บทที่ 359 จิตใจบรรลุนิพพาน
เมื่อเติมใบชาตระหนักรู้สีม่วงสามใบลงไปในเหยือก ก็นำน้ำแร่วิญญาณจำนวนมากใส่ลงไปให้จมใบชาตระหนักรู้สี่ใบ
แสงสีเงินและแสงสีม่วงส่องสะท้อนกัน กลิ่นหอมใบชาเข้มข้นอบอวลไปทั้งทะเลสาบ ทำให้ผู้ฝึกบำเพ็ญมากมายน้ำลายจะไหล
บัดซบ นั่นมันใบชาตระหนักรู้ ไม่ใช่ผักกาดขาวนะ!
บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มีใบชาตระหนักรู้เท่าไรกันแน่ ไม่อยากเชื่อว่าจะล้างผลาญเช่นนี้ได้
มูลค่าของใบชาตระหนักรู้สีม่วงพวกนั้นต่อให้ไม่เท่าใบชาตระหนักรู้สีเงิน แต่ก็เป็นสมบัติสุดยอดเช่นกัน
บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สิ้นเปลืองได้ง่ายๆ เช่นนี้ หรือว่าไม่ปวดใจกัน หรือว่าเขาจะเตรียมขายน้ำชาตระหนักรู้ต่อ ในแววตาผู้สูงศักดิ์สวรรค์และผู้สูงศักดิ์บางคน ตอนนี้เผยประกายแห่งความหวัง
สารภาพตามตรง ถ้าจะให้ใช้อาวุธอริยะแลกกับชาตระหนักรู้ พวกเขาก็แลกไม่ได้จริงๆ
แต่ศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรควางอยู่ตรงหน้า หากมีโอกาสใช้อาวุธวิญญาณแลกกับชาตระหนักรู้สีม่วงฉบับลดทอนประสิทธิภาพลงมาสักถ้วย พวกเขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง
นั่นคือคัมภีร์จักรพรรดิเชียว!
มิหนำซ้ำสำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ฤทธิ์ยาของชาตระหนักรู้สีม่วงก็เพียงพอแล้ว ให้ชาตระหนักรู้สีเงินกับเขาเป็นการสิ้นเปลืองเปล่าๆ
รากฐานพรสวรรค์ไม่พอ ต่อให้เป็นชาตระหนักรู้ที่มีสรรพคุณดีกว่านี้ก็ได้แต่สิ้นเปลือง สู้ใช้ของฉบับลดทอนประสิทธิภาพลงมาดีกว่า
“องค์ชายบุตรศักดิ์สิทธิ์ ขายชาตระหนักรู้พวกนี้สักหน่อยได้หรือไม่ ข้าคือผู้อาวุโสของแดนศักดิ์สิทธิ์ยุทธ์แท้ ฝ่ายข้าสนิทสนมกับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มาตลอด ขอใช้อาวุธวิญญาณระดับสูงแลกกับชาตระหนักรู้สักถ้วยได้หรือไม่”
“อาวุธวิญญาณระดับสูงมีอะไรให้น่าอวดดีกัน ข้าคือผู้สูงศักดิ์สวรรค์ชื่อเสวียน ยินดีแลกอาวุธวิญญาณระดับสูงสุดกับชาตระหนักรู้ถ้วยหนึ่ง หวังว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์จะสนับสนุนอย่างเต็มที่”
“บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ท่านขาดสัญญาสัตว์ขี่หรือไม่ ขอแค่ท่านมอบชาตระหนักรู้ให้ข้าหนึ่งถ้วย ข้ายินดีจะลงนามกับท่าน จงรักภักดีกับท่านร้อยปี ไม่มีสำนึกเสียใจเด็ดขาด!”
“ถุย อสูรเม่นทะเลอย่างเจ้ามีแต่หนามทั้งตัว น่าเกลียดและยังแข็งอีก คิดจะเป็นสัตว์ขี่ของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์รึ บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เลือกข้าน้อยเถอะ! เผ่าอสูรหอยพวกเรานุ่มที่สุด ขี่แล้วสบายกว่าเม่นทะเลเยอะ!”
……
เวลานี้ สายตาร้อนแรงมากมายมองมาที่เสิ่นเทียน
โดยเฉพาะอสูรหญิงบางตน เป้าหมายในดวงตานั้นไม่ใช่แค่ชาตระหนักรู้
เสิ่นเทียนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว จึงพูดด้วยความจนปัญญา “ทุกท่านอย่าทำให้แซ่เสิ่นลำบากใจเลย แซ่เสิ่นมีชาตระหนักรู้จำกัดจริงๆ
ตอนนี้ศิษย์ในฝ่ายข้ายังไม่ได้แบ่งชาตระหนักรู้เลย แซ่เสิ่นทำเรื่องขายชาตระหนักรู้ให้คนนอกไม่ได้จริงๆ หวังว่าผู้อาวุโสทุกท่านจะให้อภัย”
เมื่อเอ่ยจบ เสิ่นเทียนก็มองกุ้ยกงกง “ลุงกุ้ย ทำรายนามของศิษย์ที่อยู่บนเกาะมหานทีตอนนี้ที ศิษย์ที่ฝึกฝนวิชาอัสนีธาตุไฟให้มารับชาตระหนักรู้ก่อน ศิษย์คนอื่นให้รองลงไป”
คำพูดของเสิ่นเทียนทำให้เกิดเสียงดังเกรียวกราว!
อะไรนะ!
บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เขา คิดจะแบ่งชาตระหนักรู้พวกนี้ให้ศิษย์เทพสวรรค์ธรรมดาพวกนั้นจริงๆ หรือ!
ต้องรู้ว่านั่นคือชาตระหนักรู้ที่เย้ายวนที่สุดต่อผู้สูงศักดิ์สวรรค์ ในสถานการณ์พิเศษอย่างตอนนี้ ทุกถ้วยมีมูลค่าเท่ากับอาวุธวิญญาณหนึ่งชิ้น
หากต้มหลายๆ ถ้วย แค่ใบชาตระหนักรู้สี่ใบนี้ก็อาจจะแลกอาวุธวิญญาณได้หลายร้อยชิ้นเลย!
ความมั่งคั่งเช่นนี้ หรือว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่สนใจเลยสักนิดหรือ
บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะรักแดนศักดิ์สิทธิ์ของตนลึกซึ้งอะไรเช่นนั้น
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์นั่งขัดสมาธิอยู่บนศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรค ปรากฏการณ์ดวงตะวันที่สี่ลอยขึ้นมาข้างหลังช้าๆ ตอนนี้สายฟ้าประกายเซียนบนผิวกายกระเพื่อมชัดเจนอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ส่วนเหล่าผู้สูงศักดิ์สวรรค์และผู้สูงศักดิ์ ตอนนี้ร้อนใจแล้ว!
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ บุตรศักดิ์สิทธิ์ท่านตรึกตรองดูอีกทีเถอะ!”
“คัมภีร์จักรพรรดิสุริยันซับซ้อนเข้าใจยาก ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะสมกับการฝึกฝน!”
“ข้ายินดีแลกอาวุธวิญญาณระดับสูงสุดกับชาตระหนักรู้หนึ่งถ้วย บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ท่านเห็นแก่มิตรภาพระหว่างสองฝ่ายเรา แลกให้ข้าสักถ้วยเถอะ!”
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ บางทีพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องท่านอาจจะต้องการอาวุธวิญญาณระดับสูงสุดมากกว่าชาตระหนักรู้ถ้วยนี้อีกก็ได้นะ!”
…..
ผู้อริยะทุกคนยังคงตระหนักมรรคอย่างสงบนิ่งหน้าศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรค
สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญระดับฝ่าด่านเคราะห์ส่วนใหญ่แล้ว เรื่องส่วนได้ส่วนเสียของชนรุ่นหลังในสำนักเป็นเพียงเรื่องเล็ก ความก้าวหน้าในวิถีมรรคของตนต่างหากเรื่องใหญ่
ขณะตั้งใจตระหนักมรรคอยู่นั้น พวกเขาจะไม่รับผลจากความวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ จากโลกภายนอก มีเพียงเขตแดนอริยะประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่ยังคงกระเพื่อมเบาๆ
เมื่อสัมผัสได้ถึงความร้อนใจของผู้สูงศักดิ์ทุกคนแล้ว เสิ่นเทียนก็ยิ้ม “ผู้อาวุโสทุกท่านใจเย็นก่อน แซ่เสิ่นเองก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล อยู่หน้าแผ่นศิลาจักรพรรดินี้ แซ่เสิ่นไม่มีทางปล่อยให้พวกศิษย์น้องไม่ได้รับชาและขายชาตระหนักรู้ให้ทุกท่านเด็ดขาด ไม่ว่าจะในด้านน้ำใจหรือเหตุผลก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น
แต่แซ่เสิ่นจะมอบชาตระหนักรู้ให้พวกศิษย์น้องก่อน พวกศิษย์น้องจะจัดการอย่างไร จะดื่มชาตระหนักรู้หรือแลกกับทุกท่าน ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขา ถ้าจะมาโน้มน้าวแซ่เสิ่น สู้ไปเจรจากับศิษย์ฝ่ายข้าจะดีกว่า!”
เสิ่นเทียนมองศิษย์เทพสวรรค์ที่รับชาตระหนักรู้จากมือกุ้ยกงกงทีละคนแล้ววงรัศมีเหนือศีรษะเพิ่มขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ชาตระหนักรู้คือโชคลิขิตที่เสิ่นเทียนเห็นมาจากในภาพโชคลิขิตเหนือศีรษะฉีเซ่าเสวียน ดังนั้นคนที่เสิ่นเทียนมอบชาให้จึงได้เพิ่มดวงชะตา อีกทั้งยังเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย
ทางด้านเสิ่นเทียนหลังจากมอบชาตระหนักรู้แล้ว อีกฝ่ายจะดื่มเองหรือให้คนอื่นก็ไม่มีผลอะไร
แต่หากเปลี่ยนมือและขายให้ผู้สูงศักดิ์สวรรค์คนอื่น ไม่ได้ให้ผ่านมือเสิ่นเทียนโดยตรงละก็ ดวงชะตาของอีกฝ่ายก็จะไม่เปลี่ยนไป
เทียบกับผู้สูงศักดิ์ที่ภายภาคหน้าไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกหรือไม่พวกนั้นแล้ว เสิ่นเทียนคิดว่าเพิ่มดวงชะตาให้เหล่าศิษย์กุยช่ายคุ้มค่ากว่าเล็กน้อย
ถึงอย่างไรอย่างแรกก็เก็บเกี่ยวยากกว่า
แน่นอน ภายใต้สถานการณ์ระดับความสูงต่างกัน มุมมองของปัญหาก็ย่อมต่างกัน
คนอื่นไม่อาจอ่านความตั้งใจอันแรงกล้าของเสิ่นเทียนได้เลย รู้สึกแค่ว่าเสิ่นเทียนสูงส่งยากจะคาดเดา
สมกับเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ แม้แต่อาวุธวิญญาณระดับสูงสุดยังไม่อยู่ในสายตา ยอมมอบชาตระหนักรู้ให้ศิษย์น้อง ขี้คร้านจะใช้แลกกับอาวุธวิญญาณ
นี่คือความบ้าอำนาจระดับใดกัน มีน้ำใจต่อแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงใดกัน!
เหล่าศิษย์ที่เข้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พวกนั้นช่างโชคดีจริงๆ เลย!
แค่สนับสนุนบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ปกติก็จะได้ผลประโยชน์ไปเปล่าๆ นั่นคือโชควาสนาที่ผู้ฝึกบำเพ็ญเซียนมากมายไม่กล้าคิดฝันไปทั้งชีวิต!
เปรี้ยวแล้วๆ!
คนที่ได้ติดตามสำนักเข้ามาในเกาะมหานทีล้วนเป็นศิษย์หัวกะทิของแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ๆ
ทว่าตอนที่ศิษย์หัวกะทิจากแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นมองแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ นัยน์ตาจะมีแต่ความอิจฉาริษยาและเงียบเหงาว่างเปล่า
ตอนแรกที่ข้าเลือกแดนศักดิ์สิทธิ์ ไอ้โง่ที่ใดกันถึงบอกกับข้าว่าในดินแดนบูรพา แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แทบจะอยู่ระดับล่างสุด เป็นพวกอ่อนแอกัน
นี่เรียกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์พวกอ่อนแอรึ แดนศักดิ์สิทธิ์พวกอ่อนแอบ้านเจ้ามีแต่สัตว์ประหลาดแข็งแกร่งไร้เหตุผลตั้งแต่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ยันบุตรศักดิ์สิทธิ์เลยรึ
แดนศักดิ์สิทธิ์พวกอ่อนแอบ้านเจ้า แจกชายามบ่ายที่มีมูลค่าเท่าอาวุธวิญญาณระดับสูงสุดรึ มันใช่รึ!
คนอยู่มหานที จิตใจแตกสลายแล้ว
ประตูเทพสวรรค์ วิญญาณเทพสวรรค์ อิจฉาคนเทพสวรรค์ที่มีโชควาสนา~
พรุ่งนี้กลับไปจะลาออก อย่างมากก็ทำลายวิชาฝึกฝนใหม่ ข้าจะย้ายไปเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์!
แม้แต่เสิ่นเทียนยังไม่รู้ว่า การที่เขา ‘ใส่ปุ๋ย’ จะกระตุ้นให้คนมากมายสงสัยในชีวิต กระทั่งเกิดความคิดเหลวไหลที่จะ ‘หักหลังสำนักและอาจารย์’
แม้โลกบำเพ็ญเซียนการหักหลังสำนักและอาจารย์จะมีโทษแทบถึงตาย โอรสสวรรค์ทุกคนบ่นพึมพำว่าจะย้ายไปเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็แค่คุยโม้ไปอย่างนั้น
ทว่าน้องสาว น้องชาย หลานชายของโอรสสวรรค์พวกนี้ ก็ยังส่งไปแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้!
ครอบครัวข้าจะกอดต้นขาของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไว้แน่แล้ว!
เวลานี้คนบนเกาะมหานทีใจลอยขึ้น แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์โดดเด่นเหนือกว่าใคร!
แหล่งกำเนิดศิษย์คุณภาพดีกำลังจะหมุนม้วนเข้าใส่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ทีละระลอก นั่นคือความหวัง!
ในความอิจฉาไร้ที่สิ้นสุด ก็เริ่มมีผู้สูงศักดิ์สวรรค์มากมายเข้าไปหาศิษย์เทพสวรรค์ จะใช้อาวุธวิญญาณแลกกับชาตระหนักรู้ในมือพวกเขา
ตอนแรกของผู้สูงศักดิ์สวรรค์และผู้สูงศักดิ์โอรสสวรรค์พวกนั้นคิดว่าในศิษย์เทพสวรรค์พวกนี้มีระดับพลังส่วนใหญ่แค่เพิ่งทะลวงระดับกายทอง ระดับพลังยังอ่อนแอมาก
สำหรับพวกเขา มูลค่าของอาวุธวิญญาณระดับสูงสุดหนึ่งชิ้นสูงกว่าชาตระหนักรู้ จะต้องตอบตกลงแลกอาวุธวิญญาณอย่างว่าง่ายแน่
แต่หลังจากพวกเขาไปหาศิษย์พวกนั้นจริงๆ แล้ว ทุกคนต่างพากันตะลึงงัน
“อาวุธวิญญาณระดับสูงก็คิดจะแลกกับชาตระหนักรู้ที่ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ให้มารึ ขออภัย ชาตระหนักรู้มีราคา แต่การอุปถัมภ์ของศิษย์พี่ประเมินค่าไม่ได้!”
“เสวี่ยเอ๋อร์ ถึงเราจะเล่นกันมาตั้งแต่เล็กๆ ข้าตามเกี้ยวเจ้ามาตั้งแต่เยาว์วัย แต่ก็ขอโทษด้วย ข้ามอบชีวิตให้เจ้าได้ แต่ข้าให้ชาตระหนักรู้ไม่ได้ ครั้งนี้ ข้าขอไม่เอาใจเจ้า!”
“ผู้อาวุโส ข้าบอกแล้วว่าไม่แลก ท่านไปหาศิษย์คนอื่นเถอะ! อย่าว่าแต่แบ่งครึ่งเดียวเลย หยดเดียวข้าก็ทำใจให้ไม่ได้!”
“ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์คือบุตรแห่งโชคที่แกร่งที่สุดในห้าดินแดน โชคลิขิตที่เขามอบให้ย่อมมีโชควาสนาสูงสุด คนโง่เท่านั้นที่จะขายมันให้กับคนอื่น!”
“ได้ยินศิษย์พี่หลิวไท่อี่กับซ่งฟู้กุ้ยบอกว่าตั้งแต่พวกเขาติดตามศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์มาก็ราบรื่นมาตลอด กว่าจะได้โชควาสนาจากบุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ง่ายๆ เอาอะไรมาข้าก็ไม่แลกทั้งนั้น!”
“อยากได้ชาตระหนักรู้รึ ต้องเพิ่มเงิน อาวุธวิญญาณระดับสูงสุดยังไม่พอ! แซ่ซ่งต้องการ…อาวุธอริยะ!”
…….
ท่ามกลางการเจรจาอันวุ่นวาย ผู้สูงศักดิ์สวรรค์และผู้สูงศักดิ์รวมถึงโอรสสวรรค์แก่นพลังทองจากขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลาย ต่างโมโหศิษย์เทพสวรรค์พวกนี้จนหัวตั้ง
อะไรคือชาตระหนักรู้ที่ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์มอบให้มีโชควาสนา เพิ่มดวงชะตาได้ เจ้าล้อเล่นอะไรกัน!
และยังมีเจ้าจะเอาอาวุธอริยะอีก เหตุใดเจ้าไม่ร้องจะเอาอาวุธเซียนไปเลยล่ะ!
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ยังคงนั่งตระหนักมรรคอยู่หน้าศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรคอย่างมั่นคง อีกทั้งปรากฏการณ์ดวงตะวันที่ห้าค่อยๆ ก่อรูปขึ้นมา ดูเหมือนกำลังรบจะทะลุปรอทละก็ เช่นนั้นตอนนี้ผู้สูงศักดิ์สวรรค์พวกนั้นคงจะเริ่มลงมือทุบตีคนแล้ว
ไอ้ลูกโสเภณีศิษย์เทพสวรรค์พวกนี้ ใจดำเสียจนไร้สหาย ชาตระหนักถ้วยเดียวไฉนเจ้าต้องทำถึงขนาดนี้!
สุดท้ายชาตระหนักรู้ที่กุ้ยกงกงแบ่งให้ศิษย์เทพสวรรค์ไปเกือบร้อยถ้วย มีไม่ถึงห้าถ้วยที่ถูกเปลี่ยนมือไป
และห้าถ้วยนี้ ศิษย์เทพสวรรค์จะมอบให้ญาติพี่น้อง คู่ครอง ไม่ได้เพื่อแลกผลประโยชน์
เก้าสิบกว่าถ้วยที่เหลือ ศิษย์เทพสวรรค์ดื่มเองทั้งหมด จากนั้นทุกคนพากันนั่งตระหนักมรรคหน้าศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรค กลิ่นอายพลังของศิษย์ทุกคนกำลังแกร่งขึ้น
เมื่อเห็นดังนั้น เสิ่นเทียนก็ปลื้มใจ ทั้งยังปลงอนิจจังเล็กน้อย
ข้ามอบชาตระหนักรู้ให้พวกเจ้า ก็เพื่อใส่ปุ๋ยผักกุยช่าย น้ำปุ๋ยไม่ไหลไปนาคนอื่น
เจ้าซื่อบื้อพวกนี้เพิ่มดวงชะตาขึ้นมาแล้ว ก็ขายชาตระหนักรู้พวกนี้ให้ไอ้ซื่อบื้อจากแดนศักดิ์สิทธิ์อื่น แลกอาวุธวิญญาณระดับสูงสุดมาสิ!
อย่างมากหลังแลกแล้ว ข้าค่อยต้มให้พวกเจ้าอีกก็ได้!
แต่ละคนนี่นะ เห็นๆ ว่ามีสมบัติให้แลกไม่รู้จักแลก ทำให้ข้าห่อเหี่ยวเหลือเกิน!
ก็ได้ ถึงจะหมดคำจะพูด!
แต่เห็นศิษย์ในสำนักสนับสนุนตนเช่นนี้ เสิ่นเทียนก็รู้สึกอบอุ่นในใจจริงๆ นี่น่าจะเป็นความรู้สึกของครอบครัวอย่างที่อาจารย์เคยบอกกระมัง!
ศิษย์กุยช่ายซื่อบื้อพวกนี้สนับสนุนและไว้ใจข้าเช่นนี้ ข้าก็คงมีภารกิจต้องคุ้มกันให้พวกเขาเติบใหญ่แข็งแรงขึ้นแล้ว
ตอนนี้เสิ่นเทียนเหมือนเกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านจิตใจเล็กน้อย
……
เสิ่นเทียนมองศิลาจักรพรรดิที่มีคนมากมายรายล้อมนั้นพลางแอบพยักหน้า
เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ควรได้ไปพอประมาณแล้ว ถึงเวลาที่ข้าต้องไปตระหนักศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรคนี่บ้างแล้ว
ถึงอย่างไรแม้วิชาจักรพรรดิจะมีแต่แบบนั้น แต่มีวิชาจักรพรรดิไว้เยอะๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
ฝึกปรากฏการณ์เพิ่มมาอีกสักอย่างก็ไม่เสียหาย!
เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนก็เดินไปทางศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรคช้าๆ ก้าวเข้าไปในเขตใจกลางสุดที่เหล่าผู้อริยะนั่งกันอยู่ทีละก้าว
อำนาจคุกคามของเขตแดนอริยะยิ่งใหญ่พลันถาโถมใส่เสิ่นเทียน นี่คืออำนาจอริยะที่แผ่มาโดยจิตใต้สำนึกตอนตระหนักมรรคของผู้อริยะ แฝงไว้ด้วยพลังอริยะส่วนหนึ่ง
ต่อให้เป็นระดับผู้สูงศักดิ์สวรรค์ก็ยากจะสงบนิ่งในอำนาจอริยะเช่นนี้ได้ ปกติจะถูกบีบออกมากระทั่งบาดเจ็บสาหัส
เมื่อเห็นเสิ่นเทียนเดินเข้าไปในเขตแดนของเหล่าผู้อริยะจริงๆ แล้ว ทุกคนถึงกับเบิกตาโต
จะว่าไป เหมือนว่าตัวบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เองยังไม่ได้ดื่มชาเลย!
ไม่ดื่มชาแต่คิดจะเข้าไปตระหนักคัมภีร์จักรพรรดิสุริยัน ทั้งยังจะตระหนักมรรคกับเหล่าผู้อริยะ
บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์คนนี้ บ้าคลั่งเกินไปแล้วกระมัง!
……………………..