กู่ฉิงซานทะยานโผล่พ้นขึ้นมาเหนือทะเลเมฆ

ปรากฏก้อนหินขนาดใหญ่ขึ้นสุดปลายสายตาของเขา

เป็นก้อนหินที่แสนคุ้นเคย

ที่นี่คือสวนอาหาร

ตำแหน่งปัจจุบันของกู่ฉิงซาน เขาได้ข้ามผ่านอาณาเขตของมังกรมาแล้ว และอยู่ไม่ไกลจากภูเขากับพระราชวัง

เมื่อระบุตำแหน่งของตนได้ กู่ฉิงซานก็ทะยานขึ้นเหนือเมฆ แปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา บินตรงไปยังทิศทางภูเขา

ใช้เวลาประมาณครึ่งก้านธูป ก็เริ่มมองเห็นเค้าโครงรางๆ ของศาลา

ภายในศาลารักษาการณ์กลางภูเขา

กิเลนกำลังหลับใหล

อำนาจอันไม่มีที่สิ้นสุดกำลังแผ่ออกมาจากมัน

หากคิดจัดการกับกู่ฉิงซาน เพียงเหลือบมองก็จบแล้ว

-นี่มันเกินกว่าจะจินตนาการได้จริงๆ ว่าที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้ แท้จริงแล้วคือเศษเสี้ยวจิตวิญญาณ

กู่ฉิงซานหยิบเอาใบหยกที่ได้รับจากเต่าออกมา ถือมันไว้ในมือของเขา

แน่นอน ว่าคราวนี้พอเขาเข้าไปใกล้กับศาลา กิเลนมิได้เงยหน้าขึ้นมอง มันเพียงพลิกตัว และเปลี่ยนท่วงท่านอนเท่านั้น

กู่ฉิงซานลดระดับลงในศาลา

เขากำลังจะประสานกำปั้นสนทนากับอีกฝ่าย แต่กิเลนจู่ๆ ก็เหยียดอุ้งเท้าขึ้นทันใด และฟุบ! ตะปบตัวเขากดลงกับพื้น

บังเกิดเส้นสีเงินบางๆ โผล่พ้นออกมาจากพื้นดิน ในรูปแบบลึกลับนับไม่ถ้วนของอักษรรูนโบราณ

ที่แท้นี่คือค่ายกลส่งผ่าน

ตลอดทั้งศาลาเปล่งประกายแสงสดใส

ฟิ้ว!

ทันใดนั้น แสงสว่างพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า และตัวกู่ฉิงซานก็หายไป

ในความมืดมิด

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นและหันไปมองรอบๆ

โอเค ร่างแสงทมิฬมิได้อยู่ที่นี่

นั่นพิสูจน์ได้ว่าอย่างน้อยตัวเขาก็ยังไม่ตาย

ไร้ซึ่งสายลม

อากาศเงียบสงบ ทว่าฟุ้งไปด้วยกลิ่นอันละเอียดอ่อน คล้ายกับว่าพึ่งมีธูปหอมถูกจุดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

ปรากฏพลังงานวิญญาณผุดขึ้นมาจากใต้ดิน ค่อยๆ กระจายไปทั่วทุกพื้นที่อย่างเงียบๆ

ซึ่งในส่วนนี้ เรียกกันว่าแหล่งรวมตัวของพลังวิญญาณ

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ส่งผลให้ห้วงอารมณ์ของเขาผ่อนคลายโดยสมบูรณ์

ไม่ว่าจะบรรยากาศ หรือสภาพแวดล้อม มันคล้ายกับว่าเป็นถ้ำของผู้ฝึกยุทธอย่างไรยังงั้นเลย

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไป จีบออกด้วยวิชาลับ

ปรากฏแสงสวรรค์กระจายออกมาจากนิ้วมือของเขา ส่องสว่างไปทั่วทิศ

ไหมวิญญาณที่ถูกถักทอเป็นเบาะรองนั่งตั้งอยู่ใจกลางห้อง ข้างกายมีดิสก์ค่ายกล และใบหยกสีขาวอีกหลายใบ

น้ำพุวิญญาณตั้งอยู่ไกลออกไปจากอีกฟากของถ้ำ ทำให้ภายในนี้เงียบสงบ มิได้ยินถึงเสียงน้ำไหล

และยังมีเปลหยกตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับน้ำพุวิญญาณ

กู่ฉิงซานถอนสายตากลับ เริ่มทำการแยกแยะ พิจารณาอีกครั้ง

สถานที่แห่งนี้ย่อมเป็นถ้ำของผู้ฝึกยุทธอย่างแน่นอน

แต่แล้วเขาก็ตระหนักได้อย่างกะทันหันว่ามันมีบางสิ่งผิดไป

นั่นคือฐานวรยุทธ์ของตนเอง ที่ดูเหมือนว่าจะสูงขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ

วินาทีนั้นเอง มือก็เริ่มขยับไหวอีกครั้ง

แสงสวรรค์ควบรวมกัน ก่อร่างเป็นกระจกเงา

กู่ฉิงซานมองดูตัวเองในกระจกด้วยสีหน้าแตกตื่น

นี่มันไม่ใช่ใบหน้าของเขา!

ทันใดนั้นเอง ในหัวสมองและจิตใจก็คล้ายมีบางอย่างถูกเจาะ กู่ฉิงซานเจ็บปวดจนแทบล้มกลิ้งลงกับพื้น

ท่ามกลางความเจ็บปวด ทุกสิ่งอย่าง เกิดขึ้น และดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

เพียงไม่กี่ลมหายใจ ทั้งคนทั้งร่างก็หายจากอาการเจ็บปวด ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

กู่ฉิงซานได้รับข้อมูลใหม่ขึ้นในจิตใจของเขา

ปรากฏว่าคนผู้นี้คือ ‘เฉินหยาง’

เป็นผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋า

ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสาวกอันดับสามแห่งนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวก

ชีวประวัติก็เริ่มจาก นับแต่ข้ามธรณีประตูนิกายเข้ามา พรสวรรค์ในศาสตร์นักสู้ของเขาก็ผลิบาน โดดเด่นจนผู้คนรู้สึกอึ้งทึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นี้มักเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับศาสตร์การต่อสู้จนรุ่งสาง ไม่ว่าจะเป็นยามกิน , ยามนอน เจ้าตัวก็ล้วนนึกถึงแต่เรื่องศึกษาวิถีนักสู้ ราวกับว่าหากในสมองมิได้คิดถึงมันสัก สองถึงสามวันจะกลายเป็นคนอ่อนแอไป

ด้วยความงมงายในวิถีนักสู้ เขาจึงเป็นที่รู้จักกันในฉายา ‘ผู้คลั่งไคล้หวูเต๋า’

เฉินหยางสามารถผ่านการทดสอบชั้นแล้วชั้นเล่า ในที่สุดก็สามารถกลายเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งวิถีนักสู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาคนรุ่นใหม่ประจำนิกาย

สุดท้ายได้เคารพปรมาจารย์วังแห่งวังสวรรค์เมฆาวิเวก และได้กลายเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา

เมื่อถึงจุดนี้ ชื่อเสียงของ ‘ผู้คลั่งไคล้หวูเต๋า’ จึงเป็นที่รู้จักไปทั่วทุกสารทิศ

ในจิตใจของกู่ฉิงซาน ข้อมูลเกี่ยวกับเฉินหยางปรากฏขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย

ข้อมูลนี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเฉินหยาง และนั่นรวมไปถึงบุคคลที่เขาติดต่อกันมากที่สุดอีกด้วย

สำหรับเหตุการณ์อันน่าเบื่อหน่ายอย่างชีวิตในแต่ละวัน  หากเป็นเหตุการณ์ที่ละเอียดอ่อน มันก็จะเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซาน

รวมไปถึงทุกประเภทของการเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์การต่อสู้ทั้งหมด ของนักสู้หวูเต๋า เขาก็ได้รับมาทั้งสิ้น

ด้วยความทรงจำเหล่านี้ของเฉินหยาง กู่ฉิงซานจึงกลายเป็นผู้มีประสบการณ์ และทักษะการต่อสู้อันยอดเยี่ยม เช่นเดียวกันกับเจ้าของร่างในปัจจุบัน

หากกู่ฉิงซานสามารถย้อนเวลากลับไปได้โดยปลอดภัย เกรงว่าห้วงความทรงจำเหล่านี้ จักกลายเป็นสมบัติเลอค่าสำหรับเขา

แต่ในปัจจุบัน สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือการหาวิธีผ่านการทดสอบ

หากเขาไม่สามารถผ่านการทดสอบไปได้ เข้าก็จะไม่ได้รับสิทธิ์เข้าสู่วังสวรรค์

ระหว่างที่กู่ฉิงซานกำลังไตร่ตรองเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวเอง  ทันใดนั้น ในอากาศที่ว่างเปล่าก็เกิดการกะพริบไหว แสงสวรรค์สาดขึ้นทันใด

กู่ฉิงซานมองตามแสงสวรรค์ แล้วข้อมูลบางอย่างก็ผุดออกมาในความทรงจำของเขา

จู่ๆ เขาก็สามารถเข้าใจถึงมันได้ในทันที

นี่คือสัญญาณบ่งบอกว่ามีใครกำลังเข้ามาเยี่ยมเยือน

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก ปรับสีหน้าของเขาให้ผ่อนคลายลง

นับจากนี้ไป เขาจะสวมบทบาทเป็นเฉินหยาง

และจะต้องไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ

สูดลมหายใจเข้า

ผ่อนลมหายใจออก

กู่ฉิงซานเริ่มใจเย็นลง เหยียดมือออก จีบเข้าด้วยวิชาลับ ตามความทรงจำของเฉินหยาง

บริเวณที่เกิดแสงสวรรค์แปรเปลี่ยนเป็นประตูในทันใด ตั้งวางลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

ปรากฏชายที่สะพายดาบเอาไว้เบื้องหลังเข้าประตูมา

ชายคนนั้นกล่าว “ศิษย์น้อง ท่านอาจารย์เรียกประชุมฉุกเฉิน คล้ายมีเรื่องเร่งด่วนจะกล่าวกับพวกเรา”

อ้างอิงตามความทรงจำของเฉินหยาง กู่ฉิงซานเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าสงสัย “ศิษย์พี่ใหญ่ มิใช่ว่าท่านอาจารย์ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองประจำปีของเทพวิญญาณหรอกหรือ?”

ถูกต้อง ชายเบื้องหน้าเขาคนนี้คือหัวหน้าสาวกอันดับหนึ่ง เป็นผู้ฝึกดาบ นามว่าจ้าวควน

กู่ฉิงซานมองดูอีกฝ่าย ค่อนข้างรู้สึกเสียดายที่ตนมิได้รับความทรงจำจากชายผู้นี้

เพียงแค่นึกว่าจะได้ล่วงรู้เกี่ยวกับทักษะดาบในสมัยโบราณ มันก็ชวนให้เขาอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น

จ้าวควนกล่าว “ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ชัดเจนว่าต้องมีเรื่องใดเกิดขึ้น ท่านอาจารย์ถึงได้เรียกหาพวกเราเร่งด่วนเช่นนี้”

“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวทันที

เขาเดินออกจากถ้ำกับจ้าวควน และบินขึ้นไปยังเหนือสุดของวังสวรรค์เมฆาวิเวก

ในระหว่างโผบิน กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะก้มลงมองจากฟากฟ้า

เห็นแค่เพียงตลอดทั้งเทือกเขา ทุกหนแห่งถูกปกคลุมไปด้วยมนต์ขลัง และผู้ฝึกยุทธที่กำลังโบยบินไปตามสายลม การแสดงออกทางสีหน้าของคนเหล่านั้นช่างมั่นคงและตื่นเต้น

เพราะนี่คือวันสิ้นปี

ทุกคนสามารถละทิ้งเรื่องการฝึกยุทธเอาไว้ชั่วคราว และมารวมตัวกัน ร่วมเฉลิมฉลองปีใหม่

เหล่าทวยเทพจะจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ขึ้นในช่วงเวลานี้ เพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าผู้ฝึกยุทธที่โดดเด่นที่สุดเข้าร่วมเลี้ยงฉลอง

กู่ฉิงซานมองไปยังสถานที่ห่างไกล

เขาค้นพบว่านอกประตูภูเขา มันคึกคักไปด้วยหลากหลายเมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

บางครั้งบางคราว ก็ปรากฏให้เห็นถึงกระแสแสงกะพริบไหว ตัดผ่านผืนฟ้าไป

นั่นคงมิแคล้วเป็นเรือเหาะ

นอกจากนี้ ยังมีอาคารขนาดใหญ่อีกจำนวนมากที่กำลังสาดแสงสว่างไสว

ผู้ฝึกยุทธมากมายรวมตัวกันเพื่อดื่มสุราวิญญาณ รับประทานอาหารทิพย์ ร้องเล่นเต้นรำ บ้างก็นั่งพูดคุยเกี่ยวกับเทคนิคมนตรา และประลองกันเล็กๆ น้อยๆ

ทุกหนแห่ง สามารถพบเจอผู้ฝึกยุทธชายหญิงเดินเคียงคู่กัน บ้างก็เห็นคนกลุ่มใหญ่ที่วิ่งอยู่บนก้อนเมฆ ละเล่นไล่จับกัน

ช่างเป็นฉากที่คึกคักมีชีวิตชีวา!

กู่ฉิงซานถอนหายใจ และเบนสายตากลับคืน

เพราะบัดนี้ ยอดวังสวรรค์ได้อยู่ตรงหน้าแล้ว

ที่นี่คือที่พำนักของปรมาจารย์วังแห่งวังสวรรค์

ปรากฏผู้ฝึกยุทธอีกคนหนึ่ง ในมือกุมมีดสั้น กำลังเฝ้ารอพวกเขาอยู่ข้างหน้าประตู

คนผู้นี้คือศิษย์พี่สองของเฉินหยาง เป็นผู้ใช้มนตรานาม หวงซาน

มีดสั้นในมือของเขามิได้มีไว้ใช้ในการต่อสู้ หากแต่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการสำแดงเทคนิคมนตรา

“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์น้องสาม พวกเจ้ามาแล้ว” หวงซานกล่าว

“อืม” กู่ฉิงซานรับคำ

“พวกเราเข้าไปกันเถิด ท่านอาจารย์กำลังรออยู่” จ้าวควนกล่าว

ทั้งสามคนผลักประตูเข้าไป

ในห้องโถงใหญ่ เห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธผมขาว ในสภาพสวมชุดยาวสีดำ กำลังหันหลังให้กับทั้งสาม

โดยมีดาบยาวที่ดูเรียบง่าย ไร้ซึ่งเครื่องประดับตกแต่งใดๆ ลอยอยู่เบื้องหน้าเขาอย่างเงียบๆ

กู่ฉิงซานพอเห็นดาบยาว หัวใจใต้ทรวงอกของเขาก็แทบจะดีดออกมาผ่านทางลำคอ

เป็นดาบพิภพ!

“ท่านอาจารย์!” สองศิษย์คนอื่นๆ โค้งคำนับพร้อมกัน

กู่ฉิงซานเร่งโค้งคำนับตาม

ปรมาจารย์วังแห่งวังเมฆาวิเวกถอนหายใจลึก คล้ายกับว่ากำลังโศกเศร้า แต่มิได้เอ่ยคำใด

ศิษย์ทั้งสามคนเหลือบมองกันและกัน

ใบหน้าของพวกเขาถูกขีดเขียนไปด้วยความงงงวย

โดยปกติแล้วท่านอาจารย์มักจะเป็นคนใจกว้าง จิตใจเปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์ ครอบครองวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ กระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอๆ แต่อย่างไรในวันนี้จึงแสดงออกเช่นนี้?

บังเกิดความเงียบงันขึ้น

บรรยากาศในห้องโถงยิ่งนาน ก็ยิ่งซับซ้อน มิอาจบอกบรรยายได้

จนในที่สุด ศิษย์พี่คนแรกจ้าวควนก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “อาจารย์ มิใช่ว่าท่านไปงานเลี้ยงฉลองหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาเร็วนัก? แล้วเหตุใดท่านจึงทอดถอนหายใจเช่นนั้น?”

ปรมาจารย์วังสวรรค์เมฆาวิเวก ชี้ไปทางดาบพิภพและกล่าว “มันเสียหาย”

จ้าวควนอุทานด้วยความประหลาดใจ “นี่เป็นดาบมนตราที่ท่านอาจารย์จ่ายออกด้วยทรัพยากรมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้นักหลอมกลั่นที่มีชื่อเสียงถึงเก้าคน ทำงานบนเตาหลอมสวรรค์ยาวนานกว่า เก้าพันเก้าร้อยแปดสิบเอ็ดวัน หล่อมันขึ้นจนกลายเป็นอาวุธเทวะ แล้วเป็นผู้ใดกันที่สามารถทำร้ายมันได้?”

ปรมาจารย์วังเอ่ยเพียงสองคำ “เป็นฝีมือของเทพพยากรณ์”

เทพพยากรณ์ เป็นหนึ่งในเทพวิญญาณที่อ้างตนว่าสามารถควบคุมเหตุทุกสถานการณ์ และอนาคตของทุกสิ่งมีชีวิต

หวงซานสงสัย “เทพวิญญาณเมตตาต่อทุกสิ่งเสมอมา แล้วเหตุใดเขาจึงทำร้ายดาบของท่านอาจารย์?”

ปรมาจารย์วังกล่าว “ในวันนี้ ที่งานเลี้ยงข้าได้ต่อสู้กับเทพพยากรณ์ อาศัยเพียงดาบเล่มนี้ ข้าก็สามารถสยบลูกไม้ ลวดลายของทวยเทพ ได้ชัยไปกว่าครึ่ง ทว่าข้าไม่ต้องการที่จะให้เทพวิญญาณโกรธเคือง จึงได้พยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อทำลายดาบเล่มนี้”

ปรมาจารย์วัง หันขวับมาอย่างรุนแรงและกล่าวกับศิษย์ทั้งสาม “ทั้งหมดย่อมเป็นความผิดของข้า ที่หุนหันพลันแล่นเกินไปจนก่อให้เกิดหายนะเช่นนี้ขึ้น เกรงว่าสำหรับในปัจจุบัน นิกายอาจจะถูกทำลายลงในไม่ช้า ”

“จ้าวควน หวงซาน เฉินหยาง พวกเจ้าเป็นศิษย์หลักของข้า ฉะนั้นข้าขอสั่งให้พวกเจ้าหลบหนีไปจากวังสวรรค์เมฆาวิเวกทันที ลงไปยังโลกเบื้องล่าง ซ่อนตัวตนของพวกเจ้า เพื่อยังคงรักษาเมล็ดพันธุ์แห่งนิกายเอาไว้”

“ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็กำลังจะทำเช่นนี้เหมือนกัน”

“พวกเจ้าจะต้องจากไปในคืนนี้!”

สามศิษย์ตื่นตะลึง ทุกสิ่งอย่างช่างกะทันหัน

“อาจารย์ เทพวิญญาณไม่ใช่ว่า…”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!”

“มันก็เป็นแค่การต่อสู้กัน แล้วทำไมนิกายของพวกเราถึงต้องถูก-”

ทั้งสามต่างเอ่ยปากปลอบประโลมอาจารย์

ปรมาจารย์วังเอ่ยเฉียบขาด “พวกเจ้าจงหุบปากให้ข้า!”

ทั้งสามเงียบงันไป

ปรมาจารย์วัง “จ้าวควน!”

“ศิษย์อยู่นี่!”  จ้าวควนคุกเข่าโค้งคำนับ

ปรมาจารย์วัง “เจ้าเป็นศิษย์คนแรกของข้า ทว่าทักษะดาบยังไม่ถึงขั้นประสบความสำเร็จใหญ่ยิ่ง ดังนั้น ตอนนี้ข้าจะมอบความไว้วางใจแก่เจ้า โดยมอบหนังสือโบราณ และเทคนิคการฝึกยุทธทั้งหมดให้เจ้าดูแล หลังจากหลบหนีไปยังโลกเบื้องล่าง จงอย่าฟุ้งซ่านในเรื่องใด เพียรศึกษาทักษะดาบของนิกายให้มากเข้าไว้ จากนั้นไม่ช้า จงก่อตั้งนิกายขึ้นในโลกเบื้องล่าง รับคบเพลิงแห่งเจตนารมต่อจากข้า”

“ขอรับ” จ้าวควนกล่าว

ปรมาจารย์วังกล่าวต่อ “หวงซาน ในบรรดาสามศิษย์ เจ้าเป็นผู้รอบรู้ในเทคนิคมนตรา แตกฉานในมันมากที่สุด ดังนั้นข้าต้องการให้เจ้าปกป้องดาบพิภพ นำมันไปยังโลกเบื้องล่าง หลบเร้นตัวตน หลบเลี่ยงการไล่ล่า และเฝ้ารอโอกาสในครั้งต่อไป”

หวงซานอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “แต่อาจารย์ หากข้านำดาบเล่มนี้ไป แล้วท่านจะใช้อะไร?”

ปรมาจารย์วังกล่าวเสียงดัง “ข้าสามารถใช้ดาบใดก็ได้ แต่ดาบพิภพจะต้องไม่ประสบเคราะห์กรรมอีก เนื่องเพราะมันเกี่ยวพันต่อความลับแห่งโชคชะตาของเผ่ามนุษย์ทั้งมวล มันเป็นความหวังสุดท้ายของเผ่ามนุษย์เรา เจ้าจะต้องปกป้องมันไว้ให้จงดี”

“ทราบแล้วท่านอาจารย์” หวงซานกล่าวจริงจัง

สุดท้าย ปรมาจารย์วังมองกู่ฉิงซานและกล่าว “เฉินหยาง ความคิดอ่านของเจ้าแสนบริสุทธิ์ ดังนั้นอาจารย์ขอมอบความไว้วางใจ มอบเรื่องส่วนตัวให้เจ้าจัดการ”

กู่ฉิงซาน “ท่านอาจารย์เชิญกล่าว”

ปรมาจารย์วัง “เทพวิญญาณกล่าวว่าบุตรสาวข้านั้นเกิดมาไม่สมประกอบ ชะตาอายุขัยของนางจะจบลงแค่ในเพียงเจ็ดปีแรกเท่านั้น แต่ข้าได้รู้ภายหลังว่า เทพวิญญาณได้แอบฝังคำสาปร้ายแรงไว้กับนาง เพราะนางเกิดมาพร้อมดอกบัวทอง นางสามารถสูบพลังชีวิตมาจากทั้งสวรรค์และโลกได้ ทำให้ทวยเทพชิงชังและริษยานางยิ่งนัก”

“ข้าและเหล่าอาวุโสผู้ฝึกยุทธทั้งหมดในโลกสวรรค์จึงร่วมมือกัน และในที่สุดก็ค้นพบวิธีที่จักสามารถทำให้นางหลีกเลี่ยงคำสาปส่ง และดำเนินชีวิตต่อไปได้”

“แต่น่าเสียดาย ที่วิธีการของพวกเราจำต้องใช้เวลากว่าหลายร้อย หลายพันปี จึงจะสามารถค่อยๆ ถอนคำสาปแช่งของเทพวิญญาณออกไปได้ และเมื่อนั้น นางจึงค่อยถูกปลุกขึ้นจากผลึกน้ำแข็งนี้”

เขายื่นมือออกมา ทันใดนั้นผลึกน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น

กู่ฉิงซานมองผลึกน้ำแข็งเบื้องหน้า

เห็นแค่เพียงในผลึกน้ำแข็ง ประดับประดาไปด้วยช่อดอกไม้และหยกวิญญาณนับล้านๆ รายล้อมอยู่รอบดอกบัวทอง

เหนือดอกบัวทอง เป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่มีใบหน้าบริสุทธิ์และไร้เดียงสา กำลังหลับใหลอย่างสงบ

กู่ฉิงซานกวาดสายตากลับไปมองดอกไม้และหยกวิญญาณอีกครั้ง

เขาค้นพบว่า ดอกไม้เหล่านี้แบ่งออกเป็นสองชนิด หนึ่งคือดอกไม้แห่งจิตวิญญาณที่แท้จริง และอีกหนึ่งเป็นดอกไม้ที่แกะสลักโดยหยกวิญญาณ

อ้างอิงตามความทรงจำของเฉินหยาง แม้ในโลกสวรรค์ ดอกไม้แห่งจิตวิญญาณที่แท้จริงเหล่านี้ ล้วนเป็นสมบัติหายาก

และดอกไม้ที่แกะสลักด้วยหยกวิญญาณ ก็วูบไหวไปด้วยอักษรรูนโบราณ ชัดเจนว่ามันฝังค่ายกลที่ลึกล้ำบางอย่างเอาไว้

ภายในผลึกน้ำแข็ง ปรากฏร่องรอยจางๆ ของแสงสวรรค์ผลุบออกมาจากดอกไม้แห่งจิตวิญญาณผสานไปกับสีสันของดอกไม้สลักหยกวิญญาณ กำลังไหลเข้าสู่ร่างของเด็กสาวด้วยอัตราเร็วที่เชื่องช้า

“นี่คือบุตรสาวแห่งข้า บางทีอาจจำต้องใช้เวลานับหลายหมื่นปีจึงจะฟื้นคืนสติกลับมา เกรงว่าในตลอดทั้งชีวิตข้า คงมิอาจเห็นนางได้อีกต่อไปแล้ว”

“เฉินหยาง เจ้าจงนำนางไปยังโลกเบื้องล่าง มองหาสถานที่ดีๆ ตั้งหลักปักฐาน ดูแลนางเพื่อข้าเสีย”

ปรมาจารย์วังเฝ้ามองสาวน้อยในผลึกน้ำแข็ง

การแสดงออกทางสีหน้าของเขาค่อยๆ กลายเป็นอ่อนโยน และคะนึงหา

“หากวันใดที่นางตื่นขึ้นมา จงบอกนางออกไปแทนข้า ว่าชื่อของนางคือ ‘เซี่ยเต๋าหลิง’”

………………