ตอนที่286 ต้องการคุยอีกครั้ง

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล]

ตอนที่286 ต้องการคุยอีกครั้ง

หัวเซินซวนนั่งบนเก้าอี้หน้าซีดแทบทรุด นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกไร้ซึ่งพลังขนาดนี้ เขาคิดมาเสมอมาตระกูลหัวของเขายิ่งใหญ่และไม่จำเป็นต้องกลัวใคร แต่ความซวยพลันบังเกิดขึ้นแล้วตอนนี้ที่ดันแกว่งเท้าไปเจอเสี้ยนชิ้นใหญ่

หัวฉีเฉินเอ่ยถามด้วยความรู้สึกผิดว่า

“พ่อ เทศมนตรีหวังว่าไงบ้าง?”

หัวเซินซวนกล่าวตอบเสียงแผ่วว่า

“ว่าไงงั้นเหรอ? ดูท่าอีกฝ่ายจะไม่อยากช่วยเราเลย บอกแค่ว่าถ้าเซียงซิ่วไม่ผิดจริง เขาก็สัญญาว่าเธอจะกลับออกมาอย่างปลอดภัย แต่ถ้าเธอทำผิดก็ต้องรับโทษตามกฎหมาย ที่พูดออกมาแบบนี้มันหมายความว่าไงล่ะ?”

“งั้นผมควรทำยังไงดี? จะให้เซียงซิ่วไปโรงพักทั้งแบบนี้เหรอ?”

หัวเฉินซีเอ่ยถามอย่างร้อนใจ

หัวเซินซวนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่อายที่จะต้องตอบลูกชายไปตามตรงว่าต้องส่งตัวหลานสาวไปจริงๆ แล้ว

หัวเฉินรู้จักพ่อของตนเองดียิ่งกว่าใครๆ เขาไม่เคยยอมใครมาก่อนเลยในชีวิต แต่วันนี้เขากลับพยักหน้ายอมรับอย่างสิ้นหวัง

“ได้ครับ ผมจะไปคุยกับเซียงซิ่ว”

หัวฉีเฉินกล่าวด้วยความโศกเศร้า

หัวเซินซวนพยักหน้าตอบอีกคราและไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองลูกชายตัวเอง

หัวฉีเฉินเองก็อยู่ในอารมณ์เดียวกับพ่อตัวเองไม่มีผิด เขาไม่มีหน้าไปพบลูกสาวตัวเองเช่นกัน แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากเผชิญหน้าและพูดกับเธออย่างตรงไปตรงมา

หัวเซียงซิ่วที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย ตอนนี้เธอกำลังดูข่าวและชื่นชมผลงานชิ้นเอกของตัวเองอยู่ เธอไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมข่าวยังถูกเผยแพร่อยู่หลังจากโดนกองตำรวจปราบปรามไปแล้ว และหลงเข้าใจว่าทั้งหมดเป็นเพราะบารมีของตัวเธอเองล้วนๆ เธอรู้สึกภาคภูมิใจกับผลงานชิ้นนี้มาก และตอนนี้ชาวเน็ตมากมายก็กำลังทวงความยุติธรรมให้กับพี่ชายของเธออยู่

หัวเซียงซิ่วระเบิดหัวเราะเยาะ กล่าวกับตนเองว่า

“เหอะ! ไอ้ขยะสกุลจ้าว ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าครอบครัวของแกมีเงินมากแค่ไหนเชียว? มันมากพอที่จะปิดบังความคิดเห็นของประชาชนได้ไหม!”

พอพูดจบเธอก็เปิดเพลงฟังอย่างมีความสุข

ชั่วขณะต่อมา หัวฉีเฉินก็เคาะประตูห้องและกล่าวว่า

“เซียวซิ่ว เปิดประตูหน่อย พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย”

หัวเซียงซิ่วปั้นหน้าล้อเลียนและตะโกนตอบไปว่า

“พ่อ เลิกตื้อหนูสักที แล้วไม่ต้องห้ามหนูด้วย เสียเวลาเปล่า ทุกอย่างกำลังไปได้สวยแล้ว!”

หัวฉีเฉินเริ่มขึ้นเสียงด้วยความโมโห

“พ่อบอกให้เปิดประตู ได้ยินไหม!”

หัวเซียงซิ่วที่ได้ยินเสียงของพ่อฟังดูไม่ถูกต้อง เธอจึงไม่กล้าเถียงอีกต่อไป โยนโทรศัพท์ไว้บนเตียงและรีบวิ่งไปเปิดประตูทันที

“นี่พ่อจะมายุ่งอะไรอีก?”

หัวเซียงซิ่วเอ่ยถามชักสีหน้าไม่พอใจใส่

หัวฉีเฉินตรงเข้าไปในห้องและปิดประตูอย่างรวดเร็ว บอกให้เธอไปนั่งฟังสิ่งที่พ่อจะพูดต่อไปนี้

หัวเซียงซิ่วเดินไปนั่งบนเตียงและเอ่ยถามขึ้นว่า

“เกิดอะไรขึ้น? ต้องดูลึกลับขนาดนี้เลย?”

คู่พ่อลูกนั่งลงจับเข่าคุยกัน หัวฉีเฉินอับอายเกินกว่าจะพูดเหลือเกิน แต่ท้ายที่สุดเพื่อความปลอดภัยของลูกสาว เขาในฐานะผู้เป็นพ่อจำต้องบอกความจริงไปตามตตรง ไม่อย่างนั้นถ้าทางตำรวจบุกเข้ามาจับตัวลูกสาวเขาจริงๆ นี่อาจเป็นอันตรายได้

หัวเซียงซิ่วที่เห็นพิ่ปั้นหน้าเครียดไม่พูดอะไรอยู่นาน ก็พลันรู้สึกได้ทันใดว่า วันนี้พ่อดูแปลกไปจริงๆ เธอจึงกล่าวน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า

“พ่อ พวกเราเป็นพ่อลูกกันนะ มีอะไรต้องปิดบังกันด้วยเหรอ?”

หัวฉีเฉินเงยหน้าขึ้นมองลูกสาว ถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า

“เข้าใจแล้ว พ่อจะบอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ให้ฟัง ทางตำรวจโทรมาขู่ว่า ให้ยอมจำนนแต่โดยดีและเดินทางไปที่โรงพักเดี๋ยวนี้ ถ้ายอมให้ความร่วมมือจะเป็นโทษสถานเบา แต่ถ้าไม่ยอมพวกเขาจะนำทีมมาบุกจับกุมลูกและต้องโทษสถานหนัก พวกเขาบอกว่าลูกมีความผิดฐานจงใจปล่อยข่าวลือเพื่อทำให้บุคคลอื่นเสื่อมเสียชื่อเสียง ตอนนี้ลูกก็อายุยี่สิบแล้ว โทษที่ได้รับเต็มขั้นแบบผู้ใหญ่ ลูกไปมอบตัวเถอะ พวกเราตระกูลหัวมีคนค่อยช่วยอยู่แล้ว มั่นใจเถอะว่าลูกจะไม่เป็นอะไรแน่นอน”

หัวเซียงซิ่วแทบระเบิดทันทีที่ได้ยิน นี่มันหมายความว่ายังไง? เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด แล้วตำรวจจะมาจับตัวเธอได้ยังไง? ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งโดนกุมตัวไป ตอนนี้ถึงขั้นจะบุกเข้ามาจับกุมเลยงั้นเหรอ? นอกจากนี้เองเธอก็ไม่ได้สร้างข่าวลือ ทั้งหมดล้วนเป็นความจริง แต่ทำไมทั้งพ่อและปู่รวมไปถึงทุกคนในตระกูลหัวถึงไม่ยืนหยัดสู้แบบเธอกัน?

หัวฉีเฉินไม่ต้องการมีปากเสียงกับลูกสาวตัวเองอีกต่อไปแล้ว เพราะท้ายที่สุดนี้โต้เถียงกันไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา สิ่งเดียวที่ต้องการตอนนี้คือ เขาอยากให้ลูกสาวตนเองให้ความร่วมมือกับตำรวจ โทษหนักจะได้เป็นเบา

หัวเซียงซิ่วกล่าวตอบอย่างโกรธเคืองว่า

“พ่อ! ทั้งพ่อทั้งปู่ใจไม่สู้เท่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ด้วยซ้ำ! หนูบอกไปแล้วไงว่า ทุกอย่างกำลังไปได้สวย แล้วจะยอมจบทั้งแบบนี้น่ะเหรอ? ถ้าพวกเขาอยากจะมาจับกุมหนูจริงก็ต้องมีหมายจับ แต่หนูไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วจะมีหมายจับได้ยังไง! หนูไม่มีวันหยุดจนกว่าจะคืนความยุติธรรมให้พี่ชาย! ความถูกต้องย่อมชนะความชั่วร้ายเสมอ!”

หัวฉีเฉินตะคอกสวนตอบไปทันที

“ชักจะไปกันใหญ่แล้ว! ความถูกต้องคืออะไร? ความชั่วร้ายหมายถึงยังไง!? ลูกจำไว้ให้ดี ผู้แข็งแกร่งที่สุดคือความถูกต้อง ผู้อ่อนแอล้วนถูกตราหน้าว่าเป็นความชั่วร้าย! และมีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับความยุติธรรม! ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกคิดผิดแล้วจริงๆ ที่ส่งแกไปอยู่ที่อเมริกา ปล่อยให้สังคมและวัฒนธรรมที่บิดเบี้ยวพวกนั้นเปลี่ยนตรรกะของลูกจนเพี้ยนได้ขนาดนี้! คิดจริงๆ เหรอว่าประชาธิปไตยและเสรีภาพที่พวกอเมริกาขายฝันจะมีจริงๆ? มีบริษัทของจีนตั้งกี่แห่งแล้วที่โดนพวกมันยึดอำนาจไป เวลานั้นพวกมันมีความเสมอภาพและยุติธรรมให้เรารึไง? ก็ไม่! สุดท้ายพวกมันก็แค่เผด็จการในคาบคนดีเท่านั้น! พ่อไม่อยากพูดเรื่องนี้อีกแล้ว! ถ้าแกอยากรู้ว่าความยุติธรรมมีจริงไหม พ่อตอบให้เลยว่ามี! แต่ทุกอย่างมันไม่ใช่สีขาวกับดำอย่างที่ลูกเห็น ทว่าความจริงคือสีเทาทั้งนั้น!”

หัวเซียงซิ่วรีบตรงไปกุมมือพ่อและกล่าวน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า

“พ่อ! นี่พ่อพูดอะไรออกมา! พ่อต้องเชื่อในตัวกฎหมายสิ มีเพียงกฎหมายเท่านั้นที่จะมอบความยุติธรรมแก่เรา!”

“เอะอะก็อ้างความยุติธรรม แล้วลูกเคยคิดบ้างไหมว่า การที่พี่ชายของแกไปทุบทำลายหลุมศพบรรพบุรุษคนอื่น มันยุติธรรมต่ออีกฝ่าย? แล้วการที่ลูกยังทำตัวเรียกร้องความยุติธรรมจอมปลอมอยู่แบบนี้ มันคือความเห็นแก่ตัว!”

หัวเซียงซิ่วเถียงตอบไปทันที

“มันไม่เหมือนกัน! ถ้าการทำลายหลุมศพของคนอื่นถือเป็นความผิด ก็ควรชดเชยด้วยตัวเงินหรือคำขอโทษแค่นั้นพอ แต่มันกลับตักมือพี่ชายหนูไป นี่คือคดีอาชญากรรมแล้ว!”

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายนี้เธอก็ไม่เข้าใจวัฒนธรรมของคนจีนเลยแม้แต่น้อย หลุมศพของบรรพบุรุษสำหรับคนจีนแล้วมีคุณค่าทางจิตใจสูงเกินกว่าจะหาสิ่งใดเปรียบ การเหยียบย่ำทำลายก็ไม่ต่างอะไรกับการลบหลู่โคตรตระกูล แต่จะอธิบายเธอไปอย่างไรคงไร้ประโยชน์ หัวฉีเฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบังคับส่งเธอไปโรงพักด้วยตัวเอง

หัวฉีเฉินเดินออกไปเรียกคนรับใช้กลุ่มหนึ่งให้เข้ามาและสั่งว่า

“ช่วยแต่งตัวให้คุณหนูในชุดสุภาพ แล้วส่งเธอไปโรงพักทันทีเพื่อมอบตัว!”

คล้อยหลังพูดจบ เขาก็เดินจากไปทันที

หัวเซียงซิ่วแทบเสียศูนย์เมื่อได้ยิน

“พ่อ! หนูต่างหากเป็นฝ่ายถูก! หนูจะพิสูจน์ให้เห็นเองว่า พวกพ่อคิดผิด! ตรรกะของพวกพ่อต่างหากที่บิดเบี้ยว!”

หนึ่งชั่วโมงต่อมา หัวเซียงซิ่วถูกส่งเข้าโรงพักเพื่อมอบตัว หลินเซียะเดินเข้ามาคุยกับเธอเป็นการส่วนตัว

“ผมได้ยินมาว่า คุณหนูหัวโตในต่างประเทศ คงไปซึมซับนิสัยแย่ๆ ของพวกฝรั่งมาใช่ไหม?”

หัวเซียงซิ่วหัวเราะเยาะคำหนึ่ง โต้กลับไปทันทีว่า

“สิ่งที่ฉันซึมซับมาคือประชาธิปไตยและสิทธิ์เสรีภาพของผู้คน ไอ้นิสัยแย่ๆ ที่คุณพูดถึงคือเผด็จการของประเทศตัวเอง?”

“ฮ่าฮ่า…เสรีภาพ? โลกใบนี้มีเสรีภาพไร้ขอบเขตพออยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเธอจะสามารถปล่อยข่าวลือจนทำให้คนอื่นเสียหายได้ยังไง? เอาล่ะ มาคุยกันดีกว่า เต็มใจให้ความร่วมมือกับพวกเรา จากโทษหนักจะได้เป็นเบานะ แต่ถ้าคุณยังคงยืนกรานที่จะสู้กับกฎหมาย ผลลัพธ์ที่ได้อาจจบไม่สวย”

หลินเซียะกล่าวพร้อมใบหน้าที่ดูจริงจังอย่างยิ่ง

แต่หัวเซียงซิ่วยังคงมีท่าทีเช่นเดิม สิ่งที่เธอล้วนพูดและแสดงออกไปล้วนเป็นความจริง และเธอก็แค่พยายามปกป้องสิทธิ์ที่พี่ชายของเธอควรจะได้รับเท่านั้น และหากตำรวจยังคงยืนกรานที่จะเอาผิดเธอให้ได้ เธอเองก็ขอสู้ให้ถึงที่สุดด้วยเงินและทรัพย์สินทั้งหมดที่มี เธอเชื่อเสมอว่าความยุติธรรมไม่เคยจางหาย

หลินเซียะยิ้มและพูดกับนายตำรวจที่รับหน้าที่สอบสวนว่า

“พวกคุณสอบสวนเธอให้ดี ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลัง”

พวกผู้ใต้บังคับบัญชาพยักหน้ารับสั่ง และหลินเซียะก็เดินจากออกไป

ในเวลานั้นเอง หัวเซินซวนก็กลับมาที่นี่อีกครั้ง

หลินเซียะยิ้มทักทายเขาทันที ก่อนเชิญให้อีกฝ่ายไปคุยกันในห้องทำงานพร้อมเอ่ยถามขึ้นว่า

“วันนี้คุณหัวแลดูว่างจังนะครับ ถึงวิ่งมาเยี่ยมผมตั้งหลายรอบ”

หัวเซินซวนยิ้มและตอบไปว่า

“ครั้งนี้ไม่ใช่กับผู้ว่าหลินครับ ผมต้องการคุยกับพ่อหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง ผู้ว่าหลินช่วยนัดเขาให้ทีครับ”