ตอนที่ 288 ขอเชิญพี่สาวมาดื่มชาด้วยกัน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 288 ขอเชิญพี่สาวมาดื่มชาด้วยกัน

สุรานั้นเป็นเครื่องมือกระชับความสัมพันธ์ที่ขาดมิได้ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล !

แค่ดื่มไปเพียงมิกี่จอก ฝานเทียนหนิงและฟู่เสี่ยวกวนก็สนิทกันถึงขั้นเรียกพี่เรียกน้อง

หากจะถามว่าลึกซึ้งเพียงใดนั้น ณ เพลานี้ยังมิสำคัญนัก ที่สำคัญก็คือดูผิวเผินแล้วความห่างเหินระหว่างชายหนุ่มทั้งสองนั้นได้ลดระยะลงมาพอสมควร ดังนั้นถ้อยคำพูดจาก็มีความเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น

“ท่านพี่ฟู่ ท่านเคยพินิจพิจารณาที่จะขยายกิจการสุราซีซานต่อหรือไม่ ทั่วทั้งใต้หล้านี้แม้ว่าจะมีสุราที่ดีมากนัก แต่จนถึงบัดนี้หาได้มีสุราชนิดไหนหมักได้ดีเทียบเคียงกับสุราของท่านไม่ หากได้ไปวางขายที่แคว้นฝานก็คาดว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดียิ่ง หากเป็นเช่นนั้นแล้วคำกล่าวที่ว่าเงินทองไหลมาเทมาทุกวันนั้นคงมิไกลเสียเกินเอื้อม”

อู่หลิงก็รู้สึกเช่นเดียวกัน “ข้าเองก็คิดเฉกเช่นเดียวกัน สุราซีซานนับวันราคายิ่งพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในตลาดที่ซื้อขายกันวันนี้ราคาแตะหนึ่งพันถึงสองพันอีแปะเข้าไปแล้ว คนหาเช้ากินค่ำทั่วไปซื้อดื่มมิไหวเป็นแน่ ส่วนซีชานเซียงเฉวียนเองก็ขายแพงถึงสองสามร้อยอีแปะซึ่งแพงเกินกว่าจะเอื้อมถึง คุณชายช่วยเปิดโรงหมักสุราที่แคว้นอู๋แห่งนี้ได้หรือไม่ ขอท่านโปรดวางใจ ข้าจะดูแลเองและรับประกันว่าจะมิมีผู้ใดกล้ามาระราน ! ”

สำหรับเรื่องนี่ฟู่เสี่ยวกวนได้วางแผนไว้เนิ่นนานแล้ว เพียงแต่แค่ยังมิมีความพร้อมพอที่จะลงมือทำ ในเมื่อเวลานี้อู่หลิงได้เสนอสิ่งนี้ขึ้นมาเสียเอง เลยคิดว่าจะได้ลงมือทำจริง ๆ จัง ๆ เสียที

“กระหม่อมขอเอ่ยตามตรง เหตุที่มาเยือนราชวงศ์อู๋ครานี้คือทางราชสำนักได้ส่งกระหม่อมมาเพื่อร่วมงานชุมนุมวรรณกรรม ส่วนเหตุผลส่วนตัวก็เพื่อเบิกทางให้ธุรกิจของกระหม่อมเอง ในมือของกระหม่อมนั้นมิได้มีเพียงสุราแค่ 2 ชนิดนี้เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายอย่างซึ่งกระหม่อมได้มอบหมายให้ต่งชูหลานเป็นคนจัดการ พวกท่านสามารถคุยรายละเอียดต่าง ๆ ด้วยกันได้หลังจากนี้ ความเห็นของนางก็คือความเห็นของกระหม่อมเช่นกัน”

ประโยคนี้ทำให้อู่หลิงและฝานเทียนหนิงต่างก็ตกตะลึงยิ่ง เพราะในทุกวันนี้มีสตรีน้อยคนนักที่จะสามารถทำธุรกิจได้อย่างเปิดเผย ครอบครัวเศรษฐีรายใหญ่เหล่านั้นล้วนแต่มีผู้ชายบริหารจัดการทั้งสิ้น การค้าที่ใหญ่โตของฟู่เสี่ยวกวนนั้นกลับได้มอบหมายให้สตรีเป็นผู้ดูแล อีกทั้งยังไว้เนื้อเชื่อใจถึงเพียงนี้นั้นช่างหายากยิ่งนัก นั่นหมายความว่าหญิงรูปงามที่มีนามว่าต่งชูหลานนั้นมีความเข้าอกเข้าใจในด้านการค้าพอสมควร

ทว่าอู่หลิงกลับคิดไกลไปกว่าสิ่งที่ฝานเทียนหนิงคิดไว้มาก นางหันไปมองต่งชูหลานแล้วเกิดความริษยาขึ้นมาในใจ

สตรีเมื่อแต่งงานก็ต้องเป็นภรรยาที่เชื่อฟังสามีและเป็นมารดาที่คอยอบรมเลี้ยงดูบุตร แต่โชคดีของต่งชูหลานคือฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีทัศนคติเยี่ยงนั้นเลยแม้แต่น้อย

นางเลยชูจอกสุราขึ้นมาต่อหน้าต่งชูหลาน “พี่สาวเรื่องนี้ท่านไว้วางใจได้ เมื่อข้าได้กลับถึงเมืองกวนหยุนแล้ว ข้าจะขอเชิญพี่สาวไปดื่มชาแล้วพวกเราค่อยมาเจรจาเรื่องโรงหมักสุราและเรื่องอื่น ๆ กันอย่างละเอียดอีกครา”

สิ่งที่ต่งชูหลานกลัวมากที่สุดคือการที่ถูกองค์หญิงเชิญไปดื่มชา คราก่อนที่ไปดื่มนั่นสิ่งที่ได้กลับมาเป็นเยี่ยนเสี่ยวโหลว หรือว่าชาที่ดื่มไกลจากจวนกว่าสามพันลี้ครานี้นั่นจะได้กลับมาเป็นอู่หลิงเยี่ยงนั้นรึ ?

เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงยิ่งนัก !

เมื่อช่วงค่ำที่อู่หลิงเอ่ยว่าจะเลี้ยงดูฟู่เสี่ยวกวนนั้นนางก็ได้ยินกับสองรูหูของนางเอง และนางเข้าใจดีว่าอู่หลิงมิได้เอ่ยหยอกเล่นแต่อย่างใด !

นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?

นี่มันคนที่สามแล้วนี่ !

แต่นางก็มิสามารถปฏิเสธได้ด้วยเหตุผลประการที่หนึ่งคือนางต้องธำรงไว้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรีขององค์หญิงไท่ผิง และประการที่สองนางต้องการเปิดการค้าขายกับราชวงศ์อู๋

ฉะนั้นแม้ว่านางแทบอยากจะบีบจมูกตนเองแล้วกระดกสุราเข้าไป แต่นางก็ต้องแสร้งว่ามีความสุขเป็นอย่างมากแล้วก็ต้องดื่มมันเข้าไปอย่างเต็มใจ !

“ขอบใจยิ่งนักน้องสาว การค้าของครอบครัวพวกเรานั้นจะขยายมาที่อาณาเขตของราชวงศ์อู๋อย่างแน่นอน แรกเริ่มนั้นที่ที่พวกเราวางแผนไว้คือเมืองกวนหยุน ต่อไปหลังจากนั้นก็คงต้องขออาศัยผืนแผ่นดินของน้องสาวในการทำการค้า ถึงเวลานั้นแล้วคงต้องร้องขอน้องสาวมิให้รำคาญพี่สาวคนนี้ไปเสียก่อนจึงจะถูกต้อง”

“พี่สาวเหตุใดจึงเอ่ยเยี่ยงนั้น น้องสาวรู้สึกยินดียิ่ง พวกเรามาชนจอกกันอีกคราเถิด ! ”

หยูเวิ่นหวินจ้องตาเขม็ง นี่มันอะไรกัน เหตุใดถึงเป็นพี่สาวน้องสาวกันไปเสียแล้ว ต่งชูหลานนางคิดอันใดของนางอยู่กัน เหตุใดถึงมองมิออกว่าอู่หลิงนั้นมีแผนการชั่วร้ายอยู่ หรือลึก ๆ แล้วนางเห็นพ้องกับอู่หลิงเยี่ยงนั้นรึ ?

คิดดูแล้วก็มีความเป็นไปได้ เพราะอู่หลิงผู้นี้ช่างดูโดดเด่นยิ่งนัก อีกทั้งนางยังเป็นองค์หญิงเพียงพระองค์เดียวของจักรพรรดิเหวินตี้ หากวางแผนจะขยายกิจการที่เมืองกวนหยุนแล้วมีอู่หลิงคอยหนุนหลัง แน่นอนว่าการค้าจะราบรื่นขึ้นเป็นอย่างมาก

แต่ทว่าการค้านั้นมีความสำคัญมากถึงเพียงนั้นเชียวรึ ?

ในขณะที่ในหัวของนางกำลังคิดร้อยแปดพันอย่างอยู่นั้น อู่หลิงก็ได้เดินเข้ามาข้างกายนางแล้วรินสุราใส่จนเต็มจอกด้วยสีหน้าดูน่ารักน่าถนุถนอมยิ่ง “พี่สาว ท่านก็ควรดื่มด้วยกันสักจอกเถิด”

วาจานั่นช่างหวานยิ่งนักจนใจหยูเวิ่นหวินสั่น แต่นางก็ไร้ซึ่งเหตุผลที่จะปฏิเสธแล้วจึงยกจอกสุราขึ้นมาดื่ม อู่หลิงเอ่ยต่อ “น้องสาวได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือของจินหลิงมาช้านานแล้ว น้องสาวเองก็ไฝ่ฝันที่จะไปเยือนที่นั้นมาโดยตลอด หรือว่าเอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ เมื่องานชุมนุมวรรณกรรมแล้วเสร็จและพี่สาวได้จัดการธุระต่าง ๆ จนลุล่วงแล้วเดินทางกลับ น้องสาวผู้นี้จะขอเดินทางไปพร้อมกับพี่สาวด้วยได้หรือไม่ ? ”

นี่มันได้คืบจะเอาศอกนี่ !

แท้จริงนั้นอู่หลิงต้องการร่วมเดินทางกับผู้ใดกันแน่ ?

หยูเวิ่นหวินชักลังเลใจ หญิงสาวผู้นี้มีแผนการที่แยบยลจนน่ากลัวเสียเหลือเกิน

แต่ทว่าในฐานะองค์หญิงแห่งราชวงศ์หยู เมื่อมีคนมาขอติดตามไปเยี่ยมเยือนเมืองจินหลิงนางก็มิอาจปฏิเสธคำขอได้

หยูเวิ่นหวินฝืนยิ้มให้ดูเหมือนว่านางรู้สึกยินดี “หากน้องสาวต้องการจะร่วมทางกับพวกพี่เพื่อไปเยือนจินหลิง เยี่ยงนั้นก็ดียิ่ง เพียงแต่ว่าเมื่อถึงจินหลิงแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องเดินทางไปยังสถานที่แสนห่างไกลในทันที…”

“พี่สาว น้องสาวเพียงอยากไปเยี่ยมชมเมืองจินหลิงแค่เพียงเท่านั้น หาได้ทำเพื่อเขาไม่”

เมื่อเอ่ยวาจานี้ออกไป อู่หลิงก็ได้ส่งสายตาโปรยเสน่ห์ไปให้ฟู่เสี่ยวกวน มองเสียจนฟู่เสี่ยวกวนเริ่มใจสั่นแล้วเขาก็รีบหลบสายตาในทันใด

“พี่สาวโปรดอย่าคิดมาก ตอนนี้พวกเรามาดื่มกันก่อนเถิด ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้นไว้รอให้พวกเราเดินทางถึงเมืองกวนหยุนแล้วพวกเราค่อยหารือกัน น้องสาวก็ต้องการเชิญพี่สาวมาดื่มชาด้วยเช่นกัน”

ดื่มชาอีกแล้วงั้นรึ !

หยูเวิ่นหวินกระดกสุรารวดเดียวหมดจอก นางนึกคิดว่าคืนนี้จักต้องนำเรื่องนี้ไปหารือกับต่งชูหลานในทันที

ซูโหรวยังคงปักเป็ดหยวนยางอยู่ในมือ นางได้เงยหน้าขึ้นมามองทุกคนด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ นางมองอู่หลิงก่อน แล้วก็มองต่งชูหลานต่อ แล้วนางจึงหันไปมองหยูเว่นหวิน ท้ายที่สุดนางก็ได้ยิ้มอย่างมีเลศนัยและหันไปมองซูซูศิษย์น้องของตน

ซูซูบัดนี้นางได้ดื่มด่ำกับการแทะขาไก่อยู่

ซูโหรวรีดริมฝีปากจนแบน เด็กนี่วัน ๆ คงคิดแต่จะกินสินะ รอให้บรรลุเป็นศิษย์สำนักเต๋าเต็มตัวมิรู้ว่าจะได้อยู่ลำดับที่เท่าใดกัน !

ฝานเทียนหนิงหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วก็เกิดอยากเชื้อเชิญขึ้นมาบ้าง “ท่านพี่ฟู่ เมื่องานกวีได้เสร็จสิ้นแล้วหากท่านพี่พอจะมีเวลาว่างข้าจะขอเชิญท่านไปเยือนแคว้นฝานของข้าสักครา ข้าเล็งเห็นว่าพวกเรานั้นมีโอกาสที่จะร่วมมือกันได้หลายทางยิ่งนัก หากทำได้สำเร็จมิว่าจะต่อราชวงศ์หยูหรือต่อตัวท่านเองหรือแม้แต่แคว้นฝานของข้าเองก็ย่อมได้รับผลกำไรร่วมกันอย่างมหาศาล

ฟู่เสี่ยวกวนคาดการณ์ไม่ถึงว่าได้รับคำเชิญเช่นนี้

เดิมทีเขาคิดว่าหากต้องการทำการค้ากับแคว้นฝานคงจะต้องใช้กำลังมหาศาลในการผลักดัน แต่วันนี้เมื่อได้ยินองค์ชายแห่งแคว้นฝานตรัสเช่นนั้นก็รู้ซึ้งแล้วว่ามิได้ยากเฉกเช่นที่คิดไว้ เวลานี้มีทั้งองค์หญิงและองค์ชาย พวกเขาย่อมเป็นตัวแทนในการกอบโกยผลประโยชน์ให้บ้านเมืองของตนไม่มากก็น้อย และนี่ก็คือคำเชื้อเชิญของทั้งสองฝ่าย แค่เพียงได้คำเชื้อเชิญจากคนใหญ่คนโตเยี่ยงนี้ หากสามารถนำผลประโยชน์ที่มีความเป็นกลางและชอบธรรมให้ทั้งสองฝ่ายได้ เรื่องนี้หากถึงคราที่ลงมือทำจริงคงจะราบรื่นพอสมควร

แล้วเขาก็ยกจอกสุราขึ้นมา “สิ่งที่น้องฝานได้เอ่ยมานั้นช่างพ้องกับสิ่งที่ข้าคิดไว้มาก เมื่อครากลับถึงอาณาเขตของราชวงศ์หยู ข้าจะนำความนี้ไปทูลแก่ฝ่าบาทแล้วจะหาเวลาไปแคว้นฝานเพื่อสร้างความรำคาญให้แก่ท่านสักเล็กน้อย”

ฝานเทียนหนิงดีใจยิ่ง เขายกแก้วขึ้นแล้วยิ้มกล่าว “ท่านพี่จะมาสร้างความรำคาญให้แก่ข้าได้เยี่ยงไรกัน ข้าจะกวาดบ้านเรือนทุกซอกทุกมุมเพื่อทำการต้อนรับท่านพี่ให้ดี ! ”

เมื่อเรื่องใหญ่เยี่ยงนี้ได้อยู่ในความเห็นด้วยของทั้งสองฝ่ายแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็สำราญใจและเปิดอกคุยกันมากยิ่งขึ้นไป สุราที่ดื่มนั้นมีฤทธิ์แรงพอสมควร

มีเพียงแค่คูฉานเท่านั้นที่ยังนิ่งเงียบอยู่ แต่เขาก็ช่างเหมือนจักจั่นตัวหนึ่งเสียจริง ๆ

ไม้เท้าที่ดูหมือนไม้เท้ากายสิทธิ์อันนั้นได้ถูกแบกไว้บนหลังของเขา สายตาของเขานั้นตั้งมั่นแน่วแน่เพียงแค่ยกตะเกียบขึ้นมาคีบผักบ้างบางครา

หยูเวิ่นหวินนึกว่าตนนั้นเป็นคนคอแข็งใช้ได้ ทว่ากลับคิดมิถึงว่าอู่หลิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงขั้นข้ามนั้นยิ่งดื่มยิ่งฮึกเหิม !

ยิ่งดื่มเยอะขึ้นเท่าใดดวงตาของนางก็ยิ่งจรัสเป็นประกายมากขึ้นเท่านั้น ใบหน้าของนางก็เริ่มแดงเรื่อยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

มีเพียงแค่ต่งชูหลานที่ดื่มเข้าไปเท่าใดก็ยังมีสีหน้าดังเดิม

ทว่าในตาของฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้มีเส้นเลือดฝอยปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน คาดเดาว่าเขาคงเมาไปได้ครึ่งหนึ่งของขีดจำกัดของตนเองแล้ว