ตอนที่ 492-1 หัวใจบริสุทธิ์ที่ไม่เคยเสียใจ

พันธกานต์ปราณอัคคี

ในดวงตาคู่นั้นมีแววตาของความปีติ ความประทับใจ มีคลื่นพายุที่ซัดถาโถมอย่างบ้าคลั่งยากจะควบคุมได้ในแรกพบ หลังจากนั้นทุกอย่างก็สงบลง สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงนั่งอยู่ข้างบนนั้นชั่วขณะหนึ่ง แล้วเดินลงไปหามั่วชิงเฉินทีละก้าว 

 

 

อาภรณ์สีเทาพลิ้วไสว ภายใต้การปกปิดใบหน้าที่ซูบเซียวของเขา จอนผมสีเงินขาวสองเส้นตกลงมาบนหน้าอกอย่างมิอาจห้ามได้ คือความอดกลั้นชนิดหนึ่งที่เอ่อล้นออกมาและตกตะกอนผ่านกาลเวลานานนับแรมปี

 

 

มั่วชิงเฉินรู้ดีว่าตนควรขึ้นไปทักทายเขาด้านบน แต่กลับพบว่าเท้ามิอาจขยับได้เลยแม้แต่ครึ่งก้าว

 

 

กู้หลีหยุดอยู่หน้ามั่วชิงเฉินแล้ว มุมปากยิ้มเล็กน้อย “ชิงเฉิน ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินจะเปิดปากพูดก็ใช้เล็บจิกเข้าไปกลางฝ่ามือ ก่อนยิ้มตอบกลับอย่างเรียบร้อย “เจ้าค่ะ ชิงเฉินกลับมาแล้ว เป็นความผิดของศิษย์เองที่ทำให้อาจารย์ต้องกังวล”

 

 

“ไม่ ชิงเฉิน เจ้าทำดีมาก ดีกว่าที่อาจารย์คิดไว้มากนัก” กู้หลียิ้มอย่างอบอุ่นและไม่คิดอะไรมาก ราวกับคลื่นลมถาโถมเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น ในขณะเดียวกันสายตาก็จ้องมองเยี่ยเทียนหยวนอย่างราบเรียบ 

 

 

“ศิษย์พี่เหอกวง” เยี่ยเทียนหยวนลำตัวตั้งตรง เอ่ยตามมารยาท มองกู้หลีด้วยสายตาที่เปล่งประกายชัดเจน

 

 

กู้หลีจ้องเยี่ยเทียนหยวนด้วยสายตาเขม่งครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มตอบกลับมา “ศิษย์น้องลั่วหยาง ยินดีกับเจ้าด้วย ต่อไปนี้ชิงเฉิน ต้องรบกวนเจ้าดูเเลเเล้ว” 

 

 

“ลั่วหยางจะไม่ทำให้ศิษย์พี่เหอกวงต้องผิดหวัง” เยี่ยเทียนหยวนตอบช้าๆ

 

 

ในเวลานั้นเสียงหัวเราะอย่างไร้กังวลพลันดังออกมา “พี่กู้ ลูกศิษย์ที่รักยิ่งของท่านกลับมาแล้วหรือ”

 

 

มั่วชิงเฉินลืมตามอง พบกับผู้บำเพ็ญเพียรในชุดสีขาวเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน ขณะที่มือมีจอกสุราถืออยู่ เมื่อถึงด้านหน้าของเขา ก็พูดหยอกล้อขึ้นมาว่า “ศิษย์หลานน้อย เจ้ายังจำข้าได้อยู่หรือไม่” 

 

 

มั่วชิงเฉินแอบกลอดตา ใบหน้ากลับตอบด้วยความจริงใจอย่างยิ่งตามมารยาทว่า “ปีนั้นบุญคุณที่ผู้อาวุโสเคยยื่นมือช่วยเหลือ ผู้น้อยมิกล้าลืมได้หรอกเจ้าค่ะ”

 

 

“ดี นับว่าเป็นผู้ที่ไม่กล้าลืมบุญคุณคน” ผู้บำเพ็ญเพียรในชุดขาวหัวเราะอย่างพอใจ ก่อนตบไหล่ของกู้หลีเบาๆ พร้อมถามด้วยคำถามที่น่าสนใจว่า “พี่กู้ เพื่อสุราอันล้ำเลิศของท่าน ข้าถึงกับมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมบรรยากาศอันครึกครื้นเช่นนี้ เหตุใดไม่เชิญศิษย์น้องคนนี้ดื่มสักจอกสองจอกเล่า”

 

 

กู้หลีพูดกับมั่วชิงเฉินด้วยรอยยิ้ม “ชิงเฉิน เจ้ากลับมาทันเวลายิ่งนัก วันนี้ในฐานะอาจารย์ขอยืมดอกไม้ถวายพระ ดื่มกับสหายสักครา” 

 

 

เห็นกู้หลีมีท่าทางสงบนิ่งเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกสบายใจขึ้น ยิ้มตอบกลับไป “หลายปีมานี้ศิษย์ได้หมักสุราไว้ไม่น้อย รอเพียงให้ท่านอาจารย์ได้ลองชิมเท่านั้น” พูกจบก็หยิบถุงเก็บวัตถุขึ้นมาส่งให้เขาไป

 

 

กู้หลียื่นมือออกไปรับ หันไปพูดกับเยี่ยเทียนหยวน “ศิษย์น้องลั่วหยาง เจ้าเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดสำเร็จแล้ว ผู้เฒ่าไท่ซางคงมีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้าไม่น้อย เหอกวงไม่รบกวนเจ้าแล้ว พรุ่งนี้เจ้ากับชิงเฉินไปหาท่านที่เขาป่าไผ่ แล้วพวกเราค่อยมาคุยกันใหม่”

 

 

หลังจากนั้นก็หันมาหามั่วชิงเฉิน “ชิงเฉิน เจ้าออกจากสำนักนานนับปี ก็ไปหาสหายของเจ้าเถอะ พวกนางคิดถึงเจ้ามาก”

 

 

พูดจบก็ไม่เอ่ยอันใดให้มากความ เดินเคียงไหล่ออกไปพร้อมกับผู้บำเพ็ญเพียรในชุดสีขาว

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นว่าด้านหลังของเขาผอมเกินไปแล้ว ทำให้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย เยี่ยเทียนหยวนจับมือของอันเย็นยะเยือกของมั่วชิงเฉินแล้วพูดว่า “ชิงเฉิน ข้าจะไปคารวะหลิวซางเจินจวิน ศิษย์หลานต้วนยืนอยู่ด้านนั้นรอเจ้าอยู่ พวกเจ้าไปคุยกันดีๆ เถอะ”

 

 

มั่วชิงเฉินที่จิตใจล่องลอยไปนั้น กลับมามีสติอีกครั้ง จับมือเยี่ยเทียนหยวนเบาๆ “อืม เทียนหยวน ท่านไปเถอะ”

 

 

ในพิธีบำเพ็ญเพียรคู่ของนักพรตจื่อซีและนักพรตหมิงจ้าว เพราะพวกเขาล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ทำให้ผู้ที่มาแสดงความยินดีของแต่ละพรรคส่วนใหญ่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเช่นเดียวกัน แต่ก็มีคนสนิทของหลิวซางเจินจวินที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดมาด้วย หลิวซางเจินจวินอยู่ห้องโถงด้านในให้การต้อนรับพวกเขาโดยเฉพาะ

 

 

เยี่ยเทียนหยวนที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเดินเข้าไป เป็นเวลาเหมาะที่จะแนะนำเขาให้กลุ่มคนเหล่านั้นรู้จัก ทั้งยังทำให้พรรคเหยากวงมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันเขาก็ถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย

 

 

เพราะฉะนั้นเวลานี้ มั่วชิงเฉินในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณไม่สะดวกที่จะเข้าไป ครั้งแรกที่เยี่ยนเทียนหยวนปรากฏตัวในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด นางจะเข้าไปยุ่งด้วยไม่ได้เด็ดขาด

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นเยี่ยเทียนหยวนเดินออกไปไกลแล้ว จึงเรียกศิษย์ที่ไว้ใจได้สั่งให้หาที่พักอย่างดีให้แก่มั่วหนิงโหรวและตู้รั่ว หลังจากนั้นก็หมุนตัวเดินไปหาต้วนชิงเกออย่างรวดเร็ว

 

 

ต้วนชิงเกอที่กำลังรออยู่เงียบๆ ยืนห่างออกไปไม่ไกลนัก เห็นมั่วชิงเฉินเดินเข้ามา พร้อมทักทายด้วยรอยยิ้มที่สดใส

 

 

ต้วนชิงเกอที่ตอนนี้กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียนระดับก่อแก่นปราณแล้ว เปลี่ยนมาใส่ชุดสำนักสีฟ้าอ่อนแทน ทำให้ดูสง่างามและบริสุทธิ์ยิ่งนัก ทุกย่างก้าวราวกับเดินบนดอกบัวบาน ดุจดั่งเทพเซียนที่หลงทางลอยผ่านระลอกคลื่นพบเจอผู้คน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรยิ่งมีพลังสูงขึ้น บุคลิกภาพยิ่งโดดเด่น นี่เป็นสิ่งที่จริงแท้แน่นอน

 

 

ทั้งสองที่ยืนอยู่เคียงคู่กันเช่นนี้ ทำให้ดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายในทันใด

 

 

ก่อนหน้านี้ที่กู้หลีและมั่วชิงเฉินยืนคุยด้วยกัน เป็นช่วงที่ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายได้มองหากลุ่มมิตรภาพมานั่งร่วมโต๊ะคุยกันพอดี ยิ่งทำให้บรรยากาศครึกครื้นมากขึ้น พวกเขาอยู่ตรงนั้นมิได้ดึงดูดสายตาผู้คนมากมายนัก ทว่าตอนนี้คนจำนวนมากนั่งลงกันหมดแล้ว ทำให้เห็นมั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอที่ยืนอยู่ด้วยกันได้อย่างชัดเจนขึ้น

 

 

แม่นางทั้งสองต่างเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ รูปร่างหน้าตาดั่งดอกเบญจมาศในฤดูใบไม้ร่วงและดอกกล้วยไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ช่างงดงามหาได้ยากยิ่ง เมื่อทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน สร้างความสั่นสะเทือนไปไกลได้มากกว่าอยู่คนเดียวอย่างมาก

 

 

แต่ในขณะหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงของผู้บำเพ็ญเพียรชายทั้งหลาย ผสมปนเปไปกับเสียงกลืนน้ำลาย

 

 

มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนตันสินใจจับมือกันออกไปจากที่นี่

 

 

เมื่อพวกนางไปแล้ว เสียงของผู้คนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

“เซียนทั้งสองท่านนั้นคือใครกัน หน้าตาช่างงดงามยิ่ง…” นี่คือวาจาแห่งความหลงใหล

 

 

“ถึงจะสวย แต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรานี่ ไม่เห็นหรือว่าพวกนางคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ พวกเจ้าแต่ละคนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่างกันทั้งนั้น ยังคิดอยากเป็นคางคกกินเนื้อห่านฟ้าอยู่อีกหรือ” ส่วนนี่คือวาจาแห่งเหตุผล

 

 

“สาวงามเช่นนี้ พานพบเพียงหนึ่งคนก็ถือว่าเป็นสุขแล้ว นี่เห็นถึงสองคน เกิดมาครั้งนี้นับว่าไม่เสียชาติเกิด” และนี่คือวาจาแห่งความพึงพอใจ

 

 

“พวกนางเป็นศิษย์ของพรรคเหยากวงหรือ” คนผู้หนึ่งอดใจไม่ไหวถามออกไป

 

 

ผู้ที่อยู่ด้านข้างตอบว่า “ข้ารู้ว่าแม่นางที่ใส่ชุดสีฟ้าอ่อนคือนักพรตซู่เหยียนนักบำเพ็ญเพียรสายเยียวยาที่มีชื่อเสียงของพรรคเหยากวง หลายปีก่อนกลางเหตุการณ์วิกฤตนั้น นางช่วยเหลือผู้คนไปจำนวนไม่น้อย อาจารย์อาท่านหนึ่งของสำนักข้าก็เคยได้นักพรตซู่เหยียนช่วยไว้ นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็แอบชื่นชมนางมาโดยตลอด”

 

 

“โอ้ นางก็คือนักพรตซู่เหยียนหรือนี่” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่างหลายคนอุทานออกมา

 

 

พวกเขาอาศัยปะปนอยู่กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณน้อยมาก แต่ว่า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจำนวนหนึ่งที่มีชื่อเสียงขจรไกล ถึงแม้ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ทว่าเมื่อเอ่ยถึงสิ่งที่พวกเขาทำลงไปกลับพูดจาราวกับสมบัติในบ้านตัวเอง