เหนือเมืองเจาเกอพลันเกิดเรื่องที่ทุกคนต่างคิดไม่ถึงเรื่องหนึ่ง
ปู้ชิวเซียวมองไปยังก้อนเมฆที่เจ้าสำนักจงโจวอยู่ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ขอประทานโทษ ท่านนักพรต”
ครั้นพูดจบ หินฝนหมึกอันหนึ่งก็ลอยออกมาจากในแขนเสื้อของเขา เมื่อเจอกับแสงอาทิตย์ ขนาดของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ทำเอาทุ่งกว้างที่อยู่นอกเมืองเจาเกอมืดครึ้มขึ้นกว่าเดิม
หินฝนหมึกอันนั้นรูปร่างธรรมดา สีค่อนข้างดำคล้ำ รอบด้านหินฝนหมึกมองเห็นเป็นรูปมังกรลางๆ มีหางมังกรขนาดใหญ่ห้อยออกมา
นั่นคือหินฝนหมึกหางมังกร หนึ่งในสี่ของวิเศษประจำสำนักของเรือนอี้เหมา
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ หลิ่วฉือค่อนข้างแปลกใจ เรือนอี้เหมาที่มีสัมพันธ์ที่ดีกับสำนักจงโจวมาโดยตลอดกลับก้าวออกมาเป็นคนแรก ยิ่งไปกว่านั้นยังจะลงมือโจมตีชางหลงด้วย
แต่ฮ่องเต้กลับคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติ แต่ไหนแต่ไรมาเรือนอี้เหมาแยกแยะถูกผิด ไม่เข้าข้างใคร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ขอเพียงเป็นภัยต่อประชาชนในใต้หล้า บัณฑิตในเรือนอี้เหมาก็จะลงมือหยุดยั้ง
ยิ่งไปกว่านั้นเดิมนี่ก็เป็นหนึ่งในข้อตกลงที่ได้ทำการตกลงร่วมกันในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเมื่อในอดีต
สำนักจงโจวมอบคุกสะกดมาร ราชสำนักรับผิดชอบดูแล อำนาจในการจัดการอยู่ในมือเรือนอี้เหมา — หินฝนหมึกหางมังกรก็คืออาวุธวิเศษที่เรือนอี้เหมาใช้สำหรับสะกดมังกรชางหลง ไม่อย่างนั้นในอดีตราชสำนักจะกล้าตกลงให้ชางหลงแปลงกายเป็นคุกสะกดมาร แอบซ่อนตัวอยู่ใต้ดินเมืองเจาเกอมาเป็นเวลานานขนาดนี้ได้อย่างไร
เมื่อเห็นปู้ชิวเซียวหยิบเอาหินฝนหมึกหางมังกรออกมา ในท้องฟ้ามีเสียงเหอะในลำคอของนักพรตไป๋ดังออกมา แต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหวอื่น
หินฝนหมึกหางมังกรลอยขึ้นไปบนฟ้า เปลงรัศมีนับหมื่น โจมตีไปที่ส่วนหางของชางหลง
ในเวลานี้หินฝนหมึกหางมังกรมีขนาดใหญ่ยักษ์ แต่เมื่อเทียบกับร่างกายอันใหญ่โตจนน่าหวาดกลัวของชางหลงแล้ว ยังถือว่ามีขนาดเล็กเป็นอย่างมาก
ส่วนหางของชางหลงคล้ายถูกคนเอากระดาษยันต์ที่เปล่งแสงสว่างแผ่นหนึ่งไปติดเอาไว้
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังถูกหินฝนหมึกหางมังกรสัมผัส ร่างกายของชางหลงก็หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
ชางหลงที่ยังคงเลอะเลือนพลันตกใจตื่นขึ้นมา ก่อนจะพยายามดิ้นรนขึ้นมาอย่างสุดชีวิตตามสัญชาตญาณ ทำให้เกิดลมรุนแรงจำนวนมาก ไม่รู้ว่ามีบ้านเรือนมากน้อยเท่าไรที่พังทลายลงไปอีก แต่ก็ไม่อาจหนีไปไหนได้
ในเมืองเจาเกอคล้ายมีภูเขาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาลูกหนึ่ง ทับหางของชางหลงเอาไว้ตรงด้านล่างภูเขา
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชางหลงรู้ว่าตัวเองไม่สามารถหนีออกไปจากอาวุธวิเศษนี้ได้ มันจึงล้มเลิกความคิดที่จะดิ้นรน ลอยนิ่งๆ อยู่กลางอากาศ กลับเป็นก้อนเมฆสีดำที่ทอดตัวยาวอยู่บนท้องฟ้า
ในดวงตาของมันเผยให้เห็นความเจ็บปวดและงงงัน คล้ายไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น สุดท้ายอารมณ์เหล่านั้นก็กลับกลายเป็นความเฉยชาอีกครั้ง หลงเหลือความดุร้ายอยู่เล็กน้อย หอบหายใจเบาๆ กลิ่นเหม็นคาวลอยออกมาตามเสียงคำราม ทำเอาเหล่าวิหคที่อยู่ในสวนดอกเหมยใหม่ที่อยู่ห่างออกไปพากันตกใจจนร่วงตกลงมาตาย
ก้อนเมฆที่อยู่ในท้องฟ้าทางตะวันตกลอยเข้าไปในเมืองเจาเกอ แสงสีขาวที่อยู่ในก้อนเมฆหดหายไปเล็กน้อย เจ้าสำนักจงโจวเดินออกมาจากด้านใน
ชื่อเสียงในโลกแห่งหารบำเพ็ญพรตของนักพรตถานโด่งดังจนไม่รู้ว่าจะโด่งดังอย่างไรอีก แต่คนที่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขากลับมีเพียงไม่กี่คน
ใบหน้าเขาเป็นปกติ ความพิเศษเพียงหนึ่งเดียวก็คือหน้าผากที่กว้างเป็นอย่างมาก ให้ความรู้สึกซื่อๆ แต่กลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกยิ่งใหญ่ของฟ้าดิน
นักพรตถานมองดูสภาพที่หน้าเศร้าของชาวหลง ในดวงตามีความโกรธเกรี้ยวปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวตะคอกว่า “จักรพรรดิแห่งหมิง ออกมารับความตายซะ!”
ชางหลงกระพริบตาอย่างช้าๆ ระหว่างดวงตาทั้งสองข้างพลันมีรูปรากฏขึ้นมารูหนึ่ง ร่างคนผู้หนึ่งลอยออกมา
คนที่ออกมาคือจักรพรรดิแห่งหมิง สองมือไพล่หลัง ดวงตาเป็นสีดำ คิ้วทั้งสองข้างไม่มี บนใบหน้าที่ขาวซีดโปร่งแสงมีรอยยิ้มเล็กน้อย
“ข้าเชื่อฟังดีใช่ไหมล่ะ?”
จักรพรรดิแห่งหมิงมองนักพรตถาน ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ก็เหมือนกับในอดีต พวกเจ้าให้ข้าขึ้นมาเจรจา ข้าก็ขึ้นมาจริงๆ”
พริบตาที่จักรพรรดิแห่งหมิงมาจากร่างของชางหลง อย่างน้อยก็มีพลังที่แข็งแกร่งสี่สายพุ่งลงมาที่ร่างกายเขา ยึดกุมร่างกายของเขาเอาไว้
พลังสายหนึ่งในนั้นย่อมต้องเป็นนักพรตถาน พลังอีกสามสายที่เหลือก็มิได้ด้อยไปกว่าเขาเลย
เมืองเจาเกอในวันนี้ได้รวบรวมยอดคนที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้
เมื่อเทียบกันแล้ว เหตุการณ์ตอนที่ทำลายลานเมฆนั้นมิอาจเทียบได้เลย
ภาพเหตุการณ์ที่คล้ายๆ กันที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดก็คือตอนที่นักพรตจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียน
พลังที่แข็งแกร่งอย่างมากสี่สายยึดกุมร่างกายของจักรพรรดิแห่งหมิงเอาไว้พร้อมกัน ขอเพียงโจมตี จักรพรรดิแห่งหมิงจะต้องตายแน่นอน
แต่ไม่ว่าจะเป็นสองสามีภรรยาเจ้าสำนักจงโจว หรือว่าหลิ่วฉือและฮ่องเต้ก็ล้วนแต่ไม่ได้ลงมือ เพราะพวกเขามองออกว่าดวงจิตของชางหลงได้ถูกจักรพรรดิแห่งหมิงผนึกอยู่ในร่างกาย หรือพูดอีกอย่างก็คือ นี่เดิมทีเป็นร่างที่ก่อเป็นรูปขึ้นมาจากดวงจิตของชางหลง เพียงแต่ตอนนี้ได้ถูกจักรพรรดิแห่งหมิงยึดครองเอาไว้
หากในเวลานี้พวกเขาลงมือสังหาร จักรพรรดิแห่งหมิงจะต้องตายอย่างแน่นอน ชางหลงเองก็ไม่รอดเช่นกัน
ในท้องฟ้าเหนือเมืองเจาเกอมีลมเย็นสบายสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา พัดพาลมหายใจอันชั่วร้ายของชางหลงให้สลายหายไปจนหมด
เจตน์กระบี่ที่บริสุทธิ์อย่างมากสายหนึ่งปรากฏขึ้น หลิ่วฉือมาอยู่ตรงหน้าชางหลง
แขนเสื้อพริ้วไหวแผ่วเบา เขากล่าวเสียงเบาๆว่า “หรือฝ่าบาททรงไม่คิดจะเคารพข้อตกลงในอดีตแล้ว?”
สำนักจงโจวและสำนักชิงซานคือสองผู้นำใหญ่แห่งโลกบำเพ็ญพรตอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
นักพรตเจ้าสำนักทั้งสองคนย่อมต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำถามของนักพรตสองคนนี้พร้อมกัน หากเป็นคนส่วนใหญ่ก็คงจะยืนไม่อยู่แล้ว แม้แต่คำพูดก็คงพูดไม่ปะติดปะต่อ
ทว่าบนใบหน้าของจักรพรรดิแห่งหมิงกลับไม่มีความหวาดกลัวใดๆ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เจ้ามังกรโลภตัวนี้คิดอยากจะกินข้า หรือข้าต้องปล่อยให้มันกินข้าเข้าไป?”
ความหมายของประโยคนี้ชัดเจนเป็นอย่างมาก หากจะพูดถึงเรื่องผิดข้อตกลง ก็เป็นชางหลงที่เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงก่อน
“สาธุๆ”
บนท้องฟ้ามีเสียงฉานจึดังขึ้นมา
ฉานจึลอยเข้ามา เท้าเปลือยเปล่าที่ขาวสะอาดสองข้างดูสะดุดตาเป็นอย่างมากในท้องฟ้า คล้ายดอกบัวสองดอกที่งอกออกมาจากความว่างเปล่า
“หากเป็นเช่นนั้นจริง ขอฝ่าบาทได้ทรงปล่อยดวงจิตของชางหลงก่อน พลังของฝ่าบาทนั้นแข็งแกร่ง หากช้าไปกว่านี้ เกรงว่าดวงจิตของชางหลงคงจะทนต่อไปไม่ไหว”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวอย่างแปลกใจ “ตอนนี้ผู้ที่ดูแลวัดกั่วเฉิงเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งอย่างนั้นหรือนี่? พูดจาไร้เดียงสาน่ารักจริง”
ฉานจึยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย เรื่องนี้วัดกั่วเฉิงจะทำการตรวจสอบด้วยตัวเอง พวกเราจะต้องมีคำอธิบายให้แก่ฝ่าบาทอย่างแน่นอน ไยต้องเอาทองไปลู่กระเบื้องด้วย”
จักรพรรดิแห่งหมิงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา กล่าวว่า “ยังจะอธิบายอะไรอีก? แสดงความขอโทษอย่างสุดซึ้ง จากนั้นเอาข้าไปขังไว้ในคุกสะกดมารอีกหกร้อยปี?”
ฉานจึกล่าวอย่างจริงจัง “หากชางหลงเป็นฝ่ายผิดจริง วัดกั่วเฉิงยินดีให้ฝ่าบาทเสด็จไปบำเพ็ญเพียรเงียบๆ อยู่ที่ป่าเจดีย์ อาตมารับรองว่าไม่มีใครกล้ารบกวนพระองค์”
จักรพรรดิแห่งหมิงนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “วัดกั่วเฉิงเงียบสงบ ข้าชอบ ในอดีตข้าเคยพูดกับเขาว่าหากวันหน้าทั้งสองโลกสงบสุขได้จริงๆ ข้าจะแวะไปอ่านคัมภีร์ธรรมะที่นั่น…”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หน้าผากของนักพรตถานพลันสว่างขึ้นมาเล็กน้อย สายตาของหลิ่วฉือเป็นประกาย ทั้งคู่ต่างรู้สึกหวั่นไหว ปู้ชิวเซียวเองก็รู้สึกว่าวิธีนี้ดีที่สุด
พวกเขาต่างเชื่อในคำพูดของจักรพรรดิแห่งหมิง
จักรพรรดิแห่งหมิงถูกนักพรตไป๋ขังเอาไว้ในคุกไท่ฉาง ไม่สามารถออกมาได้ ความเงียบเป็นเวลาหกร้อยปีคือสิ่งยืนยัน หากจะบอกว่ามีใครที่สามารถเข้าไปในคุกสะกดมารเพื่อหาจักรพรรดิแห่งหมิงและปล่อยเขาออกมาได้…ก็ย่อมต้องมีแต่ชางหลงเท่านั้น —- เพราะชางหลงก็คือคุกสะกดมาร และมันก็มีความปรารถนาที่จะกินจักรพรรดิแห่งหมิง
ในท้องฟ้ามีเสียงแค่นหัวเราะของนักพรตไป๋ดังขึ้นมาอีกครั้ง
นางไม่เชื่อคำพูดของจักรพรรดิแห่งหมิง แล้วก็ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของฉานจึ แต่ตอนนี้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ นางเองก็ไม่อยากทำอะไรมาก
มีเพียงคนเดียวที่รู้ว่าจักรพรรดิแห่งหมิงไม่มีทางตอบรับข้อเสนอของฉานจึ นั่นก็คือฮ่องเต้
เพราะจักรพรรดิมิใช่ผู้บำเพ็ญพรต
แล้วก็เป็นจริงดังว่า
“ปัญหาอยู่ที่ว่า ถูกขังอยู่ในป่าเจดีย์ของวัดกั่วเฉิงกลับถูกขังอยู่ในคุกสะกดมารแตกต่างกันอย่างไร? ทิวทัศน์ที่เป็นของจริง? ทิวทัศน์แบบเดียวกันมองนานวันเข้า จริงเท็จก็ไม่สำคัญอีก สุดท้ายข้าก็ยังเป็นโซ่ตรวนในมือพวกเจ้าที่เอาไว้ใช้พันธนาการผู้คนในโลกเบื้องล่างอยู่เหมือนเดิม”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวอย่างทอดถอนใจออกมา “หากต้องมีชีวิตอยู่เช่นนั้น สู้ตายไปเสียดีกว่า”