จิ่งเหิงปัวพลาดร่องน้ำน้อยสายนี้แล้ว จะไปหาน้ำอีกครั้งก็ยากยิ่งกว่าเดิม มักได้ยินเสียงน้ำรำไร แต่มักหาไม่เจอ จึงยิ่งเดินออกมาไกลขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เสียงน้ำชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซ้ำยังมีเสียงเพลงล่องลอยรำไร เสียงไพเราะนุ่มนวล คล้ายเป็นเสียงผู้หญิง
จิ่งเหิงปัวหยุดฝีเท้า บนร่างพลันเกิดความคับข้องใจแน่นขนัด
เขาชีเฟิงสภาพอากาศแปรปรวน เชิงเขาผืนนี้ร่มรื่นดุจฤดูใบไม้ผลิ ขณะนี้สีท้องฟ้าใกล้พลบค่ำ แสงอาทิตย์ลับฟ้าค่อยๆ จางหาย แสงสายัณฑ์งดงามที่สาดส่องเส้นทางใต้ร่มไม้แน่นขนัดกำลังเปล่งประกายหายไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ป่าไม้เขียวอ่อนที่สูญเสียแสงสว่างค่อยๆ กลายเป็นเขียวเข้ม จากเขียวเข้มกลายเป็นเขียวคล้ำ จากเขียวคล้ำกลายเป็นสีดำทะมึน ไม้ป่าที่อยู่ค่อนข้างไกลออกไปพวกนั้นถูกลมพัดสั่นไหว ส่งเสียงซ่าๆ ดุจสัตว์ประหลาดซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดมิด
เงียบสงบเหลือเกิน ฉะนั้นทุกเสียงจึงถูกขยายให้ดังขึ้น เสียงผู้หญิงแผ่วเบาในสภาพแวดล้อมอึมครึมนี้จึงฟังแล้วอ้างว้างวังเวง ทำให้คิดโยงไปถึงทุกฉากในตำนานของภาพยนตร์สยองขวัญ
จิ่งเหิงปัวหันหลังจะเดินจากไป…ความอยากรู้อยากเห็นทั้งหลายควรอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัย มิฉะนั้นเท่ากับไม่ดูตาม้าตาเรือ
แต่นางหันหลังเร็วเกินไป ทำให้ฝ่าเท้าลื่นไถล นางไม่ได้สังเกตว่าใต้ฝ่าเท้าเป็นรัศมีโค้งเล็กน้อย ถูกใบไม้ร่วงปกคลุม จึงลื่นไถลออกไปสองสามเมตรอย่างไม่อาจควบคุมได้ พอเงยหน้า…ชะงักงัน
หวีผม
แม่งเอ๊ย หวีผมอีกแล้ว!
แม่งเอ๊ย ผู้หญิงหวีผมอีกแล้ว!
ข้างหน้าเป็นบ่อน้ำบ่อน้อย กระจ่างบริสุทธิ์ดุจกระจก รอบด้านเถาวัลย์เขียวพันขด รายล้อมด้วยดอกยวนเหว่ย[1]สีม่วงนับไม่ถ้วน พอได้เห็นคล้ายกระจกแต่งหน้าวงกลมบานหนึ่งที่ถูกเถาวัลย์เขียวกับดอกไม้ม่วงแต่งแต้ม
ข้างบ่อน้ำเป็นหินขาวคล้ายหยก บนหินขาวมีคันฉ่องกับผ้าเช็ดหน้าไว้ ข้างหินขาวมีโฉมงามสวมอาภรณ์ม่วงนั่งหันหลังให้นาง
ใช่แล้วโฉมงาม
แม้ต่อให้หันหลังยังแน่ใจได้เลยว่าเป็นโฉมงามผู้งดงามเกินพรรณนา
เห็นได้จากไหล่ที่ตรงแน่วประณีตและบอบบางนั้น
เห็นได้จากเอวบางที่ผอมเพรียวราวรัดไว้นั้น
เห็นได้จากมือที่เรียวยาวขาวราวหิมะรวมทั้งเล็บที่แวววาวปานหอยมุกนั้น
เห็นได้จากท่วงท่างดงามที่ยากจะอธิบายทั่วร่างนั้น
เห็นได้จากผมงามทั่วศีรษะที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงนั้น…ไม่เกล้ามวยผม ดุจสายน้ำดั่งแพรไหม ดำขลับดำบริสุทธิ์ เงางามจนส่องสะท้อนผู้คนได้ แผ่สยายตรงแน่วจรดช่วงเอว เหลืออีกเกือบหนึ่งฉื่อทอดยาวคดเคี้ยวบนพื้นปานธารหลาก ผมยาวขนาดนั้น ตั้งแต่โคนผมจรดปลายผมเกลี้ยงเกลาเลิศล้ำ ปลายผมเปล่งประกายแสงนภาแดงฉานเหลืองทอง
เห็นได้จากทุกรายละเอียดทั่วร่างนาง แน่ใจได้ว่าเป็นโฉมงาม งดงามอ่อนหวาน ประณีตล้ำเลิศแบบนั้น
จิ่งเหิงปัวชอบคนกับสิ่งของสวยงาม เพียงพริบตาหนึ่งนั้นนางยังรู้สึกว่าดวงตาพร่าเลือน
แต่นางโคตรเกลียดท่วงท่าหวีผมนี้เลย!
นางรีบเดินเข้าไปทันที เหยียบย่ำหนักหน่วง เหยียบจนใบไม้ร่วงดังสวบสาบ
ไม่ได้หันหลังกลับไปอีกแล้ว เพราะนางรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้กำลังรอคอยนาง ถ้านางหันหลังไป ผ่านไปไม่นานอาจได้มองเห็นนางที่อื่นอีกครั้ง
เดินเข้าไปใกล้ขึ้น จึงได้ยินเสียงเพลงของอีกฝ่าย
“จิ้งจอกใหญ่ล้มป่วย จิ้งจอกรองตรวจอาการ จิ้งจอกสามซื้อยา จิ้งจอกสี่ต้มยา จิ้งจอกห้าสิ้นใจ จิ้งจอกหกยกหาม จิ้งจอกเจ็ดขุดหลุม จิ้งจอกแปดฝังกลบ จิ้งจอกเก้าร้องไห้ จิ้งจอกสิบถามว่าเหตุใดเจ้าถึงร้องไห้? จิ้งจอกเก้าเอ่ยว่าเจ้าห้าไปแล้วไปลับ…”
จิ่งเหิงปัวกะพริบตา…ไอ้เวรเอ๊ย ทำนองเพลงงดงามขนาดนี้ เสียงไพเราะขนาดนี้ ไม่นึกว่ากำลังร้องเพลงเด็ก!
“ไฮ” นางนั่งลงบนหินขาว ฉวยมือขยับคันฉ่องที่นางโคตรเกลียดไปไว้ฝั่งหนึ่ง ทักทายอย่างสบายอกสบายใจว่า “สวัสดีตอนบ่าย”
สตรีที่หวีผมร้องเพลงหยุดการกระทำ เงยหน้าคล้ายมองนาง
จิ่งเหิงปัวรู้สึกแค่ว่าตรงหน้าสว่างวาบ คล้ายเห็นนวลหยกงามดั่งมวลผกา ไม่อาจส่งเสียงชื่นชมจากแดนต้องห้าม
ตั้งแต่ทะลุมิติจนถึงวันนี้เคยเห็นโฉมงามมาไม่น้อย แต่ไม่เคยเห็นใครดึงดูดสายตาขนาดนี้มาก่อน หรืออาจมีแค่ตัวนางเองส่องกระจกชมความงามเมื่อสภาพสมบูรณ์ถึงได้เฉิดฉายปานนี้
แต่ความงามของนางแตกต่างจากความงามของตัวเอง ทั้งอ่อนโยนนุ่มนวลทั้งองอาจผึ่งผายยิ่งกว่านาง นางนึกถึงดาราภาพยนตร์หญิงชื่อดังบางคนในสมัยใหม่อย่างไม่มีสาเหตุ สมัยยังสาวงดงามล่มแคว้น หาได้ยากยิ่งกว่านั้นคือความองอาจผึ่งผายดั้งเดิมซ้ำยังไม่สูญเสียความอ่อนโยน แต่งตัวเป็นผู้หญิงบริสุทธิ์สูงส่ง แต่งตัวเป็นผู้ชายสง่างามกว่าสามส่วน เธอเคยแสดงบทบาทสมทบที่แต่งตัวเป็นผู้ชายครั้งหนึ่ง จวบจนวันนี้ยังเป็นบทบาทสมทบในตำนานที่เอาชนะได้ยากของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์
คนนี้ตรงหน้ามีความงามเหนือธรรมดาสามัญที่หาได้ยากของดาราภาพยนตร์หญิงคนนั้นด้วย เทียบกับนางแล้ว เหอหว่านเป็นแค่เด็กน้อยที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เทียบกับนางแล้ว อินอู๋ซินก็เป็นแค่ท่อนไม้ที่มีน้ำแข็งเกาะท่อนหนึ่ง เทียบกับนางแล้ว เฟยหลัวประดุจดอกไม้แห้งนอกฤดูกาล เทียบกับนางแล้ว หมิงเฉิงเป็นได้แค่วัชพืชข้างรั้ว
โฉมงามมองนางปราดเดียว ไม่ได้เอ่ยตอบ ก้มหน้าลงด้วยท่าทางคล้ายกระดากอาย เส้นผมดำขลับบังแก้มไว้
ชั่วครู่ จิ่งเหิงปัวได้ยินนางกระซิบถามว่า “ข้าร้องเพลงเพราะหรือไม่”
จิ่งเหิงปัวนิ่งเงียบให้คำถามนี้ครู่ใหญ่ เอื้อมมือเก็บก้อนหิน โยนหินให้กระดอนบนผิวน้ำ
“เพลงนี้ของเจ้า แต่ก่อนเคยได้ยินเพลงฉบับคล้ายกัน มันนามว่าคดีฆาตกรรมจิ้งจอก”
โฉมงามเงยหน้า แววตาอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย ซ้ำยังประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นศีรษะนางห้อยลงไปอีกครั้ง ก้มหน้า เอ่ยด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “เหลวไหล เพลงนี้เอ่ยถึงจิ้งจอกที่รักใคร่ปรองดองฝูงหนึ่ง พวกเขารักกันฉันมิตร ด้วยเพราะสูญเสียพี่น้องจึงโศกเศร้าร้องไห้…”
“ล้วนเป็นจิ้งจอกยังรักใคร่ปรองดองกระไรกันเล่า” จิ่งเหิงปัวหัวเราะเหน็บแนม คว้าผมกลุ่มหนึ่งของนางมาคลึงในมือ โอ้สัมผัสดีจัง
โฉมงามเชื่อฟังอย่างยิ่ง กะพริบดวงตากลมโตให้นาง ไม่ต่อต้านทุกการย่ำยีของนางเลยแม้แต่น้อย
จิ่งเหิงปัวจิตใจเบิกบาน ในฐานะที่เป็นนางปีศาจฉบับสาวสวยตนหนึ่ง นางชอบโลลิ[2]น่ารักที่สุดเลย ยิ่งชอบรังแกโลลิน่ารัก ถ้าทำลายความฝันเทพนิยายของโลลิน่ารักได้ แบบนั้นยิ่งดีเข้าไปใหญ่!
“เช่นนั้น ข้าจะวิเคราะห์เพลงเด็กนี้ให้เจ้าฟังโดยละเอียด แท้จริงแล้วข้ารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องสยองขวัญที่หักมุมชั่วร้ายเรื่องหนึ่ง…” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ก่อนอื่น ตรงนี้คือการเปรียบเทียบ จิ้งจอกหมายถึงคน การเปรียบเทียบเช่นนี้คงเคยเจอบ่อยครั้งสินะ จิ้งจอกใหญ่คือหัวหน้า หัวหน้าล้มป่วย จะรักษาก็ต้องยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น เสียสละจิ้งจอกตัวหนึ่งเป็นตัวนำยา”
“จิ้งจอกห้าสิ้นใจกะทันหัน คำว่ากะทันหันนี้คลุมเครือยิ่งนักนะที่รัก ด้วยเพราะเขาถูกคนใกล้ตัวทำร้าย ใช้เป็นตัวนำยาแล้ว”
“จิ้งจอกรองเป็นหมอ ฉะนั้นจิ้งจอกรองเสนอความเห็นแด่จิ้งจอกใหญ่ ตัดสินความตายของจิ้งจอกห้า”
“ส่วนซื้อยา น่าจะเป็นการแอบอธิบาย เอ่ยกันว่าซื้อยาหมายถึงสังหาร ฉะนั้นจิ้งจอกสามเป็นฆาตกร”
“เหตุใดจิ้งจอกรองอยากให้จิ้งจอกห้าสิ้นชีพเล่า? แน่นอนว่าอาจมีสาเหตุมากมาย ทว่าสาเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างพี่ชายน้องชายร่วมอาจารย์ได้ง่ายที่สุดคือสาเหตุใด คาดเดาจากวาจาต่อมาได้ เป็นไปได้ยิ่งนักว่าเป็นการสังหารด้วยความหึงหวง ด้วยเพราะจิ้งจอกสาวผู้งดงามตัวหนึ่ง”
“จิ้งจอกสาวคือผู้ใด ผู้ใดชอบร้องไห้ผู้นั้นก็คือจิ้งจอกสาว แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าเก้า”
“เจ้าเก้ากำลังร้องไห้ ร้องไห้ด้วยว่าเจ้าห้าไปแล้วไปลับ ผู้ที่เจ้าเก้ารักคือเจ้าห้า ส่วนเจ้ารองรักเจ้าเก้า ฉะนั้นเจ้ารองยืมมือผู้อื่นสังหารเจ้าห้า”
“จิ้งจอกหกยกหาม วาจานี้แปลกประหลาดแล้ว จิ้งจอกตัวเดียวจะยกหามได้เยี่ยงไร? ฉะนั้นหมายถึงจิ้งจอกหกถูกยกหาม เขาสิ้นชีพแล้วเช่นกัน ผู้ที่ยกหามคือจิ้งจอกสองตัว ตัวหนึ่งขุดหลุมตัวหนึ่งฝังกลบ นั่นคือจิ้งจอกเจ็ดกับจิ้งจอกแปด”
“จิ้งจอกหกสิ้นชีพอย่างไร ผู้ใดสังหาร ในเมื่อจิ้งจอกเจ็ดกับจิ้งจอกแปดไปขุดหลุมกับฝังกลบ ผู้ที่ลงมือก็น่าจะยังเป็นผู้อื่น เช่น จิ้งจอกสาม เหตุใดจิ้งจอกสามต้องสังหารจิ้งจอกหก เป็นไปได้ยิ่งนักว่าเจ้าหกกับเจ้าห้าสนิทสนมกัน ยามนั้นสองตัวอยู่ด้วยกันพอดี หรือไม่จิ้งจอกหกอาจพบว่าจิ้งจอกสามกำลังจัดการจิ้งจอกห้า ฉะนั้นจิ้งจอกสามจึงฉวยมือสังหารเจ้าหกไปด้วยเลย”
ดวงตาที่กะพริบของโฉมงามไม่กะพริบอีกต่อไปแล้ว ท่าทางคล้ายตกใจจนชะงัก แววตาที่มองจิ่งเหิงปัวเต็มไปด้วยความหวาดกลัวกับความเลื่อมใส…ผู้ที่อธิบายเพลงกล่อมเด็กที่ไร้เดียงสาน่ารักเจือความเศร้าโศกขนาดนี้ให้กลายเป็นเรื่องราวเช่นนี้ได้ จะชั่วร้ายเพียงใดกัน…
“ยังไม่จบนะ” นางปีศาจจิ่งอธิบายอย่างสมจริงสมจังว่า “ความจริงซับซ้อนซ่อนเงื่อน ยังไม่ได้เปิดเผยออกมาทั้งหมด ในเรื่องนี้ยังมีคนผู้หนึ่ง คล้ายปรากฏกายโดยไม่มีความหมายเลยแม้แต่น้อย ทว่าชัดเจนยิ่งนัก ทุกสรรพสิ่งเกี่ยวข้องกัน คนผู้นี้จะไม่ปรากฏกายเรื่อยเปื่อย เช่นนั้นเขาคือผู้ใด ปรากฏกายด้วยเพราะเหตุใด”
โฉมงามมองดูนางอย่างเซ่อซ่าน่าเอ็นดู จิ่งเหิงปัวคิดว่าเล่ากันว่าหน้าตางดงามแปรผกผันกับสติปัญญาเป็นความจริงสินะ แน่นอนว่าตัวนางเองเป็นข้อยกเว้นมหัศจรรย์คนหนึ่ง
“จิ้งจอกสิบอย่างไร จิ้งจอกสิบมีบทบาทของตนเองแน่แท้ คงไม่ออกมาเพียงเพื่อปลอบโยนจิ้งจอกเก้าวาจาเดียวเป็นแน่ เช่นนั้นบทบาทของเขาคืออะไร? เขาเป็นตัวการ!”
โฉมงามร้อง “อ๊ะ” ออกมา รีบใช้มือปิดปากไว้
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าคำว่า ‘อ๊ะ’ นี้ผิดปกติเล็กน้อยชอบกล แต่ตอนนี้ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง จึงไม่ได้คิดมาก
“จิ้งจอกเก้าเป็นเพศเมีย จิ้งจอกสิบอยู่ข้างกายนางห่วงใยนาง น่าจะด้วยเพราะชื่นชอบนาง จิ้งจอกสิบชื่นชอบจิ้งจอกเก้า ทว่าจิ้งจอกเก้าไม่ชื่นชอบเขา ชื่นชอบจิ้งจอกห้า ด้วยความริษยา จิ้งจอกสิบจึงวางยาพิษจิ้งจอกใหญ่ เขารู้แน่ชัดว่าจิ้งจอกรองชื่นชอบจิ้งจอกเก้าเช่นกัน จะต้องฉวยโอกาสยามจิ้งจอกใหญ่ล้มป่วยกำจัดจิ้งจอกห้า ฉะนั้น จิ้งจอกสิบถึงเป็นตัวการอย่างไรล่ะที่รัก!”
โฉมงามมองนางอย่างงงงันครู่ใหญ่ จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าท่าทางแบบนี้ของนางเซ่อซ่าน่ารักเสียจริง ทั้งที่เป็นหญิงสาวที่ร่าเริงสดใสทั่วร่างท่วมท้นกลิ่นอายเซียนท่าทางดุจหยกดั่งพระโพธิสัตว์ แต่พอเซ่อซ่าน่ารักกลับทำให้คนอื่นรู้สึกว่างดงามบอบบางนุ่มนวลน่าสัมผัส นางอดไม่ได้ที่จะเอื้อมกรงเล็บหมาป่าออกไป หยิกบนใบหน้าโฉมงามครั้งหนึ่งโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย ยิ้มแย้มกล่าวว่า “ตกใจแล้วสิ”
ลูบคลำเสร็จอดจะคลึงนิ้วมือไม่ได้ ว้าว นุ่มลื่นจังๆ
โฉมงามนิสัยดียิ่งนัก ไม่โกรธเคืองเลย ก้มหน้าลงอีกครั้ง เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “แต่ไหนแต่ไรไม่เคยคิดว่าเป็นเช่นนี้ได้ด้วย ที่แท้เป็นเช่นนี้…”
“ใช่หรือไม่? เป็นคดีฆาตกรรมที่เปลี่ยนแปลงมากหลาย พอจะสะท้อนชีวิตทุกคนได้ใช่หรือไม่เล่า”
“ฆาตกรรมหรือ…” โฉมงามมองผิวน้ำอย่างงงงัน แสงรุ่งโรจน์กลางแววตาเหม่อลอย สองมือปิดหน้าไว้โดยพลัน เอ่ยเสียงดังว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้!”
เสียงเจือด้วยความรันทดโหยหวนหลายส่วน
“นี่เจ้าคงไม่ได้รับความกระทบกระเทือนหรอกกระมัง?” จิ่งเหิงปัวเริ่มเครียดแล้ว จะเอื้อมมือคว้านาง
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง!” นางตะโกนอีกเสียงหนึ่ง
เสียงดุจคนเสียสติ จิ่งเหิงปัวถูกทำให้ตกใจ มือคลายเพียงครั้ง แขนเสื้อของโฉมงามลื่นไถลจากมือนาง เรือนร่างเหยียดตรง กระโดดลงบ่อน้ำดังตูม!
[1] ดอกยวนเหว่ย ดอกไอริส ชื่อวิทยาศาสตร์ Iris tectorum Maxim. ใบเรียวยาวซ้อนกันเป็นช่อ ออกดอกสีม่วง
[2] โลลิ มาจากคำว่าโลลิต้า ใช้บรรยายลักษณะเด็กหญิงอายุน้อยหรือผู้หญิงที่มีรูปร่างเหมือนเด็กหญิง