เสวียนอี่นั่งอยู่บนต้นท้อนอกจวน พร้อมมองไปยัง ‘คาบเช้า’ ที่ฝูชางพูดถึงนั่นอย่างเบื่อหน่าย เริ่มด้วยหยิบเอากระบี่ไม้มาสะบัดไปมา ตามด้วยนั่งขัดสมาธิบนเบาะนิ่งไม่ขยับ
เขาหลับอีกแล้วหรือ มนุษย์หลับเร็วขนาดนี้เลย? นางลอยเข้าไปแล้วย่อตัวลงพร้อมจ้องเขม็งอยู่ตรงหน้าเขา
ไอเยือกเย็นจับกระดูกสายหนึ่งพัดมาตรงหน้า ฝูชางไม่ต้องเปิดตาก็รู้ว่าต้องเป็นผีสาวนั่นอีกแน่ นางร้ายกาจมากจริงๆ กลางวันแสกๆยังเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างนี้
ดูท่า คงต้องให้เซียนพิภพเป็นคนจัดการนางเองเสียแล้ว
ฝูชางลืมตาขึ้น ก็เห็นใบหน้าขาวซีดราวกระเบื้องเคลือบของนางอยู่ตรงหน้าจริงๆ แสงอาทิตย์ตกกระทบไปยังวงแหวนสีทองที่ผมของนางจนเป็นประกายระยิบระยับ
เขาพลันเบนสายตาออกไม่มองตรงๆแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าจะไปคารวะเซียนพิภพ หากว่าเจ้าใจกล้าตามมาอีก ก็ตามมาได้”
กล่าวจบเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปนอกจวน เสวียนอี่ลอยตามไปด้านหลัง นางมองไปรอบด้าน พร้อมชี้นิ้วไปยังหลังคากระเบื้องแล้วถามว่า “มนุษย์อยู่แต่ห้องอย่างนี้หรือ ไม่มีสวนดอกไม้หรือ แล้วตึกรับแขกเล่า”
…ฟังแล้วเหมือนนางจะเป็นผีสาวจากตระกูลร่ำรวยทีเดียว
อย่างไรฝูชางก็ยังมีนิสัยวัยรุ่น จึงตอบไปว่า “ที่นี่คือที่ที่เหล่านักพรตของเซียนพิภพอาศัยอยู่ ส่วนสวนดอกไม้และตึกรับแขกที่เจ้าพูดถึงนั้น มีแต่ตระกูลร่ำรวยเท่านั้นถึงจะมี ที่อยู่ของประชาชนธรรมดาจะค่อนข้างเก่า มีกระเบื้องมุงหลังคาก็นับว่าดีมากแล้ว”
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เอง เสวียนอี่ไล่ตามเขาไป แล้วคว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้อย่างไม่รู้ตัวพร้อมถามว่า “ทำไมเจ้าถึงละเมอได้ เจ้าละเมอทุกวันเลยหรือ”
เขารีบดึงแขนเสื้อกลับมา “ฝันคือเรื่องธรรมดา ใครบ้างไม่เคยฝัน เรื่องในฝันทั้งหมด ก็จะละเมอออกมา”
มนุษย์กลับมีเรื่องน่าสนใจอย่างนี้ด้วย และยังฝันทุกวันอีก
เผ่าเทพไม่มีความฝัน หากว่าวันใดเกิดฝันขึ้นมา นั่นหมายถึงสังหรณ์ที่หากไม่ใช่เรื่องดีมากก็ต้องเลวร้ายมาก นางจำได้ว่า ตอนนั้น คืนที่ท่านแม่พานางกลับไปริมแม่น้ำชุ่ย ท่านแม่ก็ฝันเหมือนกัน พอตื่นเช้ามาจึงบอกนางว่า นางฝันเห็นน้ำในแม่น้ำชุ่ยใสบริสุทธิ์ ภายหลังนางก็ดับสูญไป
เสวียนอี่ลอยมาข้างกายเขาต่อ “เมื่อคืนนี้เจ้าฝันถึงอะไร แล้วละเมออะไรออกมา”
ฝูชางกล่าวเสียงเย็น “ข้าฝันว่าจับผีสาวที่ร้ายกาจตนหนึ่งได้”
กล่าวจบ เขาก็หยุดที่หน้าตึกสีแดงหลังหนึ่ง ประตูแง้มออกน้อยๆ ภายในมีไอบริสุทธิ์มากมาย กลิ่นอายสะอาดยิ่ง เขาไม่ได้เข้าไป และไม่กล่าวอะไรออกมา แต่แค่โค้งตัวคารวะอยู่นอกประตูสามครั้ง
พอคารวะเสร็จ เขาก็ใช้หางตามองไปที่ผีสาวข้างกายอย่างพิจารณา นางกลับไม่ได้หวาดกลัวและหนีไป แต่กลับไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับทิวทัศน์รอบด้านเท่าไหร่นัก กำลังก้มหน้าก้มตาเล่นชายแขนเสื้อ
กระทั่งเซียนพิภพยังไม่จัดการนาง ฝูชางรู้สึกสงสัยขึ้นมาแล้วหมุนตัวพลางเดินไปแล้วถามว่า “เจ้าคืออะไรกันแน่”
เสวียนอี่ยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อน “เจ้าเดาดูสิ”
เขาทำหน้าเย็นชาแล้วเงียบไป เดินไปได้ช่วงหนึ่งเห็นนางยังคงตามมาข้างกายก็ขมวดคิ้ว “อย่าตามติดข้า”
เสวียนอี่หยุดเท้าลง ไม่ผิด นางจะไปตามติดเขาอีกไม่ได้ ที่นางลงมาโลกเบื้องล่างครั้งนี้ก็เพื่อตัดสัมพันธ์ให้เขา ไม่ใช่เพื่อทำผิดอย่างเดิมอีก แต่ว่าสัมพันธ์นี้นางจะตัดอย่างไร นางยังไม่รู้เลย
…สุดท้ายก็ได้แต่ต้องตามเขาไปดูก่อน
นางกลายเป็นสายลมบริสุทธิ์แล้วตามเขาไปด้านหลังไกลๆ เขาไม่ได้กลับไปยังตำหนักนั่น แต่ออกมาจากศาลเทพบูรพา หน้าประตูศาลมีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ รอบด้านเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกของหญิงสาว พอเห็นเขาออกมา ก็เสียงดังอึกทึกครึกโครม ไม่นานก็ถูกนักรบมนุษย์สวมชุดเกราะและถือง้าวไว้ในมือขับไล่ไปจนหมด
รถม้าไปตามถนนช้าๆ เวลานี้พระอาทิตย์เพิ่งจะขึ้น เมืองมนุษย์ที่แสนวุ่นวายเต็มไปด้วยผู้คน ไอขุ่นมัวเต็มไปหมด มีเพียงแค่บริเวณฝูชางผ่านไปนั้นที่เต็มไปด้วยไอบริสุทธิ์หาใดเปรียบ
เลี้ยวไปหลายโค้ง รถม้าไปจอดหน้าเรือนแห่งหนึ่ง เสวียนอี่ซ่อนตัวอยู่หลังใบไม้หนาทึบโผล่ออกมาแค่ดวงตาทั้งสอง ฝูชางลงมาจากรถม้า ในมือไม่รู้มีหนังสือตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่คือสถานที่ฟังบรรยายของมนุษย์หรือ ทำไมถึงได้ทรุดโทรมอย่างนี้ ไม่มีกระทั่งทะเลสาบให้ชม
เห็นเขาเดินเข้าประตูไป นางแอบปีนขึ้นไปบนหลังคาแล้วลอบเข้าไปทางหน้าต่าง ที่นี่คล้ายกับตำหนักเหอเต๋อมาก เต็มไปด้วยโต๊ะหนังสือและเบาะนั่ง มีมนุษย์อายุน้อยหลายคนกำลังนั่งพูดคุยเล่นกัน มองกวาดตาไปกลับพบแต่ชายเท่านั้นไม่มีผู้หญิงเลยสักคน ดูแล้ว แต่ก่อนที่ฉีหนานพูดว่าฐานะของหญิงสาวที่โลกเบื้องล่างต่ำต้อยคงจะเป็นเรื่องจริง ขนาดมาฟังบรรยายยังไม่ได้เลย เกินไปแล้ว บรรดาหญิงสาวเหล่านั้นโตขึ้นมาจะไปทำหน้าที่อะไรของโลกมนุษย์นี้ได้กัน
ไม่นานก็มีชายชราเคราขาวผู้หนึ่งเดินเข้ามา เขาเหมือนกับมหาเทพไป๋เจ๋อ ถือหนังสือไปบรรยายไป นางฟังจนง่วงงุน ยังดีว่าเวลาของโลกเบื้องล่างผ่านไปอย่างเร็วรวด ไม่นานชายชราเคราขาวคนนั้นก็ไป ที่ทรุดโทรมนี้ไม่มีกระทั่งเทพีรับใช้เอาอาหารมาให้ เหล่าศิษย์ต้องนำอาหารใส่กล่องมาเอง และต่างอวดอาหารกัน
เสวียนอี่เห็นฝูชางไม่อยู่ในห้องก็กลายเป็นลมแล้วไปวนดูกล่องอาหารในห้องรอบหนึ่ง นางย่นจมูกและแอบขโมยเนื้อเข้าปากกินไปหลายคำพร้อมขนมของว่างอีกเล็กน้อย
นางไม่สนใจเหล่าศิษย์ที่พากันตกใจแล้วกล่าวทำนองว่า “ขนมของข้าเล่า” พวกนี้ นางออกมาจากห้องก็เห็นไอบริสุทธิ์เคลื่อนไหวไปมาที่หลังเรือน จึงแอบเข้าไปใกล้ นางเห็นเขานอนตะแคงอยู่ที่ระเบียงคด เขาอ่านหนังสืออยู่ ข้างกายมีแมวลายตัวอ้วนนอนอยู่หนึ่งตัว เขาอ่านหนังสือไปมือก็ลูบไปที่คอมันจนร้องเมี้ยวๆออกมา
เขาไม่กินข้าวหรือ ได้ยินว่าหากมนุษย์ไม่กินข้าวจะต้องหิวตาย เสวียนอี่ไม่แน่ใจว่าพวกเขาต้องไม่กินข้าวนานเท่าไหร่ถึงจะอดตาย นางลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็เลือกขนมที่นางแอบหยิบมาหลายชิ้นนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ นางเลือกชิ้นที่น่าเกลียดที่สุดแล้วโยนไปที่เสื้อเขาเบาๆ
ฝูชางลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบด้าน เหมือนเขาจะไม่เห็นใครจึงเอาขนมป้อนแมวอ้วนข้างๆแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าหิวแล้วสินะ”
เขาเห็นแมวอ้วนตัวนี้เป็นราชสีห์โง่เง่าตัวนั้นหรือ
เสวียนอี่เลือกขนมที่เหลืออยู่อย่างลำบากใจอยู่นาน แล้วเลือกเอาชิ้นที่น่าเกลียดชิ้นที่สองออกมาพร้อมโยนไปเบาๆ ครั้งนี้เขามีปฏิกิริยาเร็วมาก เขายื่นมือมารับไว้อย่างรวดเร็ว สายตาก็มองมายังเงาร่างบางที่ซ่อนอยู่หลังใบไม้หนาทึบนั้น
ผ่านไปนาน เขาจึงกล่าวออกมาอย่างจนใจว่า “เจ้ายังอยู่?”
ไม่ นางไม่อยู่ เสวียนอี่หดตัวไปด้านหลัง
ฝูชางไม่ได้เดินไป แล้วเอาขนมนั่นป้อนแมวอีกครั้ง เสวียนอี่ถลึงตาอย่างโมโห แล้วเอาขนมทั้งหมดโยนไปที่เขา นางไม่เชื่อว่าเขาจะเอาไปป้อนแมวโง่นั่นทั้งหมด!
เขายิ่งแสดงท่าทีจนใจออกมาแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ชอบกินของพวกนี้ ไม่ต้องให้แล้ว”
เสวียนอี่นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวถามเสียงเบา “แล้วเจ้าชอบกินอะไร”
ฝูชางกล่าวเสียงเรียบ “ข้าไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น เจ้าคืออะไรกันแน่ ทำไมถึงต้องตามข้ามาตลอด”
เสวียนอี่ไม่สนใจคำถามด้านหลังของเขาแล้วกล่าวเตือนไปว่า “มนุษย์หากไม่กินข้าวจะหิวตาย”
ฝูชางมองไปยังเงาร่างที่ซ่อนหลังเงาไม้ของนางแล้วหรี่ตาลงพร้อมกล่าวว่า “ข้าอยากกินบะหมี่น้ำแกงกระดูกวัวของร้านหรงซิ่งไจมุมถนนทิศเหนือ ไม่ต้องปรุงรส ไม่เอาต้นหอม เนื้อวัวเอาแบบเนื้อติดเอ็น หั่นชิ้นประมาณฝ่ามือ สามชิ้นก็พอ กินกับขนมเปี๊ยะพันชั้นของร้านอาหารที่มีแผ่นไม้สามแผ่นตรงมุมประตูทิศใต้ เอาสามชิ้น งาด้านบนไม่ต้องโรยมาก แต่ก็ห้ามน้อยเกินไป ไม่เอาน้ำมันหอม”
รออยู่นาน นางถึงเอ่ยขึ้นว่า “…เจ้าก็หิวสินะ”
ฝูชางหัวเราะออกมาเบาๆ แมวอ้วนข้างกายกินอิ่มก็นอนข้างขาเขาอย่างสบาย เขาลูบมัน นางพลันทิ้งของมาให้ เขารับไว้อย่างไม่ทันคิด ของในมือเย็นจัดมาก มันคือหิมะก้อนหนึ่งที่ปั้นเป็นรูปของราชสีห์เก้าเศียรอย่างประณีตตัวหนึ่ง
“นี่คืออะไร” เขาเอาราชสีห์เก้าเศียรหิมะมาเล่น เขากลับไม่ได้ไม่ชอบใจหัวทั้งเก้าที่ประหลาดของมัน กลับกันเขารู้สึกว่ามันน่ารักและดูน่าสนิทสนมมาก
“ให้เจ้าเล่น” เสวียนอี่เอาผ้าเช็ดหน้าปูที่พื้นแล้วนั่งก้มหน้าปั้นหิมะ ครั้งนี้นางปั้นปลาหลีฮื้อสีทองสองตัวนั้นที่บ้านเขา
แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านใบไม้ลงมาจากด้านบนพลันถูกบดบัง นางเงยหน้าขึ้น เทพที่กลายเป็นมนุษย์ไม่รู้มายืนอยู่ตรงข้ามตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาพลันย่อตัวลงตรงหน้านาง เห็นใบไม้ที่หน้าผากนางก็ยื่นมือมาแล้วเอาออกเบาๆ
“คราวนี้ปั้นอะไร” เขาถาม
ภาพเดิมซ้อนทับอีกครั้ง
เสวียนอี่หลับตาลง นางยิ้มแล้วก้มหน้าปั้นปลาหลีฮื้อสีทองตัวหนึ่งอย่างรวดเร็วพร้อมประคองไว้บนฝ่ามือแล้วถามเขา “สวยไหม”
เขามองไปยังปลาหลีฮื้อสีทองตัวนั้น แล้วแววตาก็มองไปยังใบหน้าของนางพร้อมพยักหน้าน้อยๆ
นางวางปลาหลีฮื้อสีทองตัวนั้นลงบนฝ่ามือเขาแล้วกล่าวเสียงเบา “ถ้าอย่างนั้น ครั้งนี้ข้าให้เจ้า”