ตอนที่ 490 เรื่องมลคลของพรรคเหยากวง

พันธกานต์ปราณอัคคี

“ประมุขหวัง ส่งท่านพันลี้ที่สุดต้องจาก เชิญท่านกลับไปเถอะ” เยี่ยเทียนหยวนคาราะวะอย่างสุภาพ

 

 

ประมุขหวังคาระวะตอบ “สหายลั่วหยาง หวังว่าครั้งหน้าจะได้พบกันใหม่” พูดจบก็มองไปยังมั่วหนิงโหรวที่กำลังอาลำหวังเยี่ยนเยี่ยนอย่างอาลัยอาวรณ์ “เยี่ยนเยี่ยน กลับกันเถอะ”

 

 

หวังเยี่ยนเยี่ยนยังคงดึงมือของมั่วหนิงโหรวไว้ไม่ยอมปล่อย “ท่านแม่ รอเยี่ยนเยี่ยนมีพลังยุทธ์ระดับสูงแล้ว จะไปหาท่านที่เทียนหยวน”

 

 

น้ำตาหยดลงอาบแก้มของมั่วหนิงโหรว “อืม แม่จะรอเจ้า เยี่ยนเยี่ยน เจ้าดูแลตัวเองดีๆ และ…และดูแลบิดาของเจ้าด้วย”

 

 

มองดูการอำลาของสองแม่ลูก มั่วชิงเฉินแอบลอบถอนใจ บัดนี้เสาหลักของเทียนหยวน พรต มาร และปีศาจ ฉากหน้าดูเหมือนเงียบสงบ แต่กลับมิอาจซ่อนคลื่นลมที่ถาถมอยู่ได้ เยี่ยนเยี่ยนและมั่วหนิงโหรวไม่เหมือนกัน นางยังเด็ก ยังต้องใช้เวลาออกท่องยุทธภพเพื่อเปิดหูเปิดตาตัวเอง หากกลับไปเทียนหยวนด้วยนับว่าเป็นโอกาสที่ไม่ดีนัก ใช้ชีวิตอยู่ที่ทะเลขนาบใจต่อไปยังจะดีเสียกว่า

 

 

“น้าสิบหก ท่านแม่ของข้าคงต้องรบกวนให้ท่านดูแลแล้ว” หวังเยี่ยนเยี่ยนหันไปทำความเคารพอย่างสุดซึ้ง

 

 

มั่วชิงเฉินประคองมือของหวังเยี่ยนเยี่ยนขึ้นมา “แน่นอนอยู่แล้ว เยี่ยนเยี่ยน เจ้าก็อย่าให้มารดาของเจ้าต้องกังวล ออกท่องยุทธภพมิอาจวางอำนาจบาตรใหญ่เพียงเพราะเจ้าคือลูกหลานของสกุลหวังได้ ตระหนักเอาไว้ว่าชีวิตของคนเราล้วนมีค่า จงอย่าเปิดเผยฐานะของตัวเองเป็นอันขาด”

 

 

“เจ้าค่ะ เยี่ยนเยี่ยนจะจำไว้” สองมือของหวังเยี่ยนเยี่ยนวางลงทำความเคารพ ต่อหน้ามั่วชิงเฉิน นอกจากความเมตตาระหว่างผู้อาวุโสและผู้น้อยแล้ว สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือความเคารพและการให้ความสำคัญซึ่งกันและกัน

 

 

มั่วชิงเฉินตบไหล่หวังเยี่ยนเยี่ยนเบาๆ แล้วนำถุงเก็บวัตถุใบหนึ่งส่งให้นาง “ในนี้มียาลูกกลอนที่ข้าหลอมไว้จำนวนหนึ่ง เหมาะสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ทั้งยังมีของเล่นบางอย่างที่น้าเขยของเจ้าหลอมขึ้นอีกด้วย เจ้ารับไว้เถอะ”

 

 

หวังเยี่ยนเยี่ยนและนางต่างมีรากวิญญาณทั้งสี่ธาตุเช่นเดียวกัน บัดนี้นางอายุได้สิบเก้าแล้วยังหยุดอยู่ที่ระดับสร้างรากฐานขั้นกลาง เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ที่มีรากวิญญาณเทียมและไร้หนทางบรรลุถึงระดับรากฐานได้แล้วนับว่าโชคดียิ่งนัก เพราะนางคือบุตรสาวคนเดียวของมั่วหนิงโหรว ทั้งน่ารักและเฉลียวฉลาด ในใจของมั่วชิงเฉินจึงรู้สึกสงสารนางบ้างอยู่ส่วนหนึ่ง

 

 

โอสถวิญญาณเหล่านี้แม้ไม่สามารถแก้ไข้ปัญหาระดับรากวิญญาณได้ แต่อย่างไรก็ตามยังสามารถช่วยเหลือนางได้ส่วนหนึ่ง นับว่าเป็นน้ำใจของผู้อาวุโสที่พยามช่วยให้ถึงที่สุดแล้ว

 

 

“ขอบพระคุณน้าสิบหกเจ้าค่ะ” หวังเยี่ยนเยี่ยนเก็บกระเป๋าใส่ของ แล้วชำเลืองมองไปยังเยี่ยเทียนหยวน พูดด้วยความเขินอายโดยไว “ขอบพระคุณน้าเขยเจ้าค่ะ”

 

 

หูของเยี่ยเทียนมีรอยแดงขึ้นช้าๆ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เยี่ยนเยี่ยนไม่ต้องมากพิธี นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ในฐานะผู้อาวุโสอย่างพวกข้า”

 

 

กลุ่มคนบนของวิเศษใบไม้เหาะเหินบินขึ้น โบกมือลาผู้คนที่อยู่ด้านล่างไกลออกไป

 

 

กลางสวนพี่ซิ่วสกุลหวัง น้องชายที่อยู่ในมือของคุณชายสี่กำลังเ**่ยวโค้งตกลงมา ดั่งเศษธุลีที่โดนไฟเผา เขาร้องออกมาด้วยความอนาจใจ “เหตุใด เหตุใดถึงไม่ตั้งขึ้นมาเล่า”

 

 

พูดไม่ทันขาดคำ มันก็เ**่ยวลงไปอีกครา

 

 

ตอนนี้มั่วชิงเฉินนั่งคิดเงียบๆ อย่างสบายอกสบายใจบนของวิเศษใบไม้เหาะเหิน ไม่รู้ว่าหลังจากกินโอสถเกิดผลไปแล้วหวังสี่จะทำหน้าตาอย่าง เมื่อเห็นว่าของใช้ของตัวเองไม่ตั้งขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น

 

 

ความจริงแล้วนางไม่มีความสามารถพอจะให้มันหดตัวตลอดชีวิต แค่ใช้เคล็ดลับเก่าๆ ที่ปีนั้นเคยให้ยาลูกกลอนแก่ฮวาเชียนซู่ไป

 

 

ฮวาเชียนซู่ต้องหัวล้านไปกว่าสามปี หวังสี่อยากกลับไปเป็นชายชาตรีอีกครั้งก็ต้องใช้เวลาหลังจากนี้อีกสามปี

 

 

ความจริงแล้วสามปีนั้นไม่นับว่านาน สิ่งสำคัญคือทั้งสองไม่รู้ถึงขีดจำกัด ทุกๆ วันในสามปีนี้ ต้องใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวัง นับว่าเป็นรสชาติของบทลงโทษที่หนักที่สุดกระมัง

 

 

มั่วชิงเฉินถอนหายใจอย่างไม่รู้สึกรู้สาแล้วควักน้ำเต้าสุราออกมา “เทียนหยวน ตู้รั่ว พี่สิบสี่ พวกท่านอยากดื่มสุราหรือไม่”

 

 

ไม่ต้องรอให้พวกเขาตอบ ก็โยนน้ำเต้าสุราออกไป

 

 

พวกอีกาไฟอสูรวิญญาณทั้งสามเห็นสุราวิญญาณปรากฏ ก็แย่งกันออกมาจากถุงอสูรวิญญาณอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

 

ทันใดนั้นจากเส้นขอบฟ้าพลันมีเส้นแสงหลายสายปรากฏออกมา ในตอนที่นักพรตโยวหย่วน หลัวเตี๋ยจวิน และผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอีกหลายคนร่อนลงมาจากฟ้า ก็เห็นทั้งสี่กับอีกาอ้วนกลมตัวหนึ่ง รวมถึงอสูรเขาเดียว และหมาป่าทมิฬขนาดสูงใหญ่มหึมา หัวของมันโดดเด่นเป็นพิเศษ มือทั้งสองข้างถือน้ำเต้าสุราและยกดื่มอย่างมีความสุขอยู่บนของวิเศษใบไม้เหาะเหิน

 

 

“ลั่วหยางเจินจวิน สหายมั่ว พวกท่านจะไม่ไปค้างแรมที่พันธมิตรผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักสักสองสามวันจริงหรือ” นักพรตโยวหย่วนถามเสียงดัง

 

 

เยี่ยเทียนหยวนก้มหน้ามองมั่วชิงเฉิน ยิ้มตอบอย่างราบเรียบ “พวกเราออกมาจากเทียนหยวนหลายปีแล้ว อยากกลับบ้านใจจะขาด ขอพวกท่านโปรดเห็นใจด้วย อีกไม่นาน ข้าและชิงเฉินจะจัดพิธีบำเพ็ญเพียรคู่ที่เหยากวง หากสหายมีเวลา เชิญพวกท่านเข้าร่วมงาน ลั่วหยางจะต้อนรับเป็นอย่างดีแน่นอน”

 

 

ดวงตาสวยงามของนักพรตจื่อซวินเปล่งประกาย หัวเราะออกมาเบาๆ “สหายมั่วช่างมีวาสนายิ่งนัก ทำให้พวกข้าที่ยังไม่ได้ออกเรือนอิจฉาเสียแล้ว เจินจวิน ไม่ทราบว่าท่านก็รู้จักผู้บำเพ็ญเพียรที่ยอดเยี่ยมใกล้เคียงกับท่านอีกหรือไม่ หากว่ามี โปรดช่วยแนะนำให้ข้าสักหน่อย”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเย็นชา ตอบอย่างราบเรียบ “เกรงว่าจะทำให้นักพรตจื่อซวินต้องผิดหวังแล้ว สำนักของข้ามีศิษย์พี่ที่มีปราณระดับก่อกำเนิดไม่กี่คนเท่านั้น น้อยที่สุดก็อายุได้พันปีแล้ว”

 

 

มุมปากของมั่วชิงเฉินโค้งขึ้น อีกนิดเดียวเกือบหัวเราะออกมาเสียแล้ว เทียนหยวน ท่านไปเรียนรู้คำพูดฝังหัวคนมาตอนไหนกัน

 

 

นักพรตจื่อซวินที่กำลังขายหน้าก็ถอยหลังกลับไป อาจจะไม่ปรากฏเห็นชัด แต่ในใจกลับอับอายและโกรธเคือง

 

 

ลั่วหยางเจินจวินผู้นี้ เขาไม่ใช่ว่าเป็นผู้ที่สงบนิ่งและเยือกเย็นหรอกหรือ นอกจากศิษย์น้อง รอบข้างก็ไม่มีใครอยู่ในสายตาเขาแล้ว แต่คำหยอกล้อที่ไม่อาจรับได้นี่ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นดั่งขวานผ่าซาก ไม่เข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ของชายหญิงแม้แต่น้อย!

 

 

อีกาไฟที่รู้ความคิดของนักพรตจื่อซวินก็โกรธจัดจนพูดออกไปว่า “นายท่าน สตรีคนนี้ปรารถนาสามีของท่าน” เพียงชั่วขณะก็เอาความคิดของนักพรตจื่อซวินพูดออกมาหมด

 

 

ในใจของมั่วชิงเฉินร้องไห้ให้กับความไม่ยุติธรรมแทนเยี่ยเทียนหยวนอย่างเงียบๆ

 

 

พี่สาว เขาสามารถพูดเช่นนั้นกับท่านได้นับว่าไม่เลวเเล้ว หากไม่ใช่เพราะเจ้าตัวมั่นใจในระดับก่อกำเนิดของตนว่าสามารถหลีกเลี่ยงผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่เข้ามาพัวพันได้แล้ว เกรงว่าเขาคงเป็นเหมือนเมื่อก่อนที่ปฏิบัติต่อผู้หญิงดั่งอรสรพิษร้าย!

 

 

อีกาไฟอ้ำอึ้ง แผดเสียงตอบกลับ “นายท่าน ท่านมีสติหน่อยได้หรือไม่ ข้าเตือนด้วยความหวังดีว่ามีคนปรารถนาในสามีท่าน มีคนปรารถนาในสามีท่าน! ท่านไม่รู้สึกเดือดร้อนเลยหรือ คิดไม่ถึงว่ายังจะมีอารมณ์มาชื่นชมลั่วหยางเจินจวินอีก ลดความอดทนทางอารมณ์ของท่านลงได้หน่อยหรือไม่”

 

 

มั่วชิงเฉินถอนหายใจ “อู๋เย่ว์ วิชาอ่านใจคนของเจ้า นำไปใช้ในทางที่ถูกต้องได้หรือไม่ เจ้ามักนินทาผู้อื่นอยู่เสมอ แท้จริงแล้วไม่มีความละอายใจบ้างหรืออย่างไร”

 

 

พูดจบก็ตัดการเชื่อมต่อดวงจิตทันที ก่อนหยิบน้ำเต้าสุราไว้ตรงหน้า พูดเสียงดังว่า “ขอบคุณสหายทุกท่านที่มาส่ง พวกเราใช้สุราอำลานี้ แสดงความรู้สึกที่ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา”

 

 

บนพื้นผิวมหาสมุทร เกลียวคลื่นจำนวนมากม้วนทับถมกันเป็นชั้นหนา ระลอกคลื่นแทรกตัวผลักคลื่นน้ำชั้นแล้วชั้นให้เคลื่อนพลิ้วไกลออกไป กลางอากาศ คู่ผู้บำเพ็ญเพียรคู่หนึ่งยืนอยู่บนของวิเศษเหาะเหิน เสื้อคลุมโบกสะบัด ขณะบินผ่านเมฆาขาว ก็โยนขวดน้ำเต้าสุราเปล่าในมือลงกลางทะเล แล้วกลายเป็นลำแสงพุ่งทะยานหายลับไป

 

 

กลุ่มคนเก็บมุกจำนวนหนึ่งเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างประจวบเหมาะ เรื่องราวปรุงแต่งที่เล่าสืบต่อกันมาอย่างนับไม่ถ้วนก็เริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้ เพียงแต่คนเหล่านั้นไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเขาได้สร้างแรงกระเพื่อมนี้ขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว

 

 

สายลมพัดไอหมอกที่ปกคลุมเทือกเขาฟางจูมาแต่ไกล ของวิเศษใบไม้เหาะเหินลงจอดช้าๆ โดยไม่ทันตั้งตัว

 

 

มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนหันมาสบตากัน แววตามีความยินดี นอกจากนี้ยังมีความตกใจที่ไม่สามารถพูดออกมาได้

 

 

“ชิงเฉิน นี่คือประตูพรรคของพวกเจ้าหรือ ช่างครึกครื้นเสียจริง” มั่วหนิงโหรวที่มองอยู่ไกลๆ ถอนหายใจออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า มองดูด้านหน้ากลับขมวดคิ้วทันใด “เทียนหยวน เหมือนมีอะไรแปลกๆ ท่านดูสิ เหตุใดเทือกเขาฟางจูถึงมีผู้บำเพ็ญเพียรอยู่เต็มไปหมด”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้วไปพลางมองดูไปพลาง น้ำเสียงนุ่มลึกเอ่ยขึ้น “ไม่ผิด นอกจากคนเหล่านี้ ข้ายังรู้สึกว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรจากทั่วสารทิศมาที่นี่จำนวนไม่น้อย การแต่งกายของพวกเขาก็แตกต่างกัน ไม่ได้มาจากสำนักเดียวกัน”

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กลุ่มของเยี่ยเทียนหยวนที่ไม่ได้แผ่พลังอานุภาพอันใดออกมา จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของคนรอบข้าง

 

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เยี่ยเทียนหยวนรีบเพิ่มความเร็ว ชั่วพริบตาก็มาถึงหน้าประตูภูเขาของพรรคเหยากวงแล้ว

 

 

ประตูใหญ่ของพรรคเหยากวงเปิดออก มีศิษย์ยืนต้อนรับอยู่สองแถว แต่ละคนล้วนมีใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางสุขุม คนกลุ่มหนึ่งได้เชิญแขกทั้งหมดเข้าไป

 

 

กลุ่มของเยี่ยเทียนหยวนเดินมาถึงปากประตู ลูกศิษย์หนุ่มระดับสร้างรากฐานสองคนก็เข้ามาคารวะต้อนรับ หนึ่งในนั้นยิ้มถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสองมาจากสำนักใด ได้นำป้ายเชิญมาหรือไม่”

 

 

มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนหันมาสบตากัน ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยยิ่งขึ้น เหยากวงกลายเป็นเช่นนี้ มีเรื่องมงคลเกิดขึ้นหรือ หรือว่ามีศิษย์พี่ศิษย์น้องคนใดบรรลุระดับก่อกำเนิด

 

 

เชิญผู้บำเพ็ญเพียรแต่ละสำนักเข้าร่วมพิธี หากเป็นพิธีบรรลุระดับก่อกำเนิดคงจัดเอิกเกริกไปหน่อยแล้วกระมัง

 

 

คิดถึงจุดนี้มั่วชิงเฉินจึงเริ่มคาดเดาอย่างไม่รู้ตัวว่าผู้ใดคือผู้บรรลุระดับก่อกำเนิด หากเป็นอาจารย์คงมิอาจเป็นไปได้ ปีนั้นเพราะกักตนบำเพ็ญเพียรก็ไม่ได้ออกจากเขา ด้วยคุณสมบัติของเขาไม่ควรจะรอให้ถึงเวลานี้แล้วถึงบรรลุระดับก่อกำเนิด

 

 

นางกำลังคิดหนัก ก็ได้ยินเยี่ยเทียนหยวนพูดขึ้นมา “พวกเราก็เป็นศิษย์ของพรรคเหยากวง” พูดพลางแผ่นป้ายสีเขียวเข้มปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือทันใด

 

 

เพื่อไม่ให้เกิดปัญหายุ่งยาก หลายปีมานี้พวกเขาจึงไม่ได้สวมใส่อาภรณ์ของพรรคเหยากวง เวลานี้กลับมาแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะลืมเปลี่ยนกลับ

 

 

ศิษย์ที่ให้การต้อนรับนั้นมองดูแผ่นป้ายสีเขียวเข้มก็ชะงักไป จากนั้นก็มองเยี่ยเทียนหยวนอย่างระมัดระวัง สัมผัสได้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรท่านนี้พลังยุทธ์ลึกซึ้งและยากคาดเดา จึงพูดอย่างประหลาดใจ “ผู้อาวุโส อย่าล้อเล่นเลย เจินจวินของพรรคเราหาใช่กักตัวบำเพ็ญเพียร แต่กำลังต้อนรับแขกอยู่ต่างหากเล่า หากท่านคือผู้บำเพ็ญเพียรของพรรคเหยากวงจริง ผู้น้อยมีหรือจะไม่รู้”

 

 

ศิษย์ที่ให้การต้อนรับอีกคนหนึ่งถอยหลังไปอย่างช้าๆ ส่งสัญญาณมือให้ศิษย์อีกคนหนึ่งทราบ

 

 

ศิษย์คนนั้นรีบหมุนตัววิ่งเข้าไปด้านใน

 

 

“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” นักพรตฝูหมิงขมวดคิ้วถาม เมื่อเห็นศิษย์ที่ให้การต้อนรับด้านหน้าวิ่งเข้ามา

 

 

ศิษย์ผู้นั้นตอบอย่างเหนื่อยหอบ “ไม่ดีแล้ว อาจารย์อาฝูหมิง มีคนสวมรอยแอบอ้างว่าเป็นศิษย์ของเราเข้ามา! พวกศิษย์สงสัยกัน ไม่แน่ใจว่าเป็นมารบำเพ็ญเพียรหรือปีศาจบำเพ็ญเพียรมาก่อความวุ่นวาย!”

 

 

“มีคนแอบอ้างว่าเป็นศิษย์ของพรรคเหยากวง ไม่ว่าจะเป็นมารบำเพ็ญเพียรหรือปีศาจบำเพ็ญเพียร เตะออกไปก็จบแล้ว พวกเจ้าเป็นถึงศิษย์ของพรรคเหยากวง เหตุใดถึงข่มกลั้นตัวเองไม่ได้ ที่นี่คือที่ใด เหตุใดเจ้าปีศาจนั่นถึงกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้!” นักพรตฝูหมิงเลิกคิ้ว

 

 

“แต่ว่า แต่ว่า…”

 

 

นักพรตฝูหมิงยื่นมืออกไปโบกหัวลูกศิษย์ “แต่ว่าอะไรอีก ปกติเจ้าเป็นเด็กที่ฉลาดมากมิใช่หรือ เหตุใดเวลาสำคัญเช่นนี้กลับอ้ำอึ้งไปได้”

 

 

ศิษย์ผู้นั้นหายใจเข้าลึกๆ ตอบกลับว่า “แต่ว่าฝ่ายตรงข้ามเหนือกว่าเรามาก เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเชียวนะขอรับ!”

 

 

“ว่าอย่างไรนะ!” นักพรตฝูหมิงรีบยืนขึ้นมาทันใด

 

 

“ท่านอาจารย์อา ท่านอยากให้เจินจวินท่านไหนมาตรวจสอบหรือไม่” ศิษย์ที่ให้การต้อนรับพูดเตือน

 

 

นักพรตฝูหมิงในตอนนี้เดินออกไปแล้ว “ข้าจะออกไปดูก่อน”

 

 

มียันต์ส่งสารฉุกเฉินอยู่ในมือเขาไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว หากยังไม่มั่นใจกลับบุ่มบ่ามส่งยันต์ส่งสารไปนับว่าละทิ้งหน้าที่แล้ว

 

 

“ไม่ทราบว่าสหายท่านใดมาเยือนพรรคเหยากวงร่วมแสดงความยินดีหรือ” นักพรตฝูหมิงเดินออกไป พึ่งพูดจูบดวงตาพลันเบิกโพลงขึ้นมาทันที “พวก พวก พวกท่าน…”

 

 

ศิษย์ต้อนรับที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบเอามือปิดปากทันใด ท่านอาจารย์อา เหตุใดท่านถึงพูดติดอ่างเช่นนั้น หรือว่าจะติดเชื้อจากศิษย์

 

 

เยี่ยเทียนหยวนยิ้มพูดออกมาเบาๆ “ศิษย์หลานฝูหมิง ให้พวกข้าเข้าไปได้หรือยัง”

 

 

นักพรตฝูหมิงที่แข็งค้างไปทั้งตัวเพราะความสับสน มองเยี่ยเทียนหยวนเสร็จก็หันไปมองมั่วชิงเฉินอีกครา ขยี้ตาตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือข้างหนึ่งปล่อยยันต์ลับลอยขึ้นไปกลางอากาศอย่างไม่ได้ตั้งใจ

 

 

มั่วชิงเฉินที่สับสนกว่าเดิมถามขึ้นว่า “ศิษย์น้องฝูหมิง แท้จริงแล้วที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

 

 

“เอ่อ ศิษย์พี่ชิงเฉิน เป็นงานมงคลที่เขาชิงมู่ของพวก…” นักพรตฝูหมิงกล่าวยังไม่ทันจบ ก็เห็นเสวียนหั่วเจินจวินถือพัดกก มาพร้อมกับกลุ่มลูกศิษย์จำนวนหนึ่งเดินเข้ามา กล่าวเสียงดังตะโกนลั่น “ผู้ใดปิดตาเดินเข้ามาที่พรรคเหยากวงของข้า คนในบ้านข้าแต่งงานกันทำให้รู้สึกอิจฉาตาร้อนมากใช่หรือไม่”