ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 142 หมัดที่ทะยานไป

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ผู้เข้าสอบผู้นั้นอยู่ๆ ก็หันหลังกลับไป มองไปยังนักบวชพระราชวังหลีที่รับผิดชอบเรื่องการสอบ ชี้ไปยังผู้เข้าสอบทั้งสี่คนด้านหลังของตน พลางเอ่ยถาม “ข้าเลือกต่อสู้กับพวกเขาได้หรือไม่”

ผู้เข้าสอบสี่คนนั้นพอดีว่าเป็นสี่คนสุดท้ายของผู้เข้าสอบที่ผ่านข้ามคลองฉวี่เจียงครึ่งหน้าทั้งหกสิบสี่คน เมื่อได้ยินว่าคนนั้นต้องการจะต่อสู้กับตน ไม่เพียงแต่ไม่โกรธเคือง แต่กลับแสดงสีหน้ายินดี เอ่ยตกลงพร้อมเพรียงกัน

นักบวชพระราชวังหลีท่าทางเฉยเมยเอ่ยว่า “พวกเจ้าคิดว่าการสอบใหญ่เป็นการละเล่นรึ ก่อนหน้านี้ข้ากล่าวไว้ชัดเจนแล้ว ผู้เข้าสอบสี่สิบเก้าคนหน้าสามารถเลือกคู่ต่อสู้สี่สิบเก้าคนหลังได้ตามใจ ผู้ชนะได้เลื่อนการต่อสู้ไปรอบหน้า หรือว่าพวกเจ้าไม่เข้าใจหรือ”

ทั่วทั้งผืนเงียบสงัด ผู้เข้าสอบผู้นั้นหลังจากเงียบนิ่งเป็นเวลานาน อยู่ๆ ก็เอ่ยออกมา “นี่ไม่ยุติธรรม!”

เขามองไปยังผู้เข้าสอบที่อยู่ครึ่งหลังแล้วได้รับชัยชนะ เอ่ยเสียงดังด้วยความโมโห “คะแนนการประลองยุทธ์ของข้าดีกว่าพวกเขา ข้าข้ามลำคลองมาก่อนพวกเขา แล้วเพราะเหตุใดกลับจะต้องเลือกคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า การสอบใหญ่แน่นอนว่ามิใช่การละเล่น แต่ท่านไม่คิดหรือว่ากฎระเบียบเช่นนี้ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”

บนใบหน้าของนักบวชพระราชวังหลียังคงไร้อารมณ์ใดๆ เอ่ยราบเรียบออกมา “เช่นนี้ก็คงอธิบายได้เพียงแค่ว่าโชคของเจ้าไม่ดี ใครให้เจ้าข้ามลำคลองเป็นลำดับที่หกสิบถึงหกสิบสี่พอดีเล่า”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ทั่วทั้งผืนเสียงดังอื้ออึง ในใจครุ่นคิดเรื่องของโชคชะตา หรือก็เป็นเรื่องการตรวจสอบของการสอบใหญ่ ประโยคของนักบวชแท้จริงแล้วก็มิได้มีเหตุผลแม้แต่น้อย

นักบวชรู้ว่าหนุ่มน้อยฝึกบำเพ็ญเหล่านี้กำลังคิดสิ่งใด จ้องมองกลุ่มฝูงชนท่าทางเยือกเย็นเอ่ยว่า “บนโลกใบนี้มีความยุติธรรมที่แท้จริงหรือ ท่ามกลางการต่อสู้ ให้เจ้ารับผิดชอบรั้งท้ายกองทัพ แต่กลับต้องสกัดผู้สูงส่งเผ่ามารที่แข็งแกร่งที่สุด เจ้าคิดว่านี่ไม่ยุติธรรมก็สามารถปฏิเสธคำสั่งรึ ปรารถนาอยากจะมีชีวิตต่อ โชคชะตาก็เป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดมาตลอด”

บรรดาผู้เข้าสอบเงียบนิ่งมิได้เอ่ยสิ่งใด ถึงแม้จะยังไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไร

ผู้เข้าสอบผู้นั้นจนปัญญา จึงทำได้เพียงยอมรับความจริงที่โศกเศร้านี้ สิ่งที่พอจะปลอบโยนได้ก็คือ อย่างน้อยเขายังคงเหลือหนทางให้เลือกมากกว่าผู้อื่นที่เหลือ

เขาหันกายไปมองยังข้างชายป่าอีกครา สายตากวาดไปมาบนใบหน้าของเฉินฉางเซิงและพวก สุดท้ายก็ไม่อาจจะตัดสินเลือกผู้ใดได้

ด้านหน้าหอชำระธุลีทั่วทั้งผืนเงียบนิ่ง อากาศคล้ายกับว่าเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นขึ้นมา ผู้เข้าสอบหลายสิบคนเคร่งเครียดถึงการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของเขา

ในทางกลับกัน เดิมทีคนที่ควรจะเคร่งเครียดที่สุดต้องเป็นเหล่าหนุ่มสาวที่จะถูกเลือกอยู่ข้างป่า ทว่าการแสดงของพวกเขากลับสงบนิ่ง

นักบวชพระราชวังหลีผู้นั้นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด มิได้เร่งรัดเขาเหมือนก่อนหน้านี้ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเขากับผู้คุมสอบคนอื่นประหลาดใจต่อการเลือกของเขา

ท้ายที่สุด ผู้เข้าสอบผู้นั้นตัดสินใจ ชี้ไปยังเซวียนหยวนผ้อ พลางเอ่ยว่า “เจ้า”

ความเงียบนิ่งของสนามถูกทำลายลง มีเสียงพูดคุยกันดังอื้ออึง ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้เข้าสอบคนอื่น ก็ไม่รู้ว่าควรจะเลือกใครเป็นคู่ต่อสู้

เซวียนหยวนผ้อตะลึงงัน เมื่อได้สติ จึงเอ่ยกับลั่วลั่ว “อาจารย์ ข้าไปแล้ว”

ถังซานสือลิ่วอยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “ ‘ไปแล้ว’ สองคำนี้ไม่เป็นมงคล เปลี่ยนคำอื่น”

เซวียนหยวนผ้อไม่สนใจเขา ทำความเคารพเฉินฉางเซิง เอ่ยว่า “ข้าไปแล้ว”

หากกล่าวตามเหตุผล เขาควรจะเรียกเฉินฉางเซิงเป็นอาจารย์ปู่ เพียงถึงแม้ว่าตอนนี้เขาเลื่อมใสจนถึงขั้นเคารพเฉินฉางเซิงอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อาจจะเรียกออกมาได้

ถังซานสือลิ่วที่ถูกมองข้ามมิได้โกรธเคืองแต่อย่างใด ยื่นมือขึ้นสูง ตบบนไหล่หนาของหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจ เอ่ยเสียงต่ำ “เมื่อคืนวานเรื่องที่คุยกันไว้ยังจำได้ใช่หรือไม่”

เซวียนหยวนผ้อตอบอืม “ไม่ต้องให้โอกาสฝ่ายตรงข้ามในการครุ่นคิด ใช้ความเร็วที่สุดเข้าประชิดตัว หลังจากนั้นก็โจมตี”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ เขาพลันพบว่าท่าทางของถังซานสือลิ่วผิดแปลกไป หลังจากนั้นพบว่าท่าทางของลั่วลั่วกับเฉินฉางเซิงก็เปลี่ยนไป แม้แต่ซูม่ออวี๋ก็อ้าปากค้าง คล้ายกับว่าตื่นตกใจอย่างยิ่ง

“ทำไมรึ” เขามึนงงเกาศีรษะตัวเอง เอ่ยถามต่อ “ข้าพูดผิดหรือ”

ถังซานสือลิ่วถอนหายใจ ตบไหล่เขาอีกครั้ง กล่าวว่า “ไม่ผิดหรอก เพียงแค่เสียงดังไปหน่อย”

เวลานี้เองเซวียนหยวนผ้อสังเกตเห็นด้านหน้าของหอชำระธุลีเงียบเชียบไร้เสียง คนทั้งหมดต่างกำลังจับจ้องที่เขา ความรู้สึกบนใบหน้ายอดเยี่ยมอย่างยิ่ง

เสียงของเขาดังก้องวังวาน ตอบคำถามของถังซานสือลิ่วอย่างเป็นธรรมชาติ เดิมทีมิได้คิดควบคุมความดังของเสียง

และแล้ว เขาก็นำกลยุทธ์ที่สำนักฝึกหลวงได้เตรียมให้เขา บอกต่อคนทั้งหมดแล้ว รวมถึงคู่ต่อสู้ของเขาด้วย

เช่นนั้น กลยุทธ์นี้ยังสามารถใช้ได้หรือไม่

เฉินฉางเซิงส่ายศีรษะ นำผลึกหินสองก้อนใส่ลงในกระเป๋าเสื้อของเซวียนหยวนผ้อ นำถุงน้ำยื่นไปตรงปากเขาแล้วให้เขาดื่มสองอึก

ถังซานสือลิ่วเข้าไปใกล้เซวียนหยวนผ้อ เอ่ยเสียงเบาอะไรบางอย่าง

นักบวชพระราชวังหลีท่านนั้นมองคนของสำนักฝึกหลวง อยากจะหัวเราะกลับไม่หัวเราะออกมา เอ่ยว่า “เร็วหน่อย”

เซวียนหยวนผ้อหลังจากถูกเร่งรัดจึงรู้สึกตื่นเต้น เกือบจะสำลักน้ำตายเสียแล้ว เฉินฉางเซิงช่วยตบหลังเขา ถังซานสือลิ่วรีบเอ่ยรวดเร็วยิ่งขึ้น เตือนให้เขาดูรายละเอียดต่างๆ ของการต่อสู้ ในสนามคล้ายกับว่าวุ่นวายอลหม่าน ซูม่ออวี๋มองภาพนี้ ไม่อาจทนได้จึงส่ายศีรษะพลางเอ่ยว่า “เมื่อครู่มีเวลามากมายพวกเจ้าต่างมองดูเหมือนน่าเบื่อหน่าย เวลานี้รีบเร่งมันจะไม่สายไปเสียหน่อยหรือ”

“เจ้าไม่เข้าใจ หากเอ่ยมาก่อนเกรงว่าเขาจะลืม ตอนนั้นหากเอ่ยออกไปก็ไม่รู้ว่าเขาต้องต่อสู้กับผู้ใด แล้วจะสอนเขาได้อย่างไร” ถังซานสือลิ่วเอ่ยกับเขาแต่ก็ไม่ได้หันหลังกลับไปมอง

ลั่วลั่วเดินไปยังด้านหน้าเซวียนหยวนผ้อ เอ่ยว่า “ในเมื่อจะต้องชนะอยู่แล้ว ยังจะตื่นเต้นสิ่งใดอีก”

เซวียนหยวนผ้อพูดติดอ่าง กล่าวว่า “ไม่…ไม่…ไม่มีทาง”

เฉินฉางเซิงจ้องมองดวงตาของเขา เอ่ยว่า “จำประโยคของถังซานสือลิ่วไว้ ชนะได้แน่นอน”

เซวียนหยวนผ้อใช้แรงพยักศีรษะ

เวลานี้ถังซานสือลิ่วได้เอ่ยแนะนำการต่อสู้เรียบร้อยแล้ว ชกลงไปที่หน้าอกเขาหนึ่งหมัด เอ่ยว่า “เริ่มการต่อสู้ให้ดี”

เซวียนหยวนผ้อยืนอยู่บนพื้นที่ปูด้วยทรายอยู่เต็ม เขาแหงนหน้ามองไปยังชายหลังคาสีดำกลมมน และท้องฟ้าสีครามที่ถูกแบ่งเป็นวงกลม อยู่ๆ ก็คิดไปถึงจานดินเผาในสวนร้อยหญ้า

มีเสียงแอ๊ดดังขึ้นข้างหลังเขา ประตูใหญ่หอชำระธุลีได้ปิดลงอีกคราหนึ่ง

เขาจึงรู้สึกตัว ถึงพบว่าสุดท้ายแล้วตนกลับเหม่อลอย เขาไม่ได้เป็นเพราะเหตุนี้ถึงลุกลี้ลุกลน แต่กลับเป็นเพราะจดจำวิธีที่ถังซานสือลิ่วสอนเมื่อหลายคืนก่อน ในใจครุ่นคิดตนไม่น่าจะตื่นเต้นแล้ว

เขามองไปยังฝ่ายตรงข้าม ประสานมือทำความเคารพ

เวลานี้บนพื้นของหอชำระธุลี มีเพียงเขากับผู้เข้าสอบผู้นั้นสองคน มองไม่เห็นผู้คุมสอบ และก็ไม่ได้ยินเสียงจากภายนอก คล้ายกับว่าใช้ค่ายกลบางชนิดกั้นไว้

ตอนนี้เอง บนหอมีเสียงที่ไร้ความรู้สึกดังออกมา

“ถ้าหากเตรียมตัวแล้ว ก็เริ่มได้เลย”

เซวียนหยวนผ้อมองขึ้นไปข้างบนหอ มองไม่เห็นใคร อีกทั้งยังไม่เห็นหน้าต่าง อดไม่ได้ที่จะแปลกใจว่าผู้คุมสอบเหล่านั้นซ่อนอยู่แห่งใด อยู่ๆ ก็คิดไปถึงเรื่องที่เฉินฉางเซิงได้เตือนตนขึ้น จึงรีบเอ่ยถาม “ถะ…ถ้าตีคนตายจะทำอย่างไร”

ภายในของหอชำระธุลีทั่วทั้งผืนเงียบนิ่ง ผู้คุมสอบที่ไม่รู้ว่าซุกซ่อนอยู่แห่งใดเหล่านั้นเงียบนิ่งเป็นเวลายาวนาน

สีหน้าของคู่ต่อสู้เขาไม่น่าดูอย่างยิ่ง

เสียงของผู้คุมสอบได้ดังขึ้นอีกครั้ง “ตีไม่ตายหรอก”

เซวียนหยวนผ้อเอ่ยอืมออกมา จ้องมองไปยังคู่ต่อสู้ เอ่ยถาม “เจ้าเตรียมตัวดีหรือยัง”

คู่ต่อสู้ของเขาก็คือผู้เข้าสอบที่มาจากหุบเขาอำพัน

หุบเขาอำพันอยู่ทางทิศใต้

มิใช่ว่าลูกศิษย์ของนิกายทิศใต้ต่างก็สามารถเข้าร่วมการสอบใหญ่ได้ ก็เหมือนกับจิงตูที่จัดการเตรียมสอบของการสอบใหญ่ ทางทิศใต้ก็ดำเนินการสอบทำนองเดียวกัน นักเรียนจากหุบเขาอำพันผู้นี้สามารถผ่านการเตรียมสอบมาได้ ก็พิสูจน์ความสามารถของเขาแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าเวลาในการผ่านการประลองยุทธ์ของเขายังสั้นกว่าคนจำนวนมาก นี่ก็แสดงได้ว่าระดับพลังจิตกับจำนวนพลังปราณแท้ของเขาล้วนไม่ธรรมดา

ก่อนหน้านี้เขาเลือกคู่ต่อสู้ค่อนข้างยากลำบาก นั่นเป็นเพราะว่าระยะนี้ชื่อเสียงของสำนักฝึกหลวงแท้จริงแล้วโด่งดังอย่างยิ่ง แต่มิได้หมายความว่าเขาไม่มั่นใจตนเองแต่อย่างใด อีกทั้งสุดท้ายแล้วเขาเลือกเซวียนหยวนผ้อ อย่างน้อยสำหรับการเลือกนี้ได้พิสูจน์แล้ว เขามั่นใจว่าจะชนะเซวียนหยวนผ้อ หรืออาจกล่าวว่ามีแผนรับมือ

เข้ามายังหอชำระธุลีจนกระทั่งถึงเวลานี้ เซวียนหยวนผ้อก่อนหน้านี้เหม่อลอยจ้องมองท้องฟ้า หลังจากนั้นก็ถามประโยคนั้น หนุ่มน้อยหุบเขาอำพันผู้นั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนที่ซื่อตรงมาแต่กำเนิด กลับรู้สึกว่าเขาจงใจทำให้ตนอับอาย เดิมทีความรู้สึกที่มีต่อเขาก็ย่ำแย่ยิ่งนัก เพียงชั่วพริบตาจึงกลายเป็นโกรธจัด เกลียดชังจนอยากจะเอากระบี่หั่นเจ้าเด็กคนนี้ออกมา

“ได้ยินมาว่าเจ้าพิการแล้ว เช่นนั้นเจ้าเตรียมที่จะพ่ายแพ้หรือยัง”

ลูกศิษย์หุบเขาอำพันจ้องมองเซวียนหยวนผ้อแสยะยิ้มเยือกเย็นพลางเอ่ยถามออกมา

เมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมา เขากลับมิได้แย่งชิงที่จะออกกระบี่ก่อน

เพราะว่าเมื่ออยู่ด้านนอกหอชำระธุลี ผู้เข้าสอบต่างได้ยินถนัด หนุ่มน้อยร่างกายสูงใหญ่เผ่าปีศาจผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุจฟ้าร้องว่าตนจะโจมตีก่อน เพื่อประชิดกับคู่ต่อสู้

เขาไม่รู้ว่าเซวียนหยวนผ้อตั้งใจกล่าวให้ตนสับสน หรือว่าได้เตรียมการเช่นนี้ไว้จริง แต่เมื่อพิจารณาอย่างรอบ ก่อนอื่นเขาจะต้องพิจารณาว่าถอยเพื่อป้องกัน ออกห่างจากระยะ หลังจากนั้นอาศัยวิชากระบี่ที่ยอดเยี่ยม แล้วจึงตอกกลับหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจผู้นี้อีกครั้ง

ลูกศิษย์หุบเขาอำพันไม่ลังเลที่จะลอยละลิ่วไปข้างหลัง ลอยครั้งหนึ่งก็เป็นระยะห้าจั้ง

เวลาเดียวกันกระบี่ของเขาก็ได้ออกจากฝัก มาพร้อมกับสายลมที่เย็นสบาย ลอยวนเวียนอยู่ด้านหน้ากาย รวบรวมพลังป้องกัน

มองเห็นภาพฉากนี้ เซวียนหยวนผ้อตะลึงงัน ในใจครุ่นคิดเพราะเหตุใดถังซานสือลิ่วถึงคาดคิดไว้มิผิดเพี้ยน

ด้านนอกหอก่อนหน้านี้ ถังซานสือลิ่วเอ่ยกับเขาว่า เมื่อเริ่มการต่อสู้คู่ต่อสู้ของเขาจะต้องถอย จะต้องใช้พลังป้องกัน ดังนั้นเขาไม่ต้องคิดสิ่งใดทั้งสิ้น จากจุดแรกเริ่มก็ทำเพียงมุ่งไปด้านหน้า พลังปราณแท้ทั้งหมดก็แผดเผาไปข้างหน้า ไม่ว่ากระบี่ของฝ่ายตรงข้างจะบินอย่างไร พลังปราณแท้จะแพร่กระจายอย่างไร มองแล้วไม่ว่าจะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก โดยสรุปแล้วก็ต้องเข้าไป!

เซวียนหยวนผ้อแท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนี้

เมื่อเขาเอ่ยถามฝ่ายตรงข้ามว่าเตรียมตัวดีหรือยัง เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งฝ่ายตรงข้ามเริ่มถอยหลัง เขาจึงทะยานไปด้านหน้า

เมื่อเขาตกตะลึงคิดไปว่าถังซานสือลิ่วคาดเดาได้อย่างไม่คาดคิด เมื่อรู้สึกชื่นชมเจ้าเด็กผู้นั้นในตอนแรกเริ่ม เขาก็ได้เข้ามาสิบกว่าจั้งแล้ว

ถังซานสือลิ่วคำนวณได้แม่นยำจริงๆ ประโยคที่เอ่ยออกมาก็ใกล้กับความเป็นจริง ถอยหลัง ไม่มีทางเร็วกว่ามุ่งไปข้างหน้า

ไร้ผู้คนคาดคิด เซวียนหยวนผ้อที่รูปร่างสูงใหญ่ รวดเร็วได้ถึงเพียงนี้

เพราะว่าไร้ผู้คนล่วงรู้ ตั้งแต่เยาว์วัยเซวียนหยวนผ้อข้ามผ่านหน้าผาสูงชัน เพื่อไล่ล่าเพียงพอนแดงที่รวดเร็วปานอสนีบาต

ถอยป้องกันหรือ ตอกกลับหรือ เซวียนหยวนผ้อที่ได้รับการแนะนำมาจากถังซานสือลิ่ว จึงไม่ให้โอกาสต่อคู่ต่อสู้

ลูกศิษย์หุบเขาอำพันถอยไปแล้วห้าจั้ง เขาได้เข้าไปสิบกว่าจั้ง มาอยู่ด้านหน้าของลูกศิษย์หุบเขาอำพัน

เขาเห็นได้ชัดเจนยิ่งนัก สีหน้าของคู่ต่อสู้ขาวซีด จนขนาดว่ามองเห็นเงาสะท้อนของตนเองในนัยน์ตาของฝ่ายตรงข้าม

ลูกศิษย์หุบเขาอำพันผู้นั้นแผดเสียงร้องออกมา กระบี่ประหนึ่งสายลม มุ่งออกไปสังหารเขา ด้านหน้าของปลายกระบี่มีแสงสะท้อนที่งดงาม!

เซวียนหยวนผ้อจดจำประโยคของถังซานสือลิ่ว ไม่ต้องคิดสิ่งใด คิดเพียงแค่มุ่งเข้าไป

เขาแผดเผาพลังปราณแท้ทั้งหมดเพื่อเข้าไปข้างหน้า

กระบี่ของคู่ต่อสู้กลายเป็นฉากกั้นแผ่นหนึ่ง

เขาไม่มองและไม่สนใจ มุ่งไปด้านหน้าต่อ

หมัดของเขาไปข้างหน้ารวดเร็วกว่าร่างกาย

เสียงโครมดังขึ้น

หมัดนำสายลมที่มีละอองระยิบระยับจำนวนไม่ถ้วน ทำให้สายลมของกระบี่แปรปรวน พัดไปกระทบใบหน้าของลูกศิษย์หุบเขาอำพัน

ในสายตาของเขา มีละอองดาวสะท้อนออกมานับไม่ถ้วน ทั้งยังมีความตกตะลึงและคาดไม่ถึงนับไม่ถ้วน

เซวียนหยวนผ้อคือนักเรียนใหม่ของสำนักเด็ดดารามิใช่หรือ ไม่ใช่ว่าเข้าสำนักฝึกหลวงเพียงแค่ไม่กี่วันหรอกหรือ ไม่ใช่ว่าอยู่หางแถวของประกาศชิงอวิ๋นหรอกหรือ แขนขวาของเขามิใช่ว่าพิการแล้วหรือ

เช่นนั้นเขาออกหมัดเช่นนี้ได้อย่างไร ละอองดาวเหล่านั้น มิใช่ว่าอยู่ระดับขั้นถอดจิตถึงจะแสดงเช่นนี้ได้หรอกหรือ

ลูกศิษย์หุบเขาอำพันไม่อาจครุ่นคิดได้อีกต่อไป

เพราะว่าหมัดของเซวียนหยวนผ้อได้ปะทะเข้ากับกระบี่ของเขา ร่วงหล่นลงข้างกายของเขา

โครม!

ลูกศิษย์หุบเขาอำพันประหนึ่งก้อนหินก้อนหนึ่ง กลิ้งหลุนๆ ไปยังกำแพงหอชำระธุลีไกลหลายสิบจั้ง

สายลมบ้าระห่ำ ฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย

ลูกศิษย์หอชำระธุลีประหนึ่งจมอยู่ในกำแพง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง มีโลหิตท่วมกาย

เซวียนหยวนผ้อหยุดก้าวเดิน มองหมัดของตนเอง ท่าทางงุนงง เพราะเหตุใดเขาไม่ป้องกันเล่า

ในหอชำระธุลีมีเสียงก้าวเดินด้วยความรีบเร่งเข้ามา

ผู้คุมสอบสิบกว่าคนได้มาถึงสนาม ใช้ความเร็วสูงสุดในการรักษาลูกศิษย์ของหุบเขาอำพัน

“เจ้า…”

นักบวชคุมสอบผู้หนึ่งเดินมาข้างหน้าเซวียนหยวนผ้อ ชี้เขาปรารถนาจะเอ่ยอะไรบางอย่าง กลับไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยสิ่งใด

เซวียนหยวนผ้อรู้ว่าผู้คุมสอบท่านนี้ก็คือคนก่อนหน้าที่พูดกับเขา มองไปยังลูกศิษย์หุบเขาอำพันที่กำลังถูกรักษา รู้สึกไม่สงบ เอ่ยถามเนิบนาบ “ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดใช่หรือไม่ ท่านเพิ่งจะเอ่ยว่าตีแล้วไม่ตาย ถ้าหากเขา…เขาเกิดสิ่งใดขึ้น ก็ไม่เกี่ยวกับข้า”