บทที่ 250.1 บุปผาลานตาสะพรั่งบานเต็มกำแพง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 250.1 บุปผาลานตาสะพรั่งบานเต็มกำแพง โดย ProjectZyphon

ท่าเรือที่เรือลำที่เฉินผิงอันโดยสารลงจอดไม่ได้อยู่ที่เดียวกับท่าเรือของแคว้นอวิ๋นซง เงินเกล็ดหิมะจ่ายสิบเหรียญ รับป้ายไม้หนึ่งแผ่นมาและมอบตราประทับที่แม่ทัพภาคมอบให้กลับคืนไปแล้ว เฉินผิงอันก็ติดตามคนหลายสิบคนเดินทางไปยังท่าเรือแห่งนั้น สถานที่ตั้งของท่าเรือคือทางเข้าถ้ำหินงอกหินย้อยใต้ดินแห่งหนึ่ง ปากถ้ำกว้างประมาณห้าหกจั้ง เต็มไปด้วยฝีมือแกะสลักจากผู้มีชื่อเสียงและเซียนซือของแต่ละยุคสมัย ‘แดนเซียนเกล็ดปลา’ ‘ตะวันจันทราในกาน้ำ’ ‘ถ้ำสวรรค์เหยาหลิน’ อักษรส่วนใหญ่ล้วนสลักได้อย่างทรงพลัง พอเข้าไปในถ้ำการมองเห็นก็พลันเปิดกว้าง สว่างไสวชัดเจน คนทั้งกลุ่มเดินลงบันได ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมาก็เข้าไปในโถงถ้ำขนาดมหึมา ผนังหินสองด้านทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกมีภาพจิตรกรรมฝาผนังของนางฟ้าที่โบยบินสู่สรวงสวรรค์ ชายแขนเสื้อกว้างส่ายสะบัด ล่องลอยมีชีวิตชีวาเสมือนจริง ใบหน้าของหญิงสาวแจ่มชัด เรือนร่างอวบอิ่ม แต่ไม่ทำให้คนมองรู้สึกว่าอ้วนฉุ

ริมตลิ่งของท่าเรือมีเรือสามชั้นจอดอยู่ลำหนึ่ง ตรงหัวและท้ายเรือต่างก็สลักเป็นรูปหัวกับหางมังกร นอกจากจะมีขนาดใหญ่จนแทบจะใกล้เคียงกับเรือรบของราชวงศ์ใหญ่แล้ว รูปร่างก็ไม่ต่างจากเรือข้ามฟากทั่วไปในโลกมนุษย์ นอกจากกลุ่มของพวกเฉินผิงอัน ยังมีคนอีกสามร้อยกว่าคนรวมตัวเบียดเสียดกันอยู่บนเรือแล้ว ตรงท่าเรือยังมีร้านค้าอีกมากมาย ส่วนใหญ่เป็นร้านขนาดเล็กที่ไม่แขวนกรอบป้ายใหญ่โต ไม่ติดกลอนคู่ เพียงแค่แขวนป้ายตัวอักษรอย่างเรียบง่ายไว้ข้างนอกเท่านั้น มีทั้งภาพวาด ขนม ผลไม้และผลิตภัณฑ์พิเศษจากพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับแคว้นซูสุ่ยวางขาย ยกตัวอย่างเช่นพรมผืนเล็ก แก้วไก่ชนของแคว้นไฉ่อี ภาพต้นสนเข็มของแคว้นซงซี แผ่นสลักใบไม้ต้นอวี๋ ตอไม้หลัวฮั่นแกะสลักของแคว้นกู่อวี๋ เป็นต้น

เงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญที่เฉินผิงอันจ่ายไปก่อนหน้านี้ก็เพื่อเช่าห้องเดี่ยวบนชั้นสอง อันที่จริงชั้นหนึ่งจ่ายแค่สามเหรียญ ซึ่งก็คือสามพันตำลึงเงิน แม้จะบอกว่าเป็นท่าเรือตระกูลเซียน อีกทั้งระยะทางยังยาวไกล แต่เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไกลของราชวงศ์บนโลกมนุษย์แล้วก็ยังน่าตกใจมากอยู่ดี ยังดีที่เฉินผิงอันเคยนั่งเรือคุนมาก่อน จึงไม่ถึงกับตกอกตกใจ อีกทั้งตอนอยู่ที่หอชิงฝูยังขายท่อนไม้สีดำและถ้วยภาพห้าขุนเขาไปได้ ได้เงินเกล็ดหิมะมาเพิ่มอีกสี่ร้อยห้าสิบเหรียญ กำไรนับว่าไม่เลว บวกกับที่เฉินผิงอันต้องฝึกวิชาหมัดเดินนิ่งทุกวัน ดังนั้นเงินส่วนนี้จึงจำต้องควักจ่าย จะประหยัดไม่ได้

มีนักพรตของท่าเรือคนหนึ่งนั่งเก้าอี้ไท่ซืออยู่บนบันไดหินขนาดเล็กริมตลิ่ง ในมือถือถ้วยชาลายกระนกกระทาใบหนึ่ง ยกชาขึ้นดื่มนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เห็นว่าน้ำชาจะหมดเสียที เขาเอ่ยเตือนทุกคนด้วยเสียงอันดังว่า อีกครึ่งชั่วยามเรือจะมุ่งหน้าลงใต้ ก่อนจะขึ้นเรือสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีเฉพาะถิ่นซึ่งสวยงามและราคาถูกกลับบ้าน เขาพูดย้ำทวนถึงพรมของแคว้นไฉ่อีและต้นไม้กระถางของแคว้นซานหลัน พยายามโน้มน้าวและยกยอข้อดีของพวกมันสุดชีวิต แถมยังเอ่ยชื่อร้านของสองร้าน และก็สามารถทำให้ผู้โดยสารเรือหลายคนเกิดความสนใจ ไปทุ่มเงินซื้อของที่สองร้านนั้นได้จริงๆ นี่ทำให้เจ้าของร้านอื่นบ้างก็ค้อนตาคว่ำ บ้างก็อิจฉาริษยา มีเงินก็จ้างให้ผีโม่แป้งได้ ส่วนพวกเขาที่ไม่มีเงินซื้อเส้นสายก็ได้แต่ต้องยอมรับ

เฉินผิงอันยืนเงียบๆ อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน แล้วจู่ๆ ก็นึกถึงหลิวเกาฮวาบุตรชายของเจ้าเมืองแยนจือ รวมไปถึงบัณฑิตภูตต้นไม้แคว้นกู่อวี๋ นึกถึงแก้วไก่ชนที่พวกเขานำออกมาในเวลานั้น ได้ยินว่าหากอยู่ที่อื่นราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จึงวิ่งไปซื้อแก้วไก่ชนมาหนึ่งคู่ สองใบหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ หลังจากนำกล่องไม้หวงหยางที่บรรจุแก้วกระเบื้องใส่ไว้ในห่อสัมภาระเรียบร้อยก็ใช้เงินจริงซื้อผลไม้สดมาส่วนหนึ่ง หิ้วถุงใบใหญ่ไว้ในมือ

ท่ามกลางกลุ่มคนที่มากมายนับไม่ถ้วน เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสาน สะพายกล่องกระบี่ไม้ไว้ที่หลัง สะพายห่อผ้าบนบ่าเฉียงๆ ถือถุงผลไม้ใบใหญ่

แม้ว่าจะมีคนเยอะมาก ระหว่างแต่ละคนอยู่ห่างกันแค่สองสามก้าวเท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับความอึกทึกของตลาดในเมืองใหญ่แล้ว ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งนี้กลับสงบเงียบกว่ามาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสหายที่จับกลุ่มกันมา ชวนกันคุยเสียงเบา น้อยนักที่จะมีใครพูดเสียงดังโฉงเฉง เด็กน้อยบางคนที่นิสัยร่าเริงซุกซนก็ถูกผู้อาวุโสในครอบครัวจับมือไว้แน่น ไม่อนุญาตให้พวกเขาวิ่งเล่นไปทั่ว

เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็คือจุดศูนย์รวมของเทพเซียนที่กล่าวถึงกันในตำนาน

เวลาผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาออกจากบ้าน ไม่มีใครที่เขียนชื่อสำนักแปะไว้บนหน้าผาก และยิ่งไม่มีทางเผยตบะขอบเขตที่แท้จริง

ห้าขอบเขตล่างห้าขอบเขตบน รวมกันแล้วสิบขอบเขต ขอบเขตมากมายขนาดนี้เป็นของตายตัว แต่คนนั้นมีชีวิตอยู่ อริยะกล่าวไว้ว่าธรรมชาติของคนมีลักษณะคล้ายกัน แต่สิ่งแวดล้อมทำให้คนแตกต่าง มหามรรคายาวไกล การฝึกตนที่นานหลายสิบหลายร้อยปี สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งจะมีนิสัยออกมาเป็นอย่างไร? หากทำอะไรโดยไม่ไตร่ตรอง ทำทุกอย่างดังใจปรารถนาเพียงแค่อาศัยสองหมัดและตบะของทั้งกาย สักวันหนึ่งย่อมต้องถูกคนเหยียบจมดิน

แต่ว่าตระกูลเซียนที่โชคดีได้ใช้คำว่าสำนัก ยกตัวอย่างเช่นสำนักโองการเทพ ภูเขาเจินอู่ ศาลลมหิมะพวกนี้ โดยเฉพาะสำนักศึกษากวานหูที่มีชื่อเสียงสยบไปทั้งแจกันสมบัติทวีป ต่อให้ไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายตรง แต่ขอแค่เป็นลูกศิษย์ในสำนักก็มีคุณสมบัติที่จะวางอำนาจบาตรใหญ่ไปทั้งทวีป เหมือนได้แขวนป้ายปลอดภัยสงบสุขที่มองไม่เห็นไว้กับตัวชิ้นหนึ่ง

และหากมีอาจารย์ผู้สืบทอดวิชาเป็นขอบเขตโอสถทอง ขอบเขตก่อกำเนิดก็ยิ่งเหมือนมียันต์คุ้มกันกายที่มีน้ำหนักมากพอแผ่นหนึ่ง

บุญคุณความแค้นบนภูเขาอาจจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาหลายชาติรวมกันของมนุษย์ธรรมดา ดังนั้นความแค้นเคืองพึงละมิพึงผูก สวนลมฟ้ากับภูเขาตะวันเที่ยงก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด เทพธิดาซูเจี้ยที่เคยสูงส่งเหนือผู้ใด ตอนนี้ล่ะเป็นอย่างไร? น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อันดับหนึ่งในโลกของนางใบนั้นถูกริบกลับเข้าสำนักไปแล้ว จิตแห่งกระบี่และตบะต่างก็แตกสลายไม่เหลือชิ้นดี ว่ากันว่านางเงียบหายไม่มีข่าวคราว ผู้ฝึกลมปราณหนุ่มที่ชื่นชอบนางตั้งกี่คนที่ตอนนี้ยังเจ็บปวดรวดร้าวหัวใจไม่หาย?

เฉินผิงอันยืนอยู่เงียบๆ เพียงปลดน้ำเต้าลงมาดื่มเหล้า รอให้เรือออกเดินทางไปยังทิศใต้ โดยสารเรือลงใต้ครั้งนี้มีระยะทางสองแสนลี้ จุดลงเรืออันดับต่อไปจะมีเรือตระกูลเซียนแห่งอื่นให้เดินทางตรงไปยังนครมังกรเฒ่า แล้วค่อยเดินทางจากนครมังกรเฒ่าไปยังภูเขาห้อยหัว เข้าไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสเดินทางท่องไปในยุทธภพกับเพื่อนอีกแล้ว ต่อให้อยากดื่มเหล้า ก็ได้แต่ดื่มเพียงคนเดียวเท่านั้น

เรือกำลังจะออกเดินทาง พวกผู้โดยสารจึงพากันเดินขึ้นเรือ เฉินผิงอันหาห้องของตัวเองบนชั้นสองจนเจอ เมื่อเทียบกับห้องตัวอักษรเทียนบนเรือคุนที่ขึ้นจากท่าเรือภูเขาอู๋ถงแล้ว ห้องของที่นี่เล็กแคบกว่ามาก ได้แค่วางเตียงหนึ่งหลัง ด้านนอกมีระเบียงเล็กๆ ที่พอให้คนสองคนยืนเท่านั้น

เฉินผิงอันวางผลไม้สดที่ใช้เงินสิบกว่าตำลึงซื้อมา ปลดกล่องกระบี่และห่อสัมภาระ นั่งอยู่บนเตียงที่ปูผ้าห่มสะอาดสะอ้านอย่างเหมาะสม อยู่ดีๆ ก็นึกถึงเตียงไม้ของบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงอย่างไม่มีสาเหตุ เฉินผิงอันทิ้งตัวนอนหงาย คนจนกลัวอากาศหนาว คนรวยกลัวอากาศร้อน แต่ดูเหมือนว่าคนมีเงินก็มีวิธีดับร้อนอยู่มากมาย นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่มีวิชาอภินิหารเลย

เฉินผิงอันลุกขึ้นนั่ง ม้วนชายแขนเสื้อและขากางเกงขึ้น ตรงข้อมือของมือสองข้าและเหนือข้อเท้าที่เปลือยเปล่าเผยให้เห็นตัวอักษรลักษณะคล้ายยันต์ ลมปราณที่แท้จริงไหลเวียนช้าๆ ประหนึ่งห่อหุ้มภาระที่มองไม่เห็นเอาไว้ มองดูแล้วไม่ค่อยสะดุดตานัก อีกอย่างก็ไม่มีบันทึกไว้ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ นี่คือวิชาของหยางเหล่าโถว มีชื่อว่ายันต์ลมปราณแท้จริงสองตำลึง ผู้เฒ่าไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด แค่บอกว่าสามารถช่วยให้ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสามารถใช้ลมปราณที่แท้จริงชำระล้างเรือนกายได้ด้วยตัวเองขณะที่นอนหลับ อีกอย่างขอแค่เฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตหลอมลมปราณได้ ยันต์สี่ตำแหน่งนี้จะสลายหายไปเอง หากทำอย่างไรก็ไม่สามารถฝ่าทะลุคอขวดได้ก็ให้เฉินผิงอันไปหาเจิ้งต้าเฟิงที่ร้านยามอซอแห่งหนึ่งในนครมังกรเฒ่าซึ่งอยู่ทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีป ให้คนที่เคยเป็นยามเฝ้าประตูของเมืองเล็กผู้นั้นช่วยปลดพันธนาการให้

เฉินผิงอันดึงชายแขนเสื้อและขากางเกงกลับ เดินไปที่ระเบียง ตามบันทึกของอักขรานุกรมภูมิศาสตร์แคว้นซูสุ่ย การก่อตัวของเส้นทางน้ำใต้ดินสายนี้มาจากการที่มังกรแท้จริงตัวสุดท้ายถูกเซียนไล่ล่า จึงหนีลงมาใต้ดิน ใช้ร่างที่ใหญ่โตของมันขุดเจาะจนเกิดเป็นทางสายนี้ ตอนหลังมุดออกจากใต้ดินตรงปากถ้ำแห่งนั้นของแคว้นซูสุ่ย สุดท้ายจึงทะยานลมไปยังต้าหลีทางทิศเหนือ เมื่อสงครามใหญ่ปิดฉากลงก็มีถ้ำสวรรค์หลีจูเกิดขึ้น ดังนั้นเส้นทางเรือสายนี้จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ทางมังกรเดิน’

ทางน้ำแบ่งเป็นฝั่งซ้ายและขวาซึ่งต่างก็มีเส้นทางเรือสายหนึ่งเพื่อให้สะดวกในการเคลื่อนที่ของเรือจากทิศเหนือและทิศใต้ ตรงกลางคือรั้วที่ยาวจนไร้ที่สิ้นสุด ทุกๆ ระยะสิบกว่าลี้ บนผนังหินจะแขวนโคมไฟที่ส่องสว่างพร่างพราวไว้ดวงหนึ่ง ส่องให้ทางน้ำที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงสว่างไสวถึงขีดสุด เมื่อถึงช่วงเวลากลางคืน โคมไฟจะดับลง เพื่อสะดวกสำหรับการพักผ่อนนอนหลับของผู้โดยสาร ไม่ต้องถูกแสงไฟรบกวน

ห้องด้านข้างทั้งสองฝั่งค่อนข้างจะเสียงดัง ราวกับว่ามีคนอยู่ไม่น้อย ทางท่าเรือไม่ค่อยเข้มงวดกับคนที่พักอยู่บนชั้นสองเท่าใดนัก มากสุดคือสามารถเข้าพักได้ห้าคน ไม่มีเตียงให้นอนจึงต้องปูผ้านอนกับพื้น เพราะถึงอย่างไรเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ การฝึกบำเพ็ญตบะของผู้ฝึกตนไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะพวกผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งจอกแหนไร้ราก การหาเงิน โดยเฉพาะเงินก้อนโตที่มีความเสี่ยงและอันตรายสูง หากไม่มีทางลัดหรือวิธีการที่พิเศษ พูดอย่างไม่เกินจริงเลยก็คือ เงินที่กว่าจะหามาได้เลือดตาแทบกระเด็นนี้ คนที่ใช้ล้วนอยากจะแบ่งออกเป็นแปดส่วนไปซะทุกเหรียญ และนี่ก็ถือเป็นความรู้สึกปกติทั่วไปของมนุษย์ปุถุชน

ห้องของเฉินผิงอันหันหน้าเข้าทางน้ำอีกฝั่งหนึ่ง เรือเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าบริเวณใกล้เคียงกับรั้วดาดฟ้าเรือชั้นที่หนึ่งมีคนไม่น้อยถือคันเบ็ดไว้ในมือ บนตะขอไม่ได้เกี่ยวเหยื่อตกปลา เป็นการตกปลากลางอากาศ แต่ตะขอตกปลากลับส่องแสงวิบวับ พอโยนลงไปในแม่น้ำก็ลากส่ายตัวเองไปทั่วอย่างป่าเถื่อน

แล้วก็มีปลาโง่ขนาดเท่าฝ่ามือมางับตะขออยู่เป็นระยะจริงๆ จากนั้นพวกมันจะถูกกระชากขึ้นเรือ จับโยนใส่ในข้องจับปลา แต่หากตกได้กุ้งเงินที่ทั้งร่างเป็นสีขาวหิมะ คนที่ตกได้ก็จะตื่นเต้นดีใจสุดขีด ที่แท้วัตถุชิ้นนี้มีที่มาไม่ธรรมดา นี่คือวัตถุที่มีเฉพาะในท้องน้ำใต้ดินแห่งนี้ แคว้นซูสุ่ยเรียกพวกมันว่า ‘มังกรแม่น้ำ’ ส่วนทางใต้จะเรียกพวกมันว่า ‘ตัวเงิน’ สิ่งนี้สามารถดูดซับปราณวิญญาณจากในน้ำ และยังเป็นตัวเลือกแรกในการนำมาขึ้นโต๊ะอาหารรับรองแขกผู้มีเกียรติ

กุ้งวัยเยาว์ยาวครึ่งชุ่น สิบกว่าปีให้หลังจะยาวได้ประมาณหนึ่งนิ้วมือ ร้อยปีถึงจะยาวได้ประมาณสองนิ้วมือ ลักษณะเหมือนแผ่นเกล็ดปลาที่ติดอยู่บนเสื้อเกราะของแม่ทัพ แต่กลับมีขนาดเล็กและโปร่งใส ‘มังกรแม่น้ำ’ ที่มีอายุมากถึงร้อยปีนี้มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น รสชาติดีเยี่ยม หากไปอยู่ทางทิศใต้สามารถขายได้ด้วยราคาสูงเทียมฟ้า มากถึงครึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ

หากผู้โดยสารที่อยู่ชั้นหนึ่งสามารถตก ‘ตัวเงิน’ ขนาดใหญ่ได้หกตัว ก็เท่ากับได้นั่งเรือข้ามฟากฟรีหนึ่งครั้ง ทั้งได้เงินก้อนใหญ่ แถมยังเป็นกิจกรรมฆ่าเวลา ใครบ้างไม่ยินดีจะทำ? เพียงแต่ว่ามังกรแม่น้ำยาวหนึ่งนิ้วนั้นสามารถตกได้ง่าย แต่หากคิดจะตกมังกรแม่น้ำยาวสองนิ้วยังต้องดูที่วาสนาและโชคชะตา ทางน้ำท่าเรือของแคว้นซูสุ่ยแห่งนี้ถูกขุดมานานนับพันปีแล้ว เล่าลือกันว่าเคยมีคนผู้หนึ่งตกมังกรแม่น้ำยาวสามฉื่อได้ มันมีหนวดเป็นสีทอง สร้างความฮือฮาตกตะลึงให้ผู้คนทั่วสารทิศ สุดท้ายขายให้กับนครมังกรเฒ่า น่าเสียดายก็แต่ไม่มีใครรู้ว่าเทพเซียนใหญ่ที่ร่ำรวยเหนือกว่าคนครึ่งทวีปผู้นั้นเรียกราคาเท่าไหร่

เฉินผิงอันชอบตกปลามาตั้งแต่เด็ก เขาจึงยืนฟุบตัวกับราวระเบียง มองผู้คนตกปลาอยู่พักหนึ่งอย่างไม่คิดถึงเรื่องอื่นซึ่งนับว่าหาได้ยาก ในใจคิดว่าบนเรือน่าจะมีเบ็ดตกปลาขาย แค่ไม่รู้ว่าแพงหรือไม่ หากราคาแค่หนึ่งหรือสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ถ้าอย่างนั้นเวลาว่างจากการฝึกหมัดก็สามารถไปเสี่ยงดวงที่ราวรั้วเรือได้จริงๆ

—–