ๋นสะบัดตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงให้เด็กสาวคนนี้ ให้นางเปลี่ยนชื่อ เด็กสาวคนนั้นไม่อยากเปลี่ยน แต่ไม่ได้เหมือนเช่นตอนนี้เอาเงินสะบัดกลับมาเช่นนี้
“ตอนนั้นไม่กล้าไม่รับ หลังจากนั้นไม่กล้าคืน” นางเอ่ยเต็มปากเต็มคำ
นี่เพิ่งผ่านไปครึ่งปี การกระทำท่าทางของนางก็เปลี่ยนไปแล้ว เผชิญหน้ากับของที่ลู่อวิ๋นฉีให้กล้าไม่รับแล้ว ยังกล้าลากมาทิ้งถึงจวนสกุลลู่อย่างโอหังเช่นนี้อีก
นี่เรียกอะไร?
นี่เรียกสิบปีอยู่ตะวันออกของแม่น้ำ สิบปีอยู่ตะวันตกของแม่น้ำ[1]
แต่หากเป็นครึ่งเดือนก่อนหน้าเฉินชียังไม่กล้าคิดเช่นนี้
เขามองลู่อวิ๋นฉี มองดูองครักษ์เสื้อแพรที่ยืนตรงประหนึ่งสุนัขเลวตัวแล้วตัวเล่าอยู่สองด้าน มองดูหีบกล่องที่หล่นกระจายบนพื้นก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้
อย่างกับฝันไป
เขาถึงกับทำเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าองครักษ์เสื้อแพร ต่อหน้ายมราชลู่ ลู่อวิ๋นฉี
มองดูทั้งอาณาจักรต้าโจว เขาคงเป็นคนแรกกระมัง?
ไม่ถูก บุตรชายเฉิงกั๋วกงนับเป็นคนแรก
เฉินชีในใจความคิดสับสนวุ่นวาย
เขาทำเรื่องเช่นนี้ลงไป ลู่อวิ๋นฉีถึงกับแค่ยืนอยู่ตรงประตูมองดู ไม่บันดาลโทสะ ทั้งไม่ลงมือ
ได้ยินว่าในอดีตมีขุนนางคนหนึ่งตอนถูกองครักษ์เสื้อแพรยึดทรัพย์ ถ่มน้ำลายใส่ลู่อวิ๋นฉีคำหนึ่ง ถูกลู่อวิ๋นฉีตัดลิ้นตรงนั้น
ขุนนางคนนี้ยังไม่ทันเข้าคุกสอบสวนก็ไม่อาจพูดได้แล้ว ขุนนางกลุ่มหนึ่งกล่าวโทษกองพะเนิน ท้ายที่สุดลู่อวิ๋นฉียังคงยืนอยู่ตรงนี้ดีๆ มองดูเขาโยนหีบ
เฉินชีกลืนน้ำลายอีกครั้ง มือกดหน้าอกโดยไม่รู้ตัว
ลู่อวิ๋นฉียังคงยืนอยู่ที่ประตู สีหน้านิ่งสนิทไม่ขยับสักนิด
“ใต้เท้าลู่ ครั้งหน้าอย่าล้อเล่นเช่นนี้อีก” เฉินชียกมือเอ่ย “ขอตัว”
ลู่อวิ๋นฉียังคงไม่พูดจา แล้วก็ไม่ได้ขัดขวาง
เฉินชีโบกมือ พนักงานหลายคนขึ้นรถพรึบพรับ คนรถสะบัดแส้ทีหนึ่ง พร้อมกับเสียงกังวานรถม้าสองคันก็ขับเร็วรี่จากไปตามถนน
เมื่อรถม้าจากไป ถนนเส้นนี้ก็กลับมาสงบเงียบ ที่จริงต้องบอกว่าเงียบกริบ
“ใต้เท้า”
องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งอดไม่ไหวอีกต่อไปตะโกนเรียก
สีหน้าพวกเขาคล้ำเขียว ในดวงตาเย็นเยียบเพลิงโทสะลุกโชนยิ่งน่าสะพรึง รอเพียงลู่อวิ๋นฉีสั่งคำเดียวก็จะฉีกทึ้งทุกสิ่งตรงหน้า
แต่ลู่อวิ๋นฉีกลับสีหน้าดุจเดิม มองดูหีบกล่องแล้วยังมีผ้าแดงที่ตกกระจายบนพื้น
“เก็บกวาดสักหน่อยเถอะ” เขาเอ่ย หมุนตัวเข้าไปแล้ว
เข้าไปแล้ว
บรรดาองครักษ์เสื้อแพรอดไม่ได้ เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า
จบแค่นี้หรือ?
“แน่นอนไม่มีทางจบเช่นนี้” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งเอ่ยเย็นชา
“จัดการคนสารเลวเช่นนี้คนหนึ่งยังต้องใช้วิญญูชนแก้แค้นสิบปีไม่สายอีกหรือ?” องครักษ์เสื้อแพรอีกคนหนึ่งก็เอ่ยเสียงเย็นชาด้วย “โรงหมอจิ่วหลิงมีราชโองการ พวกเราทุบไม่ได้ คนสารเลวคนนี้จัดการให้ตายตรงนี้ยังจะเป็นอย่างไรได้?”
“ถ้าหากราชโองการอยู่ในมือเจ้าสารเลวคนนี้เล่า?” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งเอ่ยเรียบๆ
องครักษ์เสื้อแพรในที่นั้นเงียบงันไปครู่หนึ่ง
ราชโองการของตระกูลฟางกลายเป็นผักกาดขาวใครก็หยิบเอามาเล่นได้แล้วหรือ?
สายตาของบรรดาองครักษ์เสื้อแพรมองไปรอบด้าน
แม้บนถนนด้านนี้เนื่องจากการมีอยู่ของวังไหวอ๋องกับลู่อวิ๋นฉีจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ แต่เพราะจดจำเฉินชีของโรงหมอจิ่วหลิงได้ นอกจากนี้มองเห็นเขามาทางด้านนี้ คลายเรื่องกังวลใจแล้วคนว่างงานของเมืองหลวงมากยิ่งกว่า ยังคงแอบตามเข้ามาไม่น้อย
บรรดาชาวบ้านว่าง่ายหลบๆ ซ่อนๆ มองเห็นฉากนี้ แต่ละคนๆ ตาโตอ้าปากค้าง เวลานี้ถูกบรรดาองครักษ์เสื้อแพรกวาดตามองทีหนึ่ง พวกเขาย่อมไม่มีมาดอย่างเฉินชีเช่นนั้น เป็นนกสัตว์กระเจิงทันที
ส่วนเฉินชีที่ออกมาจากถนนเส้นนี้แล้วก็หมดมาดในทันใดเช่นกัน ข้างในข้างนอกเสื้อผ้าล้วนถูกเหงื่อกาฬทำเปียกชื้น
ที่จริงตอนที่เขาตัดสินใจมาทำเรื่องนี้ เขาก็คิดว่าตนเองคงตายตรงนั้น
เขาคงไม่ได้พบบุตรชายเฉิงกั๋วกงผู้คำรามยามพบความอยุติธรรมริมทาง แล้วก็ไม่ใช่คุณหนูจวินที่ได้รับความนับถือจากชาวบ้าน ลู่อวิ๋นฉีจะชักดาบฟันเขาจริงๆ เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีใครมาช่วยจริงๆ
แต่คุณหนูจวินก่อนออกเดินทาง ส่งม้วนสารอันหนึ่งให้เขา
“นี่คือราชโองการ” นางเอ่ย
เฉินชียื่นมือกดหน้าอกอีกครั้ง
ราชโองการเชียวนะ
นี่เป็นถึงราชโองการของอดีตฮ่องเต้ ดุจองค์เองเสด็จ
นี่เป็นชีวิตของตระกูลฟาง ตระกูลฟฟางมอบให้คุณหนูจวินอย่างง่ายดาย ส่วนคุณหนูจวินก็มอบให้เขาอย่างง่ายดายเช่นนี้อีก
ราชโองการนี่ช่างใช้ได้…ตามใจเสียจริงเชียว
“ราชโองการที่อดีตฮ่องเต้ประทานก็เพื่อให้ใช้” คุณหนูจวินเอ่ย “แล้วราชโองการ ก็ใช้เช่นนี้”
เอาเถอะ ใช้ขึ้นมาเช่นนี้โอหังจนหน้าไม่อายจริงๆ
เฉินชีกดหน้าอก
เรื่องมาถึงวันนี้แล้วจะอย่างไรได้อีก ใครให้คนที่พบเป็นลู่อวิ๋นฉีผู้หน้าไม่อายเล่า นั่นก็ได้แต่หน้าไม่อายยิ่งกว่าแล้ว
ตอนเฉินชีกลับมาถึงโรงหมอจิ่วหลิงแสงอัสดงก็เข้มแล้ว โคมไฟบนถนนจุดสว่าง
เฉินชีมองเห็นเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูแต่ไกล เขาอดไม่ได้ฉีกยิ้ม
“เจ้ายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้?” เขากระโดดลงจากรถเอ่ย
ฟางจิ่นซิ่วมองเขาทีหนึ่งหมุนตัวเข้าไป เฉินชีหัวเราะฮ่ะฮ่ะตามเข้าไปด้วย
……………………………………….
[1] สิบปีอยู่ตะวันออกของแม่น้ำ สิบปีอยู่ตะวันตกของแม่น้ำ (十年河东十年河西) สำนวนเปรียบเทียบปรากฏการณ์บริเวณส่วนโค้งของแม่น้ำที่เซาะฝั่งโค้งเพิ่มไปเรื่อยๆ ฝั่งเว้าพื้นดินงอกขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดนานวันเข้าจุดที่เคยเป็นฝั่งตะวันออกของแม่น้ำก็กลายเป็นฝั่งตะวันตก หมายความว่าความรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน เป็นอนิจจัง