Ch.251 – ค่าหัวแมงป่องพิษ

Provider : Muntra

 

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.251 – ค่าหัวแมงป่องพิษ

 

“เอ๋ จะตั้งรางวัลนำจับพวกมันงั้นหรอ? แค่พวกเราออกไปตักเตือนมันนิดๆหน่อยก็พอ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ถึงขนาดนั้น … ”

 

นิสัยนักธุรกิจของซูซิงฝูแสดงออกมาทันใด เพียงได้ยิน เขาก็รู้สึกได้ชัดว่ามันไม่คุ้มค่า!

 

หากต้องเสียเงินก้อนใหญ่เพราะเรื่องอะไรแบบนี้ มันน่าสะเทือนใจเกินไป!

 

ฉินเฟิงเพียงมอง ก็สามารถรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าซูซิงฝูกำลังคิดอะไรอยู่

 

“วางใจเถอะ ผมไม่ปล่อยน้ำที่อุดมสมบูรณ์ ไหลเข้าสู่ทุ่งนาคนอื่น รอให้ผมกลับไปก่อน แล้วเราจะระดมผู้ใช้พลังทุกคนในสถานชุมชนเฟิงหลี ออกไปสังหารกลุ่มตู่เซี่ยด้วยกัน ถือเป็นจังหวะเหมาะพอดี ที่พวกเขาต้องก้าวออกจากเซฟโซนและฝึกฝนกับสถานการณ์จริง มิฉะนั้นทั้งหมดคงเป็นได้แค่คนอ่อนแอที่หดหัวอยู่แต่ในเมือง!”

 

ในชีวิตแรก ฉินเฟิงเคยเป็นผู้บัญชาการกลุ่มทหารรับจ้างขนาดใหญ่มาก่อน แม้งานช่วงต้นๆของเขาจะเป็นการช่วยขนส่งสินค้า ป้องกันมิให้สัตว์ร้ายและกลุ่มองค์กรมืดเข้ามาปล้นก็ตาม

 

แต่ในภายหลัง เมื่อกลุ่มทหารรับจ้างของเขาแข็งแกร่งขึ้น ก็มีการเข้าร่วมกับแนวหน้า ต่อกรกับกองทัพสัตว์ร้าย และในสนามรบ พลังพิเศษดูดกลืนของฉินเฟิงแสดงประสิทธิภาพได้อย่างดีเยี่ยม

 

ซึ่งบางครั้ง อาศัยเพียงความแข็งแกร่งของตน โดยลำพังมันก็มีขีดจำกัด ฉินเฟิงเองก็มีบางสิ่งที่ต้องให้คนอื่นๆช่วยเหลืออยู่เหมือนกัน

 

ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากก่อตั้งสถานชุมชนเฟิงหลี ฉินเฟิงจึงไม่ต้องการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเป็นคนอ่อนแอ 

 

ความก้าวหน้าของฉินเฟิงรวดเร็วมาก ฉะนั้นคนเหล่านี้ อย่างน้อยต้องครอบครองสถานะที่สามารถช่วยเขาเก็บกวาดสนามรบได้

 

ซูซิงฝูเมื่อได้ยินคำของฉินเฟิง ก็ยกสองมือขึ้นปรบทันที

 

“ลูกพี่ วิธีการของคุณไม่เลวเลย แต่ทางฝั่งเครือข่ายนักล่าเงินรางวัลจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือ? แล้วถ้าเกิดว่ามีคนชิงฆ่าพวกมันตัดหน้าเรา … ” ซูซิงฝูกล่าว

 

“ทำไมจะไม่เห็นด้วยล่ะ? อีกอย่าง ต่อให้พวกเราออกหมายจับ คุณคิดจริงๆหรือว่าจะมีใครกล้าไปฆ่ากลุ่มตู่เซี่ย?” ฉินเฟิงกล่าว

 

ซูซิงฝูในวิดีโอสนทนา พอลองคิดดูดีๆก็ส่ายหัว

 

เพราะผู้ใช้พลังเลเวล E ล้วนมีงานต้องทำ คงไม่คิดออกล่า ในขณะที่ผู้ใช้พลังเลเวล F หรือ D ต่อให้สนใจเงินนำจับ 1,000 ล้าน แต่พวกเขาคงไม่สามารถคว้ามันไปได้

 

“งั้นก็ตกลงตามนี้ ระหว่างผมกำลังเดินทางกลับ คุณก็ช่วยตรวจสอบจำนวนสมาชิกกลุ่มตู่เซี่ย และที่ฐานของพวกมันให้ที ผมจะไม่อนุญาตให้ใครมาสร้างปัญหา หรือตกปลาในบ่อน้ำที่ชื่อว่าเฟิงหลีเป็นอันขาด”

 

“เข้าใจแล้ว พวกเราจะรอลูกพี่กลับมา” ซูซิงฝูรับคำ

 

ฉินเฟิงวางสาย ก่อนจะต่อสายตรงหาซางฮั่วหยางแห่งสมาคมนักล่า อธิบายแผนการของตน และหวังว่าอีกฝ่ายจะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กลับมา

 

“เข้าใจแล้วมิสเตอร์ฉิน นี่มันแค่เรื่องเล็กน้อย ฉันจะรับผิดชอบเรื่องนี้ และติดต่อกับมิสเตอร์ซูให้เอง”

 

“อ่า ต้องรบกวนคุณแล้ว”

 

“ไม่เป็นไร ด้วยความยินดี!”

 

ซางฮั่วหยางไม่กล้าที่จะปฏิเสธคำขอของฉินเฟิง เพราะปัจจุบัน ฉินเฟิงเป็นคนดังสุดๆในเครือข่ายนักล่าเงินรางวัล

 

สายสนทนาถูกวาง ฉินเฟิงยืดเหยียดตัวอย่างเฉื่อยชา การต่อสู้ตลอดทั้งสามวันสิ้นสุดลง การนอนอย่างผ่อนคลายช่วยบรรเทาความเมื่อยล้าให้แก่เขา

 

ระหว่างนี้ก็เปิดข้อมูลที่ได้รับมาจากหยางซานหู ฉินเฟิงคิดจะเก็บกวาดทรัพยากรช่วงเดินทางกลับ แต่ข้อมูลทั้งหมดที่ถูกส่งมา ล้วนเป็นการดำรงอยู่ของนายพลสัตว์ร้าย ไม่มีระดับราชันย์สักตัว แต่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะหากกองทัพทุ่งล่าดันไปสำรวจเจอระดับราชันย์เข้า พวกเขาคงไม่มีโอกาสรอดกลับมา

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยการสังหารนายพลสัตว์ร้ายตามข้อมูลที่ได้รับ เลยช่วยให้ฉินเฟิงได้ดูดกลืนพลังงานมากขึ้น พละกำลังกายก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ก้าวขึ้นสู่เลเวล E4

 

 

สามวันต่อมา

 

ในที่สุด แนวกำแพงของสถานชุมชนเฟิงหลีก็ปรากฏสู่สายตาของฉินเฟิง 

 

นี่เองสินะ … ความรู้สึกของการได้กลับบ้าน!

 

ก่อนเกิดใหม่ หลังจากที่ฉินเฟิงก่อตั้งกองกำลัง แม้จะมีที่อยู่เป็นของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้อาศัยบ่อยนัก เขามักจะซุกหัวนอนในที่พักชั่วคราวหรือไม่ก็โรงแรมที่คุ้นเคยและสะดวกสบายมากกว่า

 

อันที่จริง ฉินเฟิงมักจะท่องไปตามสถานที่ต่างๆอยู่หลายครั้ง และพักในสถานชุมชนแทบจะนับวันได้ แต่ความรู้สึกในตอนกลับมาคราวนี้ —กลับแตกต่างออกไปจากทุกที

 

ซึ่งความแตกต่างที่ว่า ก่อบังเกิดขึ้นเมื่อเห็นร่างเงาหนึ่งจากระยะไกล ร่างเงานั้นกำลังตรงออกมาต้อนรับเขา ในหัวใจของฉินเฟิงท่วมท้นไปด้วยกระแสของความอบอุ่น

 

ฉินเฟิงหยุดรถศึก เปิดประตู และร่างเงาดังกล่าวก็กระโดดโผเข้าสู่อ้อมอกเขา

 

–เป็นไป๋หลี

 

เนื่องจากทั้งคู่มีพันธสัญญาต่อกัน ดังนั้นเมื่อเข้าใกล้ ไป๋หลีเลยสามารถสัมผัสได้ถึงฉินเฟิง ว่าเขากลับมาแล้ว เจ้าตัวเลยออกมาต้อนรับ

 

สองมือละเอียดอ่อนแนบลงบนร่างของฉินเฟิง ใบหน้าเล็กๆไร้ที่ติซุกเข้ามา สูดดมกลิ่นกายของเขา

 

หากตอนนี้ไป๋หลีอยู่ในสภาพจิ้งจอก ฉินเฟิงคิดว่าหางของมันคงกำลังส่ายไปมา

 

ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่านี่คือการแสดงออกว่าไป๋หลีกำลังคิดถึงเขา

 

“หืมมม … ออกไปคนเดียวคราวนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เจ้าชู้ไปเด็ดดอกไม้งามที่ไหนแฮะ” หลังจากสูดดมกลิ่นจนแน่ใจแล้ว ไป๋หลีก็ผละตัวจากฉินเฟิง

 

ใบหน้าของฉินเฟิงกลายเป็นแข็งค้าง

 

“นี่เธอวิ่งมาไกลถึงขนาดนี้ ก็เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าฉันไม่ใช่พวกบ้ากามหรอกหรือ?”

 

ไป๋หลีพยักหน้า “ก็คุณเป็นของฉัน ดังนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ทำตัวเจ้าชู้!”

 

ฉินเฟิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี 

 

“เอาล่ะๆ ขึ้นมาในรถเถอะ แต่คราวนี้ฉันไม่มีของขวัญกลับมาฝากนะ”

 

“ฮึ! คุณเห็นว่าฉันเป็นเด็กรึไง? ฉันโตแล้วไม่ต้องการของขวัญหรอก!”

 

ฉินเฟิงยิ้ม ย้อนกลับไปตอนที่ไป๋หลียังเป็นสัตว์ร้ายตัวน้อย เขาจากไปเพียงลำพังแค่วันเดียว เธอกลับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง น่ากลัวว่าเรื่องนี้คงจะกลายเป็นประวัติศาสตร์อันดำมืด เป็นหนึ่งในเรื่องน่าอายที่จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของไป๋หลีไปชั่วชีวิต

 

ยังไงก็ตาม ด้วยอายุที่ยังน้อย ทำให้ไป๋หลียังไม่รู้จักคิดว่ากระทำอะไรแล้วมันจะก่อให้เกิดอันตรายอยู่ดี

 

“มาให้จูบต้อนรับซะดีๆ แต่อย่าได้ใจเกินไปล่ะ” ว่าจบ ไป๋หลีก็โน้มตัวเข้าหา หอมแก้มฉินเฟิง ก่อนจะลงไปนั่งข้างคนขับ

 

หัวใจของฉินเฟิงเต้นครึกโครม เลือดลมเดือดพล่านจนเกือบจะกระโจนเข้าใส่เธอ

 

แต่ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจกลับยิ่งเอ่อล้นออกมา กลบความคิดร้ายๆจนหมดสิ้น บางทีนี่อาจเป็นเพราะว่ามีไป๋หลีอยู่ด้วยกระมัง เลยทำให้ฉินเฟิงรู้สึกว่าสถานชุมชนเฟิงหลีเป็นสถานที่เหมือนกับบ้านของตน

 

ฉินเฟิงกลับสู่สถานชุมชนเฟิงหลี แต่เรื่องนี้ไม่ได้ป่าวประกาศสู่สาธารณะ อย่างไรก็ตาม ซูซิงฝูได้ปล่อยข่าวออกไป ว่าฉินเฟิงเดินทางไปยังผิงหยุนเพื่อสังหารปีศาจเสพวิญญาณ

 

 

ตกดึก 

 

สามรถล่องเวหาขับออกจากสถานชุมชนอย่างเงียบๆ

 

ฉินเฟิงก้มลงมองอุปกรณ์สื่อสาร อ่านรายชื่อบุคลากรที่เข้าร่วมปฏิบัติการปราบปรามครั้งแรกของสถานชุมชน

 

ในครั้งนี้ มีผู้ใช้พลังเลเวล E สองคน แน่นอนว่าคือฉินเฟิงและไป๋หลี ส่วนผู้ใช้พลังเลเวล F มีกัน 5 คน ได้แก่ หลิวซู , วังเฉิน , เหอหลิง , โจวฮ่าว และหลิวเฮ็ง

 

และผู้ใช้พลังเลเวล G อีกกว่า 100 คน

 

โดยไม่ทันรู้ตัว ในสถานชุมชนเฟิงหลีก็มีผู้ใช้พลังมากขึ้น และกองกำลังก็ค่อยๆมีขนาดใหญ่โตขึ้น

 

ในเวลานี้ ฉินเฟิงกำลังนั่งอยู่บนชั้นสองของรถล่องเวหาคันแรก ภายในเต็มไปด้วยอุปกรณ์เฝ้าระวัง นอกจากฉินเฟิงและไป๋หลีแล้ว เลเวล F คนอื่นๆทั้งหมด ต่างก็อยู่ที่นี่

 

“กลุ่มตู่เซี่ยเป็นกลุ่มองค์กรมืด เนื่องจากไม่มีสถานชุมชนเป็นของตัวเอง ดังนั้นเลยตั้งค่ายชั่วคราวอยู่ในทุ่งล่า นี่สรุปได้คร่าวๆว่าสมาชิกทั้งหมดของพวกมันเป็นนักสู้ มีผู้ใช้พลังกว่า 300 คน มากกว่าพวกเราถึง 3 เท่า แบบนี้ผู้ใช้พลังระดับต่ำของทางเราอาจเกิดการสูญเสียได้” เหอหลิงชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ตามข้อมูลที่แสดงออกมา

 

“นอกจากนี้ยังมีถึง 12 คนเป็นผู้ใช้พลังเลเวล F สถานะของทั้งหมดคืออาชญากรหลบหนี!”

 

ทั้ง 12 คนล้วนถูกออกหมายจับในเครือข่ายนักล่าเงินรางวัลโดยฉินเฟิง ในช่วงสามวันที่ผ่านมา คนเหล่านี้ก็หวาดกลัวเล็กน้อยเช่นกัน ดังนั้นจึงกลบร่องรอยของตนเอง หายไปจนไม่อาจติดตาม มีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่าอาจกลับไปยังฐานกลุ่มตู่เซี่ย

 

แน่นอน ว่าในส่วนของผู้ใช้พลังเลเวล G กลุ่มตู่เซี่ยอาจจะมีมากกว่านี้ แต่ทางฉินเฟิงไม่สามารถสืบข้อมูลแบบละเอียดถึงขนาดนั้นได้

 

“พวกเราจะเริ่มเปิดโจมตี โดยใช้ปืนใหญ่ ดังนั้นเรื่องการสูญเสียไม่ต้องกังวล แต่ถ้าลูกน้องของคุณยังไม่สามารถโค่นกองทัพเลเวล F และ G ที่ถูกลอบโจมตีจนระส่ำได้ ผมก็ไม่ต้องการชุบเลี้ยงพวกเขาอีกต่อไป!” ฉินเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส “และผมจะไม่ยื่นมือเข้าไปสอดเรื่องนี้ จะไม่ฉกชิงรางวัลนำจับจากประชาชนของตนเอง ดังนั้นพวกคุณต้องทำยังไง คงเข้าใจใช่ไหม?”

 

“เข้าใจครับลูกพี่ มั่นใจได้เลย ทหารของฉันไม่ใช่พวกอ่อนแอแน่นอน!” วังเฉินกล่าว

 

วังเฉินปัจจุบันคือหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ หากสามารถก้าวขึ้นไปถึงเลเวล E ได้ เขาก็จะกลายเป็นนายพลในอนาคต แต่สิ่งแรกที่เขาต้องแสดงให้ฉินเฟิงได้เห็นก่อนคือผลงาน นี่เองเหตุผลที่วังเฉินก้าวออกมาแสดงความคิดเห็นของตน