บทที่ 6 ผู้หญิงที่โดนสามีทำร้าย

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

เหลียงเยว่หรูที่เดิมทีมองนอกหน้าต่าง สัมผัสได้ถึงสายตาของเย่เทียนจ้องมองมา

เธอหันหน้าเข้ามา ลูกตากลมโตคู่หนึ่งปะทะดวงตาที่ใสแจ๋วนั้นของเย่เทียนเข้า

จากในสายตาของเย่เทียน เหลียงเยว่หรูสัมผัสได้ว่าแม้เย่เทียนจ้องมองเธออยู่ แต่ก็ไม่มีความโลภและคลั่งไคล้ในเพศตรงข้ามแบบนั้นอย่างสมัยก่อน มากที่สุดคือมีความหมายชื่นชมบางส่วน

นี่ทำให้เธออดตกใจไม่ได้ ยังเป็นครั้งแรกที่เจอผู้ชายแตกต่างออกไปอยู่บ้าง

“ผู้ชายไม่ใช่ล้วนคิดแต่เรื่องสกปรกพวกนั้นเต็มหัวสมองเหรอ? มองเห็นผู้หญิงสวยเข้าก็อยากคิดไปทางนั้น……”

เหลียงเยว่หรูแอบพูดในใจ อดมองเย่เทียนเพิ่มอีกหน่อยไม่ได้

เวลานี้ เย่เทียนกลับยิงฟันยิ้มให้เธอ มอบความรู้สึกชายชาตรีหล่อเหลาให้คนอื่น

หัวใจเหลียงเยว่หรูเต้นอย่างน่าประหลาด เหมือนว่าเส้นไหนถูกกระตุกแล้วรอบหนึ่ง ใบหน้างดงามแดงระเรื่อเล็กน้อย รีบเก็บสายตากลับทันที

เอี๊ยด!

ในเวลานี้เอง รถเมล์มาเบรกกะทันหันแล้ว

เหลียงเยว่หรูยังไม่ทันนั่งนิ่งก็ถูกเหวี่ยงอย่างแรง ตาเห็นว่ากำลังจะกระแทกไปยังเบาะพลาสติกด้านหน้า

เวลานี้ถ้ากระแทกของแข็งเข้า รับรองว่าศีรษะคงได้รับบาดเจ็บ แม้กระทั่งอาจจะต้องเสียโฉมด้วย!

ช่วงเวลาสำคัญยังเป็นเย่เทียนลงมือฉับไว คว้าแขนของเหลียงเยว่หรูไว้ ดึงไปบนตัวของตนเองตามแรงเฉื่อย

“โอ๊ย……”

ชั่วขณะนั้นเหลียงเยว่หรูตกอยู่ในอ้อมอกเย่เทียนทั้งตัว กลิ่นอายชายชาตรีกระโจนเข้ามาตรงหน้า

ส่วนเย่เทียนยิ่งจิตใจร้อนผ่าว กอดสาวงามอยู่ในอก กลิ่นหอมบริสุทธิ์ที่เป็นเอกลักษณ์ลอยเข้าจมูก ทำให้ร่างกายเขาที่ไม่เคยได้กลิ่นเนื้อมาตั้งนานตอบสนองมามากเลยทีเดียว

“ขอบคุณ ขอบคุณนะ!”

เหลียงเยว่หรูกลับไม่รู้จิตใจเย่เทียนที่เปลี่ยนแปลงไป พยายามออกมาจากในอ้อมอกเย่เทียนอย่างสับสน ใบหน้าแดงจนมีเลือดฝาดเพิ่มขึ้น

นึกถึงเธออยู่มายี่สิบกว่าปี ยังไม่เคยถูกเนื้อต้องตัวเพศตรงข้ามใกล้ชิดขนาดนี้

“ไม่เป็นไร”

เย่เทียนไอแห้งๆ ทีหนึ่ง ลูบจมูกด้วยความเคยชิน ปกปิดความเขินอายของตนเองไว้

“แม่งวอนหาที่ตายหรือไง อยากตายก็อย่ามาทำร้ายคนอื่นสิ!”

คนขับรถเปิดประตูรถเมล์ออกแบบพูดไปด่าไป รู้สึกว่าเป็นเพราะมีคนขวางรถกลางถนน ถึงทำให้เหยียบเบรกกะทันหันขนาดนี้

“ใช่ ไม่อยากอยู่แล้วเหรอ!”

“เบรกขนาดนี้ ทำเท้าฉันเคล็ดหมดเลย”

ผู้โดยสารด้านในรถก็เริ่มตะโกนเสียงดังขึ้นมา เมื่อสักครู่เหยียบเบรกไปนั้น ทำเอาผู้คนไม่น้อยลำบากกัน

“ขอโทษค่ะ ขอโทษนะคะ รีบไปจริงๆ ถ้าฉันไม่ขึ้นมา รอเดี๋ยวต้องโดนคนตีฉันตายแน่เลย”

คนที่เดินขึ้นมาจากนอกรถเป็นผู้หญิงบนหน้ามีรอยฝ่ามือชัดเจนรอยหนึ่ง บนตัวกลับใส่เครื่องประดับทองมากมาย

หลังจากหล่อนขึ้นมา สายตาของผู้คนไม่น้อยมองไปบนตัวผู้หญิงคนนี้

ไม่มีทาง จ้าตาเหลือเกิน บนนิ้วมือใส่แหวนทองหลายวง บนข้อมือก็เป็นกำไลทอง บนคอยังมีสร้อยคอทองคำเส้นหนึ่ง ยากที่จะไม่ดึงดูดสายตาคน

มองหญิงสาวที่แต่งตัวประหลาดขนาดนี้ขึ้นมา กระเป๋ารถเมล์ขมวดคิ้วแน่น แต่ว่าไม่ได้มีท่าทางดีสักเท่าไร

“ซื้อตั๋ว สองหยวน!”

หญิงสาวพอได้ยินว่าต้องซื้อตั๋ว สีหน้าดูไม่ดี ลังเลสักพักถึงพูดว่า “ขอ ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้พกเงิน……”

“ไม่เอาเงินมาแล้วเธอโบกรถทำอะไร?”

กระเป๋ารถเมล์โมโหแทบแย่ อยากถีบหล่อนลงไปเสียจริง

เกือบชนคนแล้วไม่ว่ากัน ขึ้นรถยังบอกว่าไม่พกเงินมา นี่เธอไม่ใช่เที่ยวอยากมานั่งรถฟรีเหรอ!

ผู้หญิงคนนั้นกลับร้อนรนแล้ว ร้องไห้เสียงดังขึ้นมาตรงนั้น

“พี่สาว ขอร้องพี่ล่ะนะ พี่คงไม่รู้ สามีฉันมีเมียน้อยแล้ว อะไรนิดหน่อยก็ตบฉัน”

“ฉันทนไม่ไหวจริงๆ รีบร้อนหนีมาจนลืมหยิบเงิน ฉันไม่ได้หลอกพี่นะ พี่ดูหน้านี้ของฉัน……”

ระหว่างที่พูด หญิงสาวชี้ไปยังรอยฝ่ามือบนหน้าแล้ว ทั้งยังปลดกระดุมเสื้อตนเองออก เผยร่างกายขาวๆ ด้านในออกมาโดยตรง

ผู้โดยสารรีบหันหน้าไปมอง เห็นบนตัวหญิงสาวมีร่องรอยเชือกมัด แส้เฆี่ยนอย่างอื่นอีกสารพัด ตกตะลึงพรึงเพริดกันจริงๆ

“เชี้ย บนโลกนี้ผู้คนหลากหลายพวกคนใจร้ายก็มีไม่น้อยเลย เมียสวยขนาดนี้ยังตีได้ลงคอ!”

“ถ้าเป็นฉันล่ะก็ รักจนสุดใจเลย กล้าลงมือแบบนี้ที่ไหนกัน……”

ทุกคนเคยเจอสถานการณ์ระดับนี้ที่ไหน ถกเถียงขึ้นมาต่างๆ นานาพร้อมกัน

กระเป๋ารถเมล์ก็นึกไม่ถึงว่าจะเป็นแบบนี้ ทันใดนั้นตาค้างไป มองทางคนขับรถจิตใต้สำนึก ไม่รู้ว่าควรจัดการอย่างไร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยแผลพวกนั้นเปิดเผยออกหมด ไม่มีใครสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้มาเล่นแง่เพื่อนั่งรถเมล์หรอก?

เย่เทียนได้ยินเสียงโวยวายทางนี้ มองมาแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก ขมวดคิ้วแล้ว ในดวงตาแฉลบแสงมันวาวที่ความหมายลึกซึ้งผ่านไป

“ช่างเถอะๆ ครั้งนี้ให้เธอนั่งฟรีแล้วกัน ใครให้ฉันเป็นผู้หญิงเหมือนกันล่ะ?”

กระเป๋ารถเมล์มองผู้หญิงคนนั้นอย่างสงสาร พูดไป

เวลานี้หญิงสาวไม่โวยวายแล้ว รีบพูดขอบคุณ จนสุดท้ายมองไปที่แหวนทองในนิ้วตนเอง ดวงตาประกาย

ถอดออกมาแล้วพูดว่า “เอาแบบนี้ ฉัน ฉันไม่นั่งรถฟรีๆ ฉันมีแหวนทองอยู่ ก่อนหน้านี้ตอนที่สามีฉันรักฉันดีซื้อมาให้ฉัน ชดใช้ค่ารถได้ พี่เอาหรือเปล่า?”

มองเห็นสถานการณ์แบบนี้ กระเป๋ารถเมล์ดวงตาเป็นประกายเหมือนกัน

โดยเฉพาะเป็นผู้หญิง เกิดมาไม่มีแรงต้านทานอะไรต่อของที่เหลืองทองอร่ามพวกนี้อยู่แล้ว

แต่เธอยังเก็บสายตากลับ พูดอย่างยากลำบาก “ค่ารถของฉันนี้แค่สองหยวน เธอเอาแหวนทองมาให้ฉัน ฉันจะไปหาเงินที่ไหนมาทอนให้เธอ?”

“จริงด้วย พวกเราเป็นคนธรรมดาแยกไม่ออกหรอกว่าของจริงของปลอม!”

ผู้โดยสารในรถถกเถียงกันขึ้น ตั้งแต่เริ่มแรก ทุกคนก็สังเกตเห็นบนตัวผู้หญิงคนนี้สวมเครื่องประดับทองมากมาย

แต่ว่า ทุกคนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญกัน แยกออกที่ไหนว่าทองนี้เป็นของจริงของปลอม ถือว่าดูอะไรสนุกๆ กัน

“เอ๋ นี่คือของจริงนะ!”

เวลานี้ เจ้าหัวแบนคนหนึ่งที่ขยับเข้ามาร่วมสนุกด้วยร้องตกใจขึ้นมาฉับพลัน “ในแหวนนี้สลักว่า‘โจวต้าฝู’สองสามคำนี้ไว้ นี่เป็นร้านขายทองชื่อดังของประเทศจีนเลยนะ! สลักสามคำนี้ไว้ได้ ต้องไม่ใช่ของปลอมแน่!”

“โจวต้าฝู? นายแน่ใจ?”

กระเป๋ารถเมล์กึ่งเชื่อกึ่งสงสัย

“ไม่ผิดแน่นอน ก่อนหน้านี้ตอนไปซื้อแหวนแต่งงานให้เมียผมเคยไปดู หนึ่งกรัมสองร้อยสามสิบ ราคาแพงจะตาย!”

เจ้าหัวแบนรีบพยักหน้า รับประกันมา

“เชี้ย ยังเป็นทองมียี่ห้ออีก นี่เอาไปขายแล้ว ไม่เพียงราคาจะไม่ตก ยังจะเพิ่มขึ้นบ้างด้วย”

“ดูแหวนนี้น่าจะสักสิบกรัม เปลี่ยนเป็นเงินสองสามพันได้เลยล่ะ!”

หญิงสาวหัวเราะขมขื่นพูดทอดถอนใจ “นึกไม่ถึงยังมีคนดูเป็น สามีฉันเป็นหุ้นส่วนเล็กๆ คนหนึ่งของร้านขายทองโจวต้าฝูแห่งนั้น ไม่อย่างนั้นจะมีเงินไปมีเมียน้อยที่ไหน……”

“พี่สาว แหวนวงนี้ฉันขายให้พี่ ราคาตลาดกรัมหนึ่งสองร้อยสามสิบ สิบกรัมก็สามพันสามร้อย พี่ให้ฉันพันห้าก็พอ!”

ขณะกำลังพูด หญิงสาวเอาแหวนเหลืองทองอร่ามยื่นให้กระเป๋ารถเมล์

กระเป๋ารถเมล์สายตาประกาย คิดในใจว่าพอขายต่อก็ทำเงินได้เกือบพัน การค้าขายที่ทำเงินได้แน่นอนเลยนะ จึงรีบรับแหวนมาทันที

ตอนที่อยากเอาเงินให้ เธอก็ลังเลอยู่บ้างแล้ว

“น้องสาว อย่าว่าฉันพูดจาไม่น่าฟังนะ แต่ถ้าแหวนวงนี้ของเธอเป็นของปลอม ฉันไม่ใช่โดนเธอหลอกเข้าแล้วเหรอ?”

เพิ่งพูดจบ ชั่วขณะนั้นสถานการณ์ตอนนี้เงียบงันลงไป

มีสุภาษิตว่าไว้ ทำความดีอย่ามีความคิดร้ายต่อผู้อื่น แต่ว่าต้องระมัดระวังผู้อื่นด้วย

อย่ามองว่าผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนน่าสงสาร ไม่แน่อาจจะกำลังวางกับดักล่ะ?

ทันใดนั้น คนในห้องโดยสารต่างมองหน้ากันและกัน ค่อยๆ รู้สึกกระอักกระอ่วนแล้ว