ภาค 3 บทที่ 52 เขาเขียวกัดแน่นไม่ปล่อย

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บทที่ 52 เขาเขียวกัดแน่นไม่ปล่อย โดย Ink Stone_Romance

องค์หญิงจิ่วหลีมองบุรุษที่คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ตรงหน้า ราวกับไม่รู้จะพูดอะไรอยู่บ้าง

นางก็เพิ่งเคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้ครั้งแรก ที่จริงนางกับเขาก็ไม่คุ้นเคยกัน

ลู่อวิ๋นฉีไม่รอให้ถาม เป็นฝ่ายเอ่ยปาก

“องค์หญิง หรือท่านไม่อยากพบนาง?” ดวงตาเรียวยาวของเขาวิบวับ ประหนึ่งดวงดาราสว่างขึ้น

บนโลกไม่มีภรรยาปรารถนาเห็นสามีชมชอบสตรีอีกคนหนึ่ง ต่อให้ฉากหน้าดีงามมากอีกเท่าใด ในใจก็ต้องอยากให้สตรีคนนั้นไปตายซะ

น่าเสียดายบุรุษมักจะคิดไม่ถึงจุดนี้ จนเอ่ยถามคำพูดโง่เง่าเช่นนี้ออกมา

พบสตรีคนนี้หรือ ในดวงตาขององค์หญิงจิ่วหลีความผิดหวังจางๆ แล่นผ่าน ยังมีความเศร้าโศกที่สังเกตได้ง่ายจางๆ อีกด้วย

“ไม่อยาก” นางเอ่ยตอบ ไม่ได้ประจบและไม่จริงใจกับสามีสักนิด แล้วก็ไม่ได้หัวเราะหยันคำพูดโง่เง่าพรรค์นี้ของสามีด้วย

ลู่อวิ๋นฉีก็ไม่ได้โมโหเพราะคำปฏิเสธตรงไปตรงมาของภรรยา ตลอดเวลารอยยิ้มบนหน้าเขายังคงไม่สลายไป

“ข้าอยาก” เขาเอ่ยลุกขึ้นมา พกรอยยิ้มบนใบหน้าถอยไปข้างหลังช้าๆ เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้าอยาก”

องค์หญิงจิ่วหลียืนขึ้นมา

“ลู่อวิ๋นฉี” นางเอ่ย “เจ้าอย่าเป็นเช่นนี้ได้ไหม? เจ้าทำเช่นนี้มีความหมายหรือ?”

ลู่อวิ๋นฉีชะงักเท้ามองนาง

“ก่อนหน้านี้ท่านก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่มีความหมาย” เขาเอ่ย เหมือนกับเด็กที่ได้รับการสนับสนุน ข้างในดวงตาเรียวยาวประหนึ่งดอกไม้ไฟถูกจุดส่องสว่าง “ท่านก็รู้สึกว่านางเหมือนใช่หรือไม่? เหมือนมากๆ ใช่หรือไม่?”

องค์หญิงจิ่วหลีมองเขา ขมขื่นอย่างไร้ที่มาอยู่บ้าง

ความขมขื่นนี่ย่อมไม่ใช่เพราะสามีของตนเองต้องการผู้หญิงคนอื่นให้ได้เช่นนี้

ใช่แล้ว เขาถามนางว่าไม่อยากพบนางหรือ? พบคนผู้นี้ที่เหมือนกับคนที่ใจคะนึงหาอาลัยอาวรณ์คนนั้นที่สูญเสียไป

นางรู้ ลู่อวิ๋นฉีเลี้ยงผู้หญิงมากมายไว้ที่คฤหาสน์ข้างนอก นางไม่เคยสนใจไถ่ถามมาก่อน

ตั้งแต่กลายเป็นองค์หญิงจิ่วหลี นางก็ไม่ได้เอ่ยคำว่าไม่อีกต่อไป ไม่ต่อต้าน ไม่มีความเห็น ไม่เอ่ยคำพูด

ทำไมดึงดันจะเอ่ยปากถามถึงเด็กสาวคนนี้ รวมถึงคัดค้านเรื่องที่ลู่อวิ๋นฉีจะทำครั้งแล้วครั้งเล่า

“ลู่อวิ๋นฉี นางไม่ใช่นาง เหมือนอีกเท่าใดก็ไม่ใช่ บนโลกนี้มีนางแค่คนเดียวเท่านั้น” นางเอ่ย “เจ้าอย่าก่อเรื่องอีกเลยได้ไหม?”

ลู่อวิ๋นฉีหัวเราะแล้ว หัวเราะไปๆ ก็หุบยิ้ม

“ไม่ได้” เขาส่ายศีรษะเอ่ย พูดจบหมุนตัวก้าวยาวเดินไปข้างนอก

องค์หญิงจิ่วหลีเดินไปข้างหน้าหลายก้าว

“ลู่อวิ๋นฉี” นางเอ่ย เสียงแม้ยังคงรักษาความนิ่งสงบไว้ แต่ท่าทางยังสับสนอยู่บ้างนิดๆ “นางไม่อยู่แล้ว เจ้าให้นางอยู่อย่างสงบหน่อยไม่ได้หรือ? เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ล้วนเหยียบย่ำบนร่างนาง ใยต้องเพิ่มความทุกข์ใจไร้ความผิดให้นาง? เจ้าปล่อยนางไปไม่ได้หรือ?”

ฝีเท้าของลู่อวิ๋นฉีหยุดชะงัก แต่คนไม่ได้หันกลับมา

“ไม่ได้” เขาเอ่ย พูดจบก็ดึงประตูเปิด ก้าวข้ามธรณีประตูเดินเข้าไปในความมืด

ไม่ได้

ไม่ได้เด็ดขาด

ราตรีห้อมล้อมจวนสกุลหลูอันงดงาม บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ที่หลบอยู่ในมุมมืดตัวสั่นระริก สีหน้ายังติดจะสับสน

แต่งงานมานานครึ่งปี สองสามีภรรยาที่เคารพกันประหนึ่งแขกในที่สุดก็ทะเลาะกันแล้ว

เนื้อหาที่ทะเลาะกันเพราะหัวหน้ากองพันลู่จะรับอนุภรรยา

อนุภรรยาเชียวนะ

บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ในใจรสชาติแปลกแปร่ง ใต้เท้าลู่เลี้ยงผู้หญิงมากขนาดนั้นไว้ข้างนอก ทุกคนใช้เรื่องเมียเก็บไม่อาจออกหน้าออกตามาปลอบตนเองกับองค์หญิง ตอนนี้ในที่สุดก็ไม่อาจหลอกตนเองได้แล้ว

ผู้หญิงมากมายขนาดนั้นยังเลี้ยงไว้แล้ว อย่างไรก็คงมีนางจิ้งจอกสักคนสองคนทำใต้เท้าลู่หลงจนเหยียบเข้าบ้านเข้าห้องได้

รับอนุภรรยาเชียวนะ ยังต้องการให้องค์หญิงเห็นด้วย หลังจากนี้ในจวนสกุลลู่แห่งนี้ก็ไม่ใช่แค่นายหญิงคนเดียวแล้ว คนที่สองมีแล้ว คนที่สามยังไกลอีกหรือ?

บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ที่หลบอยู่ในมุมมืดใช้สายตาแลกเปลี่ยนการคาดเดาและอารมณ์ต่างๆ นานา รวมถึงคำถามที่สำคัญที่สุด

นางจิ้งจอกคนนั้นเป็นใคร?

พวกนางอยู่ในเรือนด้านใน ได้ฟังความโกลาหลด้านนอก แต่ไม่ได้เห็นกับตาว่าคนที่มาเป็นใคร

แต่คนที่อยู่นอกจวนสกุลลู่ล้วนเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง ข่าวนี้แพร่สะพัดรวดเร็วขณะที่ราตรีปกคลุม คิดดูก็รู้รอม่านราตรีเลือนหายไปกลางวันเปิดออกนาทีนั้นจะเอะอะโวยวายอย่างไร

ไม่สนใจย่อมไม่สนใจ แต่คิดถึงคำเล่าลือที่จะถูกชักนำมาหลังเรื่องนี้แพร่ออกอย่างไรก็ทำให้คนโมโห

ท่ามกลางค่ำคืนมืดมิดผู้ดูแลใหญ่หลิ่วนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ส่งจดหมายถึงหยางเฉิงออกไปแล้ว แต่เขายังคงไม่อาจนอนหลับ

แม้ไม่เกรงไม่กลัวเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็อึดอัดใจอยู่บ้าง

“โลกนี้ อย่างไรกับผู้หญิงก็โหดร้ายกว่าอยู่บ้าง” เขาถอนหายใจเบาๆ

ยามท้องฟ้าสว่างจ้า พวกขุนนางที่รอประชุมเช้าถูกขวางไว้นอกตำหนักอีกครั้ง

เรื่องฝีดาษจัดการเผยแพร่เรียบร้อยแล้ว ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ

กำลังจะสอบหน้าพระที่นั่งแล้ว ครั้งนี้เป็นเรื่องอะไรสำคัญกว่าการสอบหน้าพระที่นั่งอีก? บรรดาขุนนางขมวดคิ้วท่าทางไม่พอใจอยู่บ้าง

เสียงกังวานเสียงหนึ่งลอยมาจากด้านในตำหนัก เหมือนถ้วยชาถูกเขวี้ยงแตก

บรรดาขุนนางเลิกคิ้ว ถึงกับทำให้ฮ่องเต้โกรธเช่นนี้ ดูท่าเรื่องราวคงหนักหนายิ่ง

“เจ้าบ้าไปแล้วใช่ไหม?”

สุรเสียงของฮ่องเต้ดังตามมาจากด้านในตำหนักด้วย

ใครบ้าไปแล้?

บรรดาขุนนางเงี่ยหูฟัง

แต่ด้านในตำหนักกลับเงียบไม่มีเสียง ไม่มีคนยอมรับผิดแล้วก็ไม่มีคนแย้งอธิบาย เหมือนกับไม่ยอมอ่อนข้อกับฮ่องเต้อยู่

“ข้าไม่มีเวลาว่างยุ่งเรื่องงี่เง่าไร้สาระของเจ้า ไปไปไป” เสียงของฮ่องเต้ผ่านไปเนิ่นนานจึงดังขึ้นอีกครั้ง ท่าทางโกรธเกรี้ยว

แต่คำพูดนี้กลับทำให้สีหน้าของบรรดาขุนนางสับสนอยู่บ้าง

โกรธเกรี้ยวก็โกรธเกรี้ยว แต่พูดออกมาว่าไม่ยุ่ง ยังมีความหมายอีกชั้นหนึ่งหรือก็คือยอมรับการกระทำของคนผู้นี้เงียบๆ

ไม่รู้เป็นใคร แล้วเป็นเรื่องอะไร ทำให้ฮ่องเต้บันดาลโทสะแต่กลับอนุญาตเงียบๆ เช่นนี้

ทุกคนกำลังคาดเดาอยู่ประตูตำหนักก็เปิดออก บุรุษชุดแดงผอมสูงคนหนึ่งเดินออกมา ร่างนี้ปรากฏในสายตาของผู้คน แสงตะวันสว่างงดงามอยู่ชัดๆ เสื้อผ้าของเขาก็สีสดสว่างตา แต่สายตาของผู้คนยังคงมืดหม่นลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ที่แท้ก็เป็นคนบ้าคนนี้นี่เอง

นั่นก็ไม่มีอะไรแปลก

ไม่รู้ว่าใครคนไหนจะโชคร้ายตกอยู่ในมือลู่อวิ๋นฉีอีกแล้ว

ทุกคนสีหน้าฟื้นกลับมานิ่งสงบท่าทางเวทนาอยู่บ้างอีกครั้ง ไม่สนใจลู่อวิ๋นฉีที่เดินผ่านไปอีก

วันสอบหน้าพระที่นั่งมาถึงอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

ฟ้าไม่ทันสว่างคนก็ยืนกันเต็มถนนเสด็จพระราชดำเนิน

บรรดาองครักษ์ของวังหลวงยืนตรงเรียงแถวสองฝั่งฟาก บรรดาจิ้นซื่อหน้าใหม่บางคนเงียบงันไม่พูดจา มากกว่านั้นคุยเสียงเบากับสหายร่วมสำนักที่สนิทสนม ส่วนไกลออกไปกว่านั้นมีชาวบ้านไม่น้อยมุงดูอยู่ ข้างในนี้มีครอบครัวของบรรดาจิ้นซื่อผู้เข้าสอบ ที่มากกว่าคือคนว่างงานของเมืองหลวง

แต่เทียบกับคนที่มาดูความครึกครื้นในวันวาน ครั้งนี้ในบทสนทนายังสอดแทรกคำพูดประหลาดอยู่บ้าง

“…ได้ยินมาหรือเปล่า?”

“…เรื่องสินสอดหรือ?”

“…จริงหรือหลอก? เป็นไปไม่ได้กระมัง?”

สินสอด?

คนด้านข้างได้ยินยากเลี่ยงเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ

“จิ้นซื่อคนไหนได้สินสอดหรือ?”

การสอบขุนนางที่สามปีมีครั้งหนึ่งก็เป็นโอกาสครั้งใหญ่ของเรื่องชายหญิงแต่งงานเช่นกัน คนเท่าไรรอคอยลูกเขยที่เป็นจิ้นซื่อสักคน ทุกปีเพราะแย่งตัวจิ้นซื่อทะเลาะกันครื้นเครงไม่น้อย

แต่ครั้งนี้กลับไม่มีใครเล่าเรื่องงานแต่งของจิ้นซื่อคนไหนกับเขา

“ไม่ใช่ เป็นหัวหน้ากองพันลู่…” คนหนึ่งกดเสียงเบาเอ่ยขึ้น

……………………………………….