บทที่ 296 ตอนต้นของยุคสมัย ผู้ใดเทศนา?

จอมบงการเทพยุทธ์

บทที่ 296 ตอนต้นของยุคสมัย ผู้ใดเทศนา?

ในมิติเวลาและพื้นที่คู่ขนานที่ไม่มีที่สิ้นสุด ร่างของฉินมู่นับพันล้านร่าง ทั้งหมดกลายเป็น ล่าแสงพุ่งกระจายออกจากพิภพของเขาเอง และผสานเข้ากับร่างกายของฉินมู่และสร้างร่างกายผู้

กุมชะตาที่แท้จริงสําหรับเขา

และด้วยการผสานเข้าด้วยกันแต่ละร่าง แม่น้ําสายยาวแห่งกาลเวลาก็ค่อยๆ เลือนหายไป

เหมือนกับฟองสบู่ และไม่พบร่องรอยใดๆ หลงเหลืออยู่อีก

แม่น้ําสายยาวแห่งกาลเวลาที่หายไปทั้งหมดนั้นคือความผิดพลาดที่อาจเป็นไปได้

และเมื่อแม่น้ําแห่งกาลเวลาทั้งหมดหายไปจากทะเลแห่งความโกลาหลที่ไร้ที่สิ้นสุด ในที่สุด

ฉินมู่ก็เข้าสู่ตําแหน่งผู้กุมชะตาอย่างสมบูรณ์

การหายตัวไปของร่างทั้งหมดของเขา ไม่ได้หมายความว่ามิติเวลาและพื้นที่คู่ขนานเหล่านั้น
จะหายไปด้วย

เพียงแต่ว่าในช่วงเวลาของประวัติศาสตร์นั้น จะไม่มีร่องรอยของเขาอีกต่อไป

นอกจากนี้ยังหมายความว่า แม้ว่าจะเป็นศัตรูในระดับของผู้กุมชะตาก็ไม่สามารถหาร่องรอย

และที่มาของเขาได้

แม้แต่ร่องรอยของเขาที่ถูกทิ้งไว้ในพิภพก่อนหน้านี้ ความทรงจําทั้งหมดของเขาที่อยู่ในจิตใจ ของสิ่งมีชีวิตนับล้านก็ถูกกําจัดออกไปทั้งหมดด้วย
ตอนนี้ ร่างของฉินมู่ก็มีอยู่เพียงร่างเดียวในพิภพ และในเพียงพิภพเดียว!

และคนที่รู้เกี่ยวกับทั้งหมดนี้คือฉินมู่เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่มีใครอื่น!
“เวลาที่ยาวนาน จงปรากฏขึ้น!”

ฉินมู่เอ่ยเบาๆ ฟ้าดินก็ตกลงมาราวกับค่าสั่ง

หลังจากนั้น เวลาก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

เฉพาะครั้งนี้ มีแม่น้ําแห่งกาลเวลาเพียงสายเดียวที่ปรากฏขึ้น มันกว้างใหญ่และไร้ที่สิ้นสุด และเมื่อเทียบกับแม่น้ําแห่งกาลเวลาที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ มันดูแข็งแกร่งและกว้างใหญ่กว่ามาก!

แม่น้ําแห่งกาลเวลาสายนี้ เป็นแม่น้ําสายยาวแห่งกาลเวลาที่ร่างกายที่แท้จริงของฉินมู่อยู่! “ต่อไปก็ถึงเวลาแก้ไขตัวเอง”

ฉินมู่ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็เหยียบไปที่แม่น้ําแห่งกาลเวลาและเดินไปยังจุดเริ่มต้นของแม่น้ํา แห่งกาลเวลา……

ก่อนเดือนปีอันไร้ที่สุด ฟ้าดินยังคงถูกแบ่งแยก ฟ้าดินทั้งหมดยังคงเป็นเม็ดกรวดทรายอยู่ นี่คือจุดตั้งต้นของปีที่ห่างไกลออกไปไม่รู้จบ เกือบจะเป็นยุคต้นกําเนิดที่วนเวียนไปของทุกสิ่ง ในพิภพ เป็นยุคต้นกําเนิดโบราณครั้งแรกจริงๆ

ในเวลานี้ ทุกสรรพชีวิตนับไม่ถ้วนยังไม่ได้รับความกระจ่างแก่ภูมิปัญญาทางจิตวิญญาณของ ตน และในดินแดนอันนับไม่ถ้วนนี้ สัตว์ร้ายแห่งความโกลาหลที่เกิดและเติบโตตามธรรมชาติก็ยัง อาละวาดอยู่

และสิ่งมีชีวิตที่เกิดหลังจากนั้นอย่างเช่นเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นอ่อนแออย่างยิ่ง พวกเขาไม่ สามารถต่อต้านเลยเมื่อเผชิญกับสัตว์ร้ายแห่งความโกลาหลเหล่านี้ และลดจํานวนลงเหลือเพียง

บางส่วนเท่านั้น

และเผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่ดูดซับเศษซากความโกลาหล ก็ได้มีลักษณะบางอย่างของสัตว์ร้ายแห่ง ความโกลาหล เพราะได้ซึมซับเศษซากความโกลาหลมาบางส่วน

ดังนั้น แม้ว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสัตว์ร้ายแห่งความโกลาหล แต่ก็เหนือกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์

สําหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ เดือนปีเหล่านี้เป็นปีที่มืดมนและน่าเศร้าสลดอย่างแท้จริง

แต่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ไม่เคยหยุดนิ่ง

พวกเขาแสวงหาวิถีแห่งเต๋าจากฟ้าดิน ต้องการพึ่งพาพลังของตัวเองเพื่อสร้างรูปแบบการ ฝึกฝนที่เป็นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ตั้งแต่เริ่มต้น

และด้วยการฝึกฝนเหล่านี้ ก็ได้ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเอง สามารถขับเคี่ยวกับ สัตว์ร้ายแห่งความโกลาหลและเผ่าพันธุ์อื่นๆ ได้ และยังสามารถปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด

แต่อย่างไรก็ตาม เริ่มต้นจากที่ไม่มีอะไรไปจนถึงการสร้างรูปแบบการฝึกฝนที่เหมาะสมกับการ ฝึกวิชาสําหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ นี่เป็นเส้นทางที่เปี่ยมไปด้วยอันตรายและความสิ้นหวังอย่างไม่ต้องสงสัย

จะสร้างวิธีการฝึกฝนได้อย่างไร?

รูปแบบการฝึกในประเภทใดที่เหมาะกับการฝึกวิชาสําหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์? การเริ่มต้นจากไม่มีอะไรเลย เป็นสิ่งที่หาได้ยากมาเสมอ

ในยุคสมัยนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ฉลาดอยู่บ้างซึ่งเป็นราชันผู้กําแหงสูงสุด ก็ได้เห็นภาพฟ้าดิน หรือเห็นภาพสัตว์ร้ายแห่งความโกลาหล หรือเห็นภาพเผ่าพันธุ์อื่นๆ ฝึกฝนอย่างหนัก และ ต้องการค้นหาเส้นทางของตัวเองที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์

แต่อย่างไรก็ตาม การสร้างเส้นทางที่ไม่เคยมีมาก่อนย่อมเป็นเรื่องยากมากอย่างไม่ต้องสงสัย ในระหว่างกระบวนการนี้ มีบางคนหลงผิดจนเกือบตกเป็นปีศาจ และเสียชีวิตด้วยความ สะเทือนใจและหดหู่

บางคนสร้างวิธีการฝึกฝนได้สําเร็จ แต่ไม่เหมาะกับการฝึกฝนสําหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถูกบังคับ

ให้ฝึกฝนจนร่างกายระเบิด ไม่เหลือแม้แต่ซากศพ

แน่นอนว่า ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ยังคงใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่าและไม่ทําอะไรเลย ในท้ายที่สุด

ก็จะสิ้นชีพด้วยความชราอย่างไม่เต็มใจ

หลังจากการค้นหาวิถีทางที่ยากลําบากนับพันปี เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังไม่เห็นแสงสว่างเลยแม้แต่

น้อย นับเป็นสิ่งที่สิ้นหวังอย่างไม่ต้องสงสัยสําหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่จมอยู่ในความมืดเป็นเวลา หลายร้อยชั่วอายุคน

แต่ทว่า ทั้งหมดนี้ในวันหนึ่งก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

เป็นวันที่จะถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ตลอดกาล

ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุด ในวันนั้นเก้าสวรรค์เปี่ยมไปด้วยแสงกระจ่างของ

ดอกบัวสีทองมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เทพเจ้าและปีศาจก็ปรากฏตัวขึ้น

มีสิ่งมีชีวิตสูงสุดได้เสด็จลงไปถ่ายทอดวิชาให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์

คัมภีร์โบราณสูงสุดสุริยัน

คัมภีร์โบราณสูงสุดจันทรา

คัมภีร์โบราณทั้งสองเล่ม หากฝึกฝนจนถึงขีดสุด จะสามารถผสานกับพลังอันยิ่งใหญ่ที่

สามารถขับเคี่ยวกับสัตว์ร้ายขนาดมหึมามากมายได้

และหากมีราชันผู้กําแหงสูงสุด สามารถฝึกฝนคัมภีร์โบราณทั้งสองให้ถึงขีดสุดได้ก็จะไปถึง

เขตแดนสูงสุดที่ไม่อาจจินตนาการได้อีกเขตแดนหนึ่ง

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็เป็นจุดแบ่งแยกในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์

เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่เคยขาดราชันผู้กําแหง แต่ขาดโอกาสเพียงเท่านั้น

ด้วยคัมภีร์โบราณสองเล่มนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดในพิภพและผู้มีพรสวรรค์ของเผ่าพันธุ์
มนุษย์ทั้งหมดต่างฝึกฝน

ในไม่กี่ชั่วอายุคน หลายคนได้ฝึกฝนตามคัมภีร์โบราณทั้งสองนี้จนอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบ
สังหารสัตว์ร้ายแห่งความโกลาหลและปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์

ในหมู่พวกเขา ยังมีกลุ่มราชันผู้กําแหง ได้สร้างรูปแบบการฝึกฝนอื่นๆ ที่เป็นแนวปฏิบัติของ

เผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากคัมภีร์สองเล่มนี้

จนถึงตอนนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ในยุคที่รุ่งเรือง!

และในยุคแรกๆ ของตอนต้นยุคสมัย สิ่งมีชีวิตสูงสุดที่เทศนาแก่เผ่าพันธุ์มนุษย์นั้น ในบันทึก โบราณของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถูกเรียกว่าจ้าวแห่งเกาะสุขาวดี!