ตอนที่ 350 อันหลิงอีเกิดเรื่อง
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของปี้จู ในหูของฟู่ชิงก็รู้สึกอื้ออึงขึ้นมาทันที ภายในสมองของนางเต็มไปด้วยคำถามของปี้จู
เหตุใดต้องพาคนแปลกหน้าเข้ามาในจวน ?
นางได้แต่อ้าปากค้างโดยมิรู้ว่าจักพูดแก้ตัวเยี่ยงไร
ก่อนหน้านี้นางแค่ต้องการปิดบังตัวตนของกู่โมโม่ ดังนั้นจึงบอกไปว่าเป็นยอดฝีมือที่อยู่นอกจวนโดยอาศัยความสัมพันธ์ของสหายจากบ้านเดียวกันเพื่อขอให้เขามาช่วยเหลือ
ทว่านางลืมกฎข้อสำคัญของจวนคือกฎข้อที่ว่ามิอนุญาตให้บ่าวหรือสาวใช้พาคนแปลกหน้าเข้ามาในจวนโดยพลการโดยเด็ดขาด ซึ่งข้ออ้างของนางขัดแย้งกับกฎข้อนี้โดยตรง
นางกำลังคิดหาข้ออ้างเพื่อให้ตนพ้นความผิด แต่อันหลิงเกอมิเปิดโอกาสให้
อันหลิงเกอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่งดงามทำท่าทางเหมือนจักยิ้มก็มิยิ้ม “เจ้ามาคุกเข่าขอโทษข้าที่นี่ แต่หลี่อี๋เหนียงยังนอนอยู่บนเตียง หรือนางรู้ตั้งแต่แรกว่าเจ้าจักปลอมตัวเป็นนางเพื่อมาที่เรือนฉีอู๋ ดังนั้นจึงสามารถหลับอย่างสบายใจจนป่านนี้ ลืมแม้กระทั่งเรื่องที่ตนสัญญาเอาไว้หรือ ? ”
หลังจากเปิดเผยว่าคนตรงหน้าเป็นตัวปลอมแล้ว อันหลิงเกอก็มิยอมรามือโดยง่าย ประโยคที่นางกล่าวออกมาทำให้รู้ว่าหลี่ซื่อก็รู้เห็นเรื่องนี้ดี มิได้เป็นผู้บริสุทธิ์ดั่งที่ฟู่ชิงกล่าวอ้างแต่อย่างใด
ฟู่ชิงตอนนี้หน้าซีดเซียว ริมฝีปากสั่นเทาและพูดอย่างไรก็พูดมิออก
หลังจากนั้นอันหลิงเกอจึงยกมือขึ้นมาแล้วก็มีสาวใช้ก้าวมาข้างหน้าทันที “นำตัวนางไปที่เรือนของหลี่อี๋เหนียง ให้ฮูหยินรองหลี่ได้ดูสิว่าสาวใช้ข้างกายทำสิ่งใดลงไป”
สาวใช้ทำงานกันอย่างรวดเร็ว พวกนางพุ่งไปจับข้อมือของฟู่ชิงแล้วมัดไพล่หลังเอาไว้ จากนั้นก็คุมตัวไปที่เรือนของหลี่ซื่อ
ทางด้านหลี่ซื่อที่กำลังนึกถึงเรื่องคุกเข่าขอโทษซึ่งใช้ฟู่ชิงไปทำ ทั้งนางยังส่งคนไปพูดใส่ไฟอีกด้วย รอพวกสาวใช้ในจวนได้เห็นว่าอันหลิงเกอโหดร้ายกับ ‘นาง’ เมื่อไร คนพวกนั้นก็จักพูดกันปากต่อปากถึงชื่อเสียงของอันหลิงเกอว่าเป็นคนใจดำแล้งน้ำใจและทำให้อันหลิงเกอเสื่อมเสียชื่อเสียงต้องโดนตราหน้าว่าเป็นคนโหดร้ายตลอดไป
เพียงนึกถึงภาพเวลาที่อันหลิงเกอออกไปข้างนอกแล้วโดนประณาม ภายในใจก็รู้สึกมีความสุขยิ่งนัก ต่อให้กำลังนอนอยู่บนเตียงก็อดฮัมเพลงออกมาเบา ๆ มิได้
“ฮูหยินรองหลี่เจ้าคะ คุณหนูใหญ่มาเจ้าค่ะ!”
บ่าวเฝ้าประตูรีบเข้ามารายงานด้วยความร้อนรนและใบหน้าซีดเผือด
ส่วนหลี่ซื่อที่ยังมิทันสังเกตถึงความผิดปกติใดก็รู้สึกแค่ว่าถูกขัดจังหวะทำให้อารมณ์เสีย จากนั้นจึงเอื้อมมือไปคว้าถ้วยชาที่อยู่ข้างกายปาใส่บ่าวเฝ้าประตูทันที
“โวยวายเสียงดังด้วยเหตุใด ? มีเรื่องอันใดก็พูดออกมาดี ๆ มิเป็นหรือ ? ”
บ่าวเฝ้าประตูรีบก้มหลบถ้วยชาเมื่อครู่ เสียงถ้วยชากระทบบางอย่างจากนั้นก็ตกแตกอยู่เบื้องหน้าของตน นางจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“คุณหนูใหญ่ให้คนคุมตัวฟู่ชิงมาเจ้าค่ะ บอกว่าจักมาถามท่านให้รู้เรื่องเจ้าค่ะ”
หนังตาของหลี่ซื่อกระตุกทันที เมื่อแน่ใจว่ามิได้ฟังผิดจึงเบิกตาขึ้นอย่างมิเชื่อ
บ่าวเฝ้าประตูบอกว่าคนที่ถูกคุมตัวคือฟู่ชิงก็หมายความว่าฟู่ชิงโดนเปิดโปงตัวตนที่แท้จริง แผนการของนางล้มเหลวเยี่ยงนั้นหรือ ?
ตอนนี้นางมิได้สนใจว่าฟู่ชิงเป็นเยี่ยงไรบ้าง นางแค่รีบล้มตัวลงนอน จากนั้นสั่งบ่าวเฝ้าประตูว่า “เจ้าไปบอกคุณหนูใหญ่ว่าวันนี้ข้ามิสบาย เกรงว่าจักลุกไปต้อนรับมิไหว”
“แต่ข้าเห็นสีหน้าของหลี่อี๋เหนียงดูดีขึ้นมากแล้วนี่”
หลี่ซื่อเพิ่งกล่าวจบ ที่หน้าประตูก็มีเสียงอ่อนโยนกังวานใสดังแทรกขึ้นมาทันที
นางเงยหน้าไปมองก็เห็นอันหลิงเกอเดินเข้ามา
อันหลิงเกอกล้าพาคนบุกเข้ามาถึงในนี้ !
เป็นเหตุให้มือของหลี่ซื่อกำผ้าห่มไว้แน่น มันจักมากเกินไปแล้ว !
มิเพียงเท่านั้นทางด้านหลังของอันหลิงเกอยังมีคนตามมาด้วยอีกหลายคน
พวกสาวใช้ก้าวเข้ามา จากนั้นก็ผลักฟู่ชิงไปด้านหน้า “นี่เป็นสาวใช้เรือนฮูหยินรองหลี่หรือไม่เจ้าคะ ? นางปลอมตัวเป็นท่านแล้วไปคุกเข่าขอโทษคุณหนูใหญ่ มิทราบว่านางรับคำสั่งจากท่านใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
หลี่ซื่อกำลังอ้าปากตั้งใจปฏิเสธ แต่พอเห็นใบหน้าของฟู่ชิงโดยบังเอิญก็รู้สึกใจอ่อนขึ้นมา “ใช่แล้ว นางเป็นแค่สาวใช้ตัวเล็ก ๆ หากมิมีคำสั่งของข้า นางจักกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ? ”
หลี่ซื่อเอ่ยเสร็จก็ไอออกมาเบา ๆ จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปากไว้แล้วก็มีเสียงไอที่รุนแรงดังขึ้น ภายในใจคนฟังรู้สึกสับสนไปหมด
ส่วนอันหลิงเกอมิได้กล่าวอันใด นางมองการแสดงที่เรียกร้องความสงสารของหลี่ซื่ออยู่เงียบ ๆ
“ใช่ว่าข้ามิอยากไปคุกเข่าขอโทษคุณหนูใหญ่หรอกนะ แต่เพราะร่างกายของข้ามิไหวจริง ๆ มิสามารถเดินไปพลางคุกเข่าไปด้วยจากที่นี่จนถึงเรือนฉีอู๋จึงคิดวิธีนี้ขึ้นมา”
หลี่ซื่อกล่าวไปพลางไอไปพลางราวกับเป็นโรคที่รักษามิหายอย่างไรอย่างนั้น
อันหลิงเกอได้ฟังก็ร้อง อ๋อ ขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “หลี่อี๋เหนียงมิสบายเพราะเมื่อวานกระอักเลือดใช่หรือไม่ ? หากเป็นเช่นนั้นจริงเหตุใดท่านมิให้คนไปบอกข้าสักหน่อย ข้าคงมิใจร้ายใจดำถึงขั้นบังคับให้ท่านมาคุกเข่าขอโทษภายในสองวันหรอก อี๋เหนียงทำเช่นนี้เห็นข้าเป็นคนเย็นชาไร้ความปรานีมากหรือ ? ”
ทั้งที่นางตัวดีอยากใช้โอกาสนี้จัดการนาง แต่ตอนนี้มาทำท่าทางราวกับเป็นคนมีเมตตาเสียอย่างนั้น
หลี่ซื่อแอบก่นด่าอยู่ในใจแต่มิแสดงสีหน้าใดออกมา ทำเพียงนอนพิงอยู่บนเตียงราวกับคนอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงโดยมิคิดขอบคุณน้ำใจของอันหลิงเกอสักคำ
“หลี่อี๋เหนียงเกรงใจเกินไปแล้ว” อันหลิงเกอยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นทำให้สมองของหลี่ซื่อมึนงงไปหมด รู้สึกคล้ายมีเรื่องบางอย่างที่มิดีเกิดขึ้น
มิทันไรอันหลิงเกอก็เอ่ยว่า “เพียงแต่ข้าแปลกใจว่าหลี่อี๋เหนียงไปเอายอดฝีมือที่ชำนาญการทำหน้ากากหนังมนุษย์มาจากที่ใด ? ”
สีหน้าของหลี่ซื่อเปลี่ยนไปทันที นางคิดว่าฟู่ชิงคงสารภาพเรื่องทั้งหมดออกมาแล้ว
นางจึงรีบตอบโดยมิได้สนใจแสร้งทำตัวอ่อนแออีกต่อไป “ในอดีตกู่โมโม่บังเอิญเรียนเรื่องพวกนี้มา แต่มิถึงขั้นเก่งกาจจึงมิได้เป็นที่กล่าวถึงมากนัก”
กู่โมโม่น่ะหรือ ?
อันหลิงเกอนึกชื่อนี้อยู่ภายในใจ จากนั้นแววตาก็เปล่งประกายขึ้นมา “แล้วตอนนี้กู่โมโม่อยู่ที่ใด ? ”
เมื่อเอ่ยถึงก็มาพอดี อันหลิงเกอเพิ่งถามถึงกู่โมโม่ ห้องของหลี่ซื่อก็เกิดเสียงม่านลูกปัดกระทบกันดังขึ้น ปรากฏร่างของหญิงชราหลังค่อมคนหนึ่งเดินเข้ามา
“เรียนฮูหยินรองหลี่ นายท่านผู้เฒ่าให้คนมาส่งข่าวโดยบอกให้ท่านกลับไปที่จวนเจ้าค่ะ”
เสียงของนางแหบเล็กน้อยและยืนก้มหน้าอยู่จึงทำให้เห็นใบหน้ามิชัดเจน
ในเมื่อกู่โมโม่ปรากฏตัวขึ้น หลี่ซื่อจึงยื่นมือชี้ไปที่นางพร้อมพูดกับอันหลิงเกอไปด้วย “ผู้นี้ก็คือกู่โมโม่”
กล่าวจบนางจึงหันไปมองกู่โมโม่ด้วยท่าทางสงสัย “มิทราบว่าที่ท่านพ่อเรียกหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ ? ”
“เรียนนายหญิง ได้ยินว่าหมู่บ้านที่คุณหนูสามอยู่เกิดเรื่อง นายท่านผู้เฒ่าบังเอิญไปพบเข้าพอดีจึงรับคุณหนูกลับไปที่จวนแล้วจึงอยากให้ท่านไปดูหน่อยเจ้าค่ะ”
กู่โมโม่ยังก้มหน้าอยู่เช่นเดิมพร้อมพูดออกมามิหยุด
หลี่ซื่อได้ยินก็รู้สึกตกใจมาก ครั้งนี้นางมิสนใจเรื่องที่กำลังแสดงว่าเป็นคนป่วยอีกแล้ว นางรีบสั่งให้สาวใช้ประคองลงจากเตียงเพื่อลุกขึ้นยืน สวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยขณะที่กำลังจักเดินออกไปนั้น
“หลี่อี๋เหนียงอย่าเพิ่งขยับ” ทันใดนั้นอันหลิงเกอก็พูดพร้อมขวางนางเอาไว้ “อี๋เหนียงเพิ่งกระอักเลือดไปเมื่อวาน ตอนนี้ร่างกายกำลังอ่อนแอ อย่าเดินไปเดินมาดีกว่า ส่วนเรื่องน้องหญิงสามนั้น ข้าจักไปดูนางให้เอง”
ในเมื่อนางอยากใช้ชื่ออันหลิงอีมาเป็นข้ออ้างปัดเรื่องคุกเข่าขอโทษมันมิง่ายเยี่ยงนั้นหรอก
เมื่อกล่าวจบมุมปากของอันหลิงเกอก็โค้งขึ้น ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวล แต่ทำให้หลี่ซื่อต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ