ตอนที่ 1416 หอคอยผนึกวิญญาณ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“ท่านอรหันต์โปรดตามข้าน้อยมาขอรับ!” หลังจากที่ชายหนุ่มชาววิหคสวรรค์รอหานลี่พิจารณาเมืองยักษ์จากที่ไกลๆ เสร็จแล้ว ก็เอ่ยตอบอย่างนอบน้อม

 

 

หานลี่พยักหน้า ปีกทั้งสองที่แผ่นหลังพลันกระพือ บินตามชายหนุ่มไปที่เสายักษ์ใกล้ๆ

 

 

ระหว่างทางชายหนุ่มเป็นฝ่ายเอ่ยปากอธิบายว่า

 

 

“ท่านอรหันต์โปรดระวังด้วย อย่าออกห่างจากเสาสวรรค์มากเกินไป มีเพียงในบริเวณห้าสิบจั้งของเสาเหล่านี้ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเขตต้องห้ามของเมือง สามารถเข้าออกเมืองศักดิ์สิทธิ์ไป เขตต้องห้ามของเมืองวิหคสรรค์ มีชื่อเสียงมากในทั้งเจ็ดสิบสองสาขา ขอแค่มีเขตอาคมนี้ ก็เพียงพอจะต้านทานกับศัตรูหลายเท่าแล้ว ในอดีตกาลเผ่าของเราเคยผ่านพ้นอันตรายมาจากการถูกทำลายล้างเผ่ามาแล้วหลายครั้ง”

 

 

ชายหนุ่มเอ่ยด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความถือดี

 

 

แม้ว่าหานลี่จะไม่เคยตรวจสอบเขตอาคมต้องห้ามของเมืองนี้ แต่แค่แรงกดอันน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากม่านลำแสง ก็ทำให้รู้ว่าชายหนุ่มมิได้หลอกลวง จึงอดที่เหลือบมองไปสองแวบไม่ได้

 

 

ผลคือรูม่านตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ภายใต้เนตรวิญญาณวารีกระจ่าง คาดไม่ถึงว่าจะมองจุดที่ไม่ธรรมดาออก

 

 

กลางอากาศมีลำแสงสีขาวโพลน คาดไม่ถึงว่าจะมีเส้นไหมสีเขียวเงินสองสีเปล่งแสงเรืองๆ ลอยอยู่ พวกมันดูเหมือนบางมาก แต่พลังวิญญาณที่น่ากลัวที่ส่งมาจากกลางอากาศ กลับออกมาจากเส้นไหมลำแสงนั้นกว่าครึ่ง

 

 

หลังจากที่หานลี่มองลึกเข้าไปสองสามแวบ ชายหนุ่มก็บินออกมาจากเสายักษ์ด้านข้าง

 

 

ชั่วครู่ทั้งสองก็มาปรากฎตัวในเมืองยักษ์

 

 

มองปราดเดียวบนถนนในเมืองมีสิ่งปลูกสร้างอยู่เยอะมาก แต่กลับไม่เหมือนกับเมืองของเผ่ามนุษย์

 

 

สิ่งที่เรียกว่าบ้านเรือนต่างๆ ในเมืองมีลักษณ์เป็นเสากลมๆ หลังคาเป็นรูปทรงกรวย สูงเตี้ยแตกต่างกันไป สูงหน่อยมีขนาดร้อยจั้งเศษ เตี้ยหน่อยกลับมีความสูงแค่สองสามจั้งเท่านั้น แต่ทุกแห่งล้วนมีประตูและหน้าต่างเป็นรูปพัดครึ่งวงกลม

 

 

สิ่งที่ทำให้หานลี่ประหลาดยิ่งกว่าก็คือยังมีสิ่งปลูกสร้างกว่าครึ่งที่สร้างขึ้นบนกำแพงหินด้านหนึ่งของเมืองที่อยู่ไกลออกไป บ้างก็มีถ้ำที่ดูเหมือนรังผึ้งเรียงรายกันอยู่บนกำแพงภูเขาที่สูงชัน

 

 

“ท่านอรหันต์ขอรับเรือนรับรองอยู่ต่างจุดต่างๆ ของเมือง ท่านอรหันต์ไปพักในเรือนที่ใกล้ที่สุดเป็นอย่างไร? ที่นั่นน่าจะยังว่างอยู่” ชายหนุ่มเอ่ยขอคำรับสั่งอย่างนอบน้อม

 

 

“แล้วแต่ เอาตามที่เจ้าพูดก็แล้วกัน” หานลี่มีท่าทีอย่างไรก็ได้

 

 

ชายหนุ่มตอบรับว่า “ขอรับ” แล้วพาหานลี่บินต่ำๆ ตรงไปข้างหน้า นี่จึงทำให้หานลี่ได้ชมทัศนียภาพของเมืองได้ไม่น้อย และได้บินสวนกลับบุรุษและสตรีมีปีกที่บินไปมาอยู่ต่ำๆ

 

 

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็หยุดลงหน้าเหล่าสิ่งปลูกสร้างที่ดูไม่เล็กน้อยแห่งหนึ่ง และร่อนลงบนไปแท่นเวทีหนึ่งในนั้น

 

 

ปลายสุดของแท่นมีเรือนทรงกลมสามชั้นอยู่หลังหนึ่ง

 

 

เมื่อทั้งสองร่อนลงบนพื้น หญิงสาวที่แผ่นหลังมีปีกขนสีขาวบริสุทธิ์ก็เดินออกมาจากในเรือนในทันที คารวะให้ทั้งสองจากที่ไกลๆ

 

 

“ที่แท้ก็พี่ฮว่าอวี่นี่เอง อรหันต์ผู้นี้จะพักที่เรือนรับแขกหรือ?”

 

 

“ไป๋ชุ่ย นี่คือท่านอรหันต์หาน แขกของแม่ทัพเฟิงเสี้ยว เจ้าต้องดูแลให้ดี” คาดไม่ถึงว่าฮว่าอวี่จะรู้จักหญิงสาวที่ดูเหมือนสาวใช้ผู้นี้ จึงเอ่ยอย่างเคร่งขรึมขึ้น

 

 

“แขกของท่านแม่ทัพเฟิงเสี้ยว! ข้าจะรับใช้ท่านอรหันต์เป็นอย่างดีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินชื่อของเฟิงเสี้ยว หญิงสาวหน้าตาน่ารักผู้นี้ก็ตกตะลึง ทันใดนั้นก็ตอบกลับอย่างนอบน้อม

 

 

หานลี่พิจารณาหญิงสาวสองสามแวบ เมื่อเห็นว่านางมีกลิ่นอายอ่อนแอ พลังยุทธ์อยู่แค่ระดับฝึกปราณ ก็พยักหน้าเล็กน้อยเดินเข้าไปในห้องอย่างสบายๆ

 

 

หลังจากที่หญิงสาวก้มหน้าลง ก็เดินตามเขามาติดๆ

 

 

ฮว่าอวี่กลับไม่กล้าเข้าไปในเรือน แค่รออยู่ด้านนอก

 

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ด้านในก็มีเสียงราบเรียบของหานลี่เอ่ยออกมาว่า

 

 

“ไม่เลว ข้าพึงพอใจมาก พักที่นี่แหล่ะ เจ้าไปได้แล้ว”

 

 

ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายลง ทันใดนั้นก็เอ่ยคำกล่าวลาแล้วถึงได้สยายปีกทั้งสองออกพลางบินออกไป

 

 

บนชั้นสามของเรือนหานลี่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าหน้าต่างครึ่งวงกลม สองตาหรี่ลงเล็กน้อยขณะมองชายหนุ่มค่อยๆ จากไป ด้านหลังของเขาห่างออกไปสองสาจั้ง หญิงสาวนามว่าไป๋ชุ่ยคนหนึ่งยืนเอามือประสานกันอยู่ด้านหลัง

 

 

“เมืองศักดิ์สิทธิ์มีชาวเผ่าอยู่เท่าไหร่หรือ!” ฉับพลันนั้นหานลี่พลันเอ่ยออกมาโดยไม่แม้แต่จะหันหัวกลับมา

 

 

หญิงสาวพลันตะลึงงัน แต่ปากกลับตอบกลับไปโดยไม่รู้ตัวว่า

 

 

“เมืองศักดิ์สิทธิ์กว้างใหญ่มาก แม้จะไม่เคยจัดทำสถิติอย่างละเอียด อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะสามสิบสี่สิบล้านคนกระมังเจ้าคะ”

 

 

“สามสิบสี่สิบล้าน? จำนวนคนน้อยขนาดนั้นเลยหรือ?” หานลี่เอ่ยพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อถือนัก

 

 

“ท่านอรหันต์เข้าใจผิดแล้ว ผู้ที่สามารถเข้ามาในเมืองศักดิ์สิทธิ์ได้ล้วนเป็นผู้ที่บรรลุแล้ว สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้เท่านั้น พวกที่พลังยุทธ์ต่ำหน่อยหรือไม่อาจแปลงกายได้นั้นไม่มีคุณสมบัติให้เข้ามาในเมืองศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าเผ่าของข้าจะเป็นสาขาที่ค่อนข้างอ่อนแอในเผ่าวิญญาณเหาะเหิน แต่ก็มีคนเป็นพันล้านคน” หญิงสาวอธิบายอย่างรีบร้อน

 

 

“เช่นนี้นี่เอง!” หานลี่พลันถึงบางอ้อไปเล็กน้อย

 

 

“อรหันต์ท่านมาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรกหรือ?” หญิงสาวเหลือบมองหานลี่แวบหนึ่ง หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็อดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้นหนึ่งประโยค

 

 

“อันใด แขกที่มาเมืองศักดิ์สิทธิ์แบบข้าเป็นครั้งแรกมีอยู่มากหรือ?” หานลี่กลับดูเหมือนจะฟังอะไรออก จึงเอ่ยถามอย่างราบเรียบ

 

 

“อรหันต์ล้อเล่นแล้ว เดิมทีเรือนรับรองแขกมีคนเข้าพักน้อยมาก ทว่าคนที่เข้าพัก ไม่ใช่คนนอกเผ่าที่เข้ามาครั้งแรก ก็เป็นคนของเผ่าอื่นๆ ที่มาทำธุระในเมืองศักดิ์สิทธิ์ชั่วคราว” หญิงสาวอธิบายอย่างระมัดระวัง

 

 

“ไม่เห็นจะแปลกอะไร ข้ากลับมายังเผ่าเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ฝึกตนอยู่นอกมหาสมุทร” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นว่า

 

 

“แถวๆ นี้มีร้านขายแผนที่เมืองศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ หากมีบอกสถานที่ให้ข้าหน่อย ข้าจำต้องซื้อสักชุด”

 

 

“ท่านอรหันต์ไม่จำเป็นต้องไปซื้อแผนที่ที่ภายนอก เรือนรับแขกมีแผนที่ที่มีไว้สำหรับแขกโดยเฉพาะ ระดับความละเอียดมากกว่าที่ขายอยู่ภายนอก ข้าจะเอามาให้ท่านอรหันต์ชุดหนึ่ง” หญิงสาวเอ่ยอย่างนอบน้อม

 

 

“อ๋อ มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วย เอามาให้ข้าสักชุดเถิด” หลังจากที่หานลี่ตกตะลึงไปเล็กน้อย ก็ออกคำสั่งอย่างไม่ต้องคิด

 

 

“เจ้าค่ะท่านอรหันต์” หญิงสาวตอบรับพลันถอยหลังไปสองก้าว เดินลงไปชั้นล่างอย่างอ่อนช้อยราวกับนกนางแอ่น

 

 

หานลี่ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่ที่เดิม เริ่มขบคิดแผนการของตนเอง

 

 

เขาแฝงตัวอยู่ในเผ่าวิหคสวรรค์แล้ว แต่เดิม็มาเพื่อวัตถุดิบที่ล้ำค่าๆ ในเผ่าวิญญาณเหาะเหิน ส่วนสมบัติอะไรนั้น หานลี่กลับไม่อยากคิดมาก แม้ว่าเขาจะเห็นการต่อสู้ระหว่างเผ่าเหินวิญญาณแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ดูเหมือนว่าเผ่าประหลาดชนิดนี้จะไม่ค่อยชอบใช้สมบัติอะไรในการต่อสู้ ไม่รู้ว่าไม่เชี่ยวชาญด้านสมบัติ หรือว่าชนชั้นสูงของเผ่าเหินวิญญาณไม่จำเป็นต้องใช้สมบัติธรรมดาคอยช่วยเหลือ สมบัติวิเศษสองชนิดที่ปรากฎออกมาคือ ‘ตาข่ายกักมาร’ และ ‘ไข่มุกเพลิงมังกร’ และมีคุณสมบัติในการช่วยเสริม ทว่าเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา หวังเพียงว่าจะหาวัตถุดิบที่เป็นประโยชน์ต่อเขาสักหน่อยพบในเผ่าวิหคสวรรค์ จะได้คุ้มค่าที่เสี่ยงเข้ามาในนี้

 

 

ส่วนเผ่าวิหคสวรรค์และเผ่าวิญญาณเหาะเหินอื่นๆ จะพบกันหรือไม่ เขาก็ขี้เกียจจะไปสนใจ

 

 

ครั้นเมื่อหานลี่ขบคิดอยู่เงียบๆ หญิงสาวก็เดินขึ้นมาชั้นบนอีกครั้ง สองมือถือกระบอกไม้ไผ่ขนาดเท่าหัวแม่มือสีเขียวมรกตเอาไว้ มีความยาวประมาณสองสามชุ่น เปล่งแสงระยิบระยับอยู่

 

 

ในใจพลันรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่เขาก็ชูมือขึ้นตวัดไปกลางอากาศด้วยสีหน้าราบเรียบ

 

 

เสียง “สวบ” ดังขึ้น ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไป ถูกเขาดูดเข้ามา

 

 

จากนั้นเขาพลันโบกมือให้หญิงสาวผู้นั้นลงไปก่อน

 

 

หลังจากที่ไป๋ชุ่ยคารวะอย่างเชื่อฟังแล้ว ก็ลงไปด้านล่างอย่างว่าง่าย

 

 

ส่วนหานลี่พลันใช้มือหนึ่งควงกระบอกไม้ไผ่เล่นในมือ รู้สึกสนใจอยู่หลายส่วน เมื่อเขาแทรกจิตสัมผัสเข้าไป ก็มองเห็นแผนที่ขนาดยักษ์ในกระบอกไม้ไผ่อย่างชัดเจน

 

 

ของชนิดนี้ไม่ต่างอะไรกับคัมภีร์นัก

 

 

แต่ไม้ไผ่นี้พิเศษมาก หลังจากผ่านการหลอมมาครั้งหนึ่ง ก็มีผลเหมือนกับคัมภีร์อย่างไรอย่างนั้น ดูแล้วเผ่าเหินวิญญาณคงไม่ได้มีฝีมือในการหลอมอาวุธที่แย่นัก และมีความเป็นลักษณ์เป็นของตน

 

 

ทว่าหานลี่ก็ดึงจิตสัมผัสออกจากกระบอกไม้ไผ่อย่างรวดเร็ว และสนใจแค่แผนที่

 

 

หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ดึงจิตสัมผัสออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ เผยสีหน้าขบคิดออกมา

 

 

เมืองศักดิ์สิทธิ์นี้เล็กกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ แน่นอนว่านั่นก็เพราะเทียบกับคนจำนวนพันล้านคนในเผ่า ความจริงแล้วพื้นที่ของเมืองแห่งนี้ยังคงน่าตตะลึง หากบินจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งวัน

 

 

หานลี่ไม่สนใจสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ นัก แต่กลับสนใจวิหารการแลกเปลี่ยนชั้นหนึ่งในเมือง

 

 

สิ่งที่เรียกว่าวิหานรนั้น ตามสัญลักษณ์ในแผนที่นั้นน่าจะอยู่ในภูเขายักษ์แห่งหนึ่งที่อยู่ตรงเขตแดนของเมืองยักษ์ ทั้งสันเขาล้วนเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนซื้อขายโดยเฉพาะ น่าจะไม่แตกต่างอะไรกับย่านร้านค้าในเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ

 

 

นอกจากสิ่งปลูกสร้างนี้แล้ว สิ่งเดียวที่หานลี่รู้สึกสนใจกลับเป็นสถานที่ที่หนึ่งเรียกว่า ‘วิหารส่งวิญญาณ’ ที่นี่เป็นสถานที่ฝึกบำเพ็ญเพียรของชนชั้นสูงที่เผ่าวิหคสวรรค์จัดทำขึ้นโดยเฉพาะ

 

 

แน่นอนว่าในแผนที่ยังมีสัญลักษณ์เขตต้องห้ามที่สะดุดตาอีกสองสามแห่ง หานลี่แค่มองไปสองสามแวบ กลับไม่มีท่าทีสนใจจะตรวจสอบ

 

 

หลับตาทั้งสองข้างลงจำตำแหน่งที่สำคัญๆ ทั้งหมดในแผนที่ให้ขึ้นใจ หลังจากย้อนระลึกถึงความทรงจำอีรอบ ทันใดนั้นปีกที่แผ่นหลังของหานลี่ก็เปล่งแสงสว่างวาบ ถูกลำแสงสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้ คนเปล่งแสงสว่างวาบบินออกมาจากหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ ตรงไปยังสิ่งที่เรียกว่าวิหารการแลกเปลี่ยน

 

 

เผ่าวิหคสวรรค์ดูไม่ค่อยสงบนัก

 

 

เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่นานถึงสิบวันหรือครึ่งเดือน ทางที่ดีที่สุดรีบรวบรวมวัตถุดิบ จากนั้นก็สะบัดตูดหนีจะดีกว่า เพื่อจะได้ไม่เข้าไปอยู่ในความยุ่งยากของเผ่าประหลาด

 

 

หานลี่ไม่อยากให้ตนเองสะดุดตานัก ดังนั้นความเร็วจึงไม่ค่อยสูงนัก แต่บินด้วยระดับที่พอๆ กับชาวเผ่าวิหคสวรรค์คนอื่นๆ

 

 

เป็นเพราะวิหารแลกเปลี่ยนอยู่ตรงเขตแดน ดังนั้นหลังจากที่หานลี่บินออกมาได้หนึ่งเค่อ ก็เพิ่งจะบินไปได้แค่ครึ่งทาง และในตอนนั้นเอง ด้านข้างเบื้องหน้าไม่ไกลนัก สิ่งปลูกสร้างประหลาดๆ รูปทรงเหมือนหอคอยยักษ์สูงมากพลันปรากฎขึ้น

 

 

สิ่งปลูกสร้างนี้สูงหกร้อยเจ็ดร้อยจั้ง รูปทรงมิใช่เสาทรงกลมที่พบเห็นได้บ่อยๆ แต่เป็นรูปทรงแปดเหลี่ยม ทุกมุมล้วนเรียบเกลี้ยง และยิ่งไปกว่านั้นยังมีลวดลายสัญลักษณ์ที่พิเศษสลักอยู่

 

 

สัญลักษณ์เหล่านี้แผ่ไอสีดำจางๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับหานลี่ ส่วนยอดหอคอยนั้นมีผลึกประหลาดขนาดสองสามจั้งก้อนหนึ่งฝังอยู่ แผ่ลำแสงเจ็ดออกมา ห่อหุ้มหอคอยหลังนี้เอาไว้

 

 

ไอสีดำตรงนั้นล้วนถูกลำแสงเจ็ดสีกักเอาไว้ในม่านลำแสง ไม่อาจหนีออกมาได้เลยสักนิด

 

 

หานลี่มีสีหน้าตกตะลึงฉายแวบผ่าน พลางลูบคางไปมา

 

 

หากเขาจำไม่ผิดล่ะก็ ที่นี่คือเขตต้องห้ามตามสัญลักษณ์บนแผนที่ของเมือง ด้านบนมีคำว่า ‘หอคอยผนึกวิญญาณ’ เขียนอยู่ และไม่มีคำอธิบายใดๆ แต่ไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไรแน่

 

 

อาณาบริเวณร้อยกว่าจั้งของม่านลำแสง ไม่มีเงาร่างคนแม้แต่คนเดียว ไม่มีชาววิหคสวรรค์ผู้ใดกล้าบินเข้ามาใกล้เขตนี้