ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 31 ร่างแท้จริง

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

“หากเจ้าต้องการช่วยสหายเจ้า ก็ต้องไปหาร่างจริงจิ้งจอกม่วงก่อน ไม่เช่นนั้นวิชาเซียนทั้งหลายล้วนไม่มีผลกับนาง”

 

 

ถิงหนูเข็นเก้าอี้ ถึงกับเร็วไม่ช้า เร่งขึ้นมาเคียงข้างเสวียนจีได้

 

 

เสวียนจีคิดถึงตอนอยู่ในโถงที่ตำหนักเมื่อครู่ เหตุใดกระบี่นางจึงแทงไม่โดนนางจิ้งจอกม่วง นางราวกับหมอกควัน ลอยล่องไปมา

 

 

“เช่นนั้น ร่างจริงอยู่ที่ใด”

 

 

ถิงหนูคิดไปมา “จิ้งจอกม่วงแต่ไรมาก็เจ้าเล่ห์ ร่างจริงต้องเก็บซ่อนอย่างดี นางต้องไม่ปล่อยไว้ในที่ธรรมดา พวกเราไปหาที่หอไท่จี๋ แปดเก้าส่วนต้องอยู่ที่นั่นแน่”

 

 

หอไท่จี๋คือที่ใดอีกล่ะ เสวียนจีมองเขาอย่างไร้หนทาง รังปีศาจวกวนวุ่นวายจริงๆ

 

 

“หอไท่จี๋ตั้งอยู่ที่จุดปักโซ่หมุดทะเล” เขาชี้ไปบนศีรษะ “อยู่ด้านบนสุด”

 

 

เสวียนจีอยากจะถามว่าโซ่หมุดทะเลนี่มันอะไรอีก นางราวกับไม่รู้อันใด ไม่เคยแม้แต่ได้ยิน แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลามาคุยเล่นกันจริงๆ ได้แต่หุบปากแน่น มุ่งมั่นเดินต่อไป

 

 

ถ้ำนี้ไม่ใหญ่ เดินไปถึงต้นทางอย่างรวดเร็ว กลับมาถึงเส้นทางลับอีกทางหนึ่ง ราวกับถิงหนูมองเห็นในความมืดชัดแม้ไม่ต้องจุดไฟ ชี้ไปที่ด้านซ้ายบนของเชิงเทียน กล่าวว่า “จุดอันนี้ มีทางลัดไปหอไท่จี๋”

 

 

เสวียนจีใช้หินไฟจุดไฟขึ้น ดังคาด ด้านขวาเปิดช่องออกทางหนึ่ง ลมเย็นพัดหวีดหวิว ด้านในเหมือนเป็นที่กว้างขนาดใหญ่

 

 

นางเข็นถิงหนูเข้าไป เห็นด้านในมีแสงเทียนสองข้างทางสว่างวูบไหว ตลอดทางยาวไปสุดทาง ใต้ฝ่าเท้ามีเพียงเส้นทางขนาดกว้างสามฉื่อ ยังเป็นขั้นบันไดไม่ราบเรียบ ด้านล่างบันไดเป็นพื้นที่มืดที่กางนิ้วทั้งห้าออกก็มองไม่เห็น คิดว่าน่าจะเป็นส่วนด้านในของภูเขาที่ถูกขุด ก็ไม่รู้ว่าลึกเท่าไร แต่หากตกลงไปคงต้องตายแน่

 

 

รถเข็นถิงหนูไม่มีทางขึ้นไปได้ เสวียนจีได้แต่แบกเขาขึ้นหลัง อีกมือยกรถเข็น ปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว รอบๆ มีลมพัดหอบมาสายหนึ่ง เย็นราวน้ำแข็ง ราวกับยังมีกลิ่นเน่าลอยมาด้วย ทำเอาขนลุกชัน

 

 

เงือกบนหลังค่อยแนบตัวเขาเข้าลำคอด้านหลังนาง ผมยังคงเปียกชื้น มีไอเย็นกำจายสายหนึ่ง

 

 

เป็นนาน เขาพลันกล่าวว่า “หมวกเกราะเมฆาม่วง เกราะทองคำ เงือกตัวหนึ่งในสระสวรรค์นั้น…เจ้ายังจำได้ไหม”

 

 

เสวียนจีกำลังวิ่งขึ้น เหงื่อผุดเต็มหน้า ส่ายหน้าหอบหายใจว่า “ไม่เคยได้ยิน หมวกเกราะอะไร สระสวรรค์ ไม่ใช่อยู่บนสวรรค์หรือ”

 

 

ถิงหนูอดเงียบลงไม่ได้ โอย นางถึงกับลืมหมดสิ้น ลืมไปหมดเลย ไม่ว่าเรื่องเสียใจ หรือเรื่องโกรธแค้น ไม่ว่าเจ็บปวดใจหรือว่าขุ่นเคือง อัดอั้นหรือว่าอบอุ่นล้วนลืมไปหมดสิ้น ลืมสิ้นทุกสิ่งอย่างไม่มีเหลือ

 

 

“ไม่มีอันใด จริงๆ แล้ว…ลืมไปก็ดี” เขากล่าวเบาๆ

 

 

เสวียนจีเงียบอยู่เป็นนาน พลันกล่าวว่า “แม้ว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดอะไร แต่…ข้าราวกับรู้สึกว่านานมาแล้วเคยรู้จักเจ้า เจ้าทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคยมาก สนิทใจมาก”

 

 

ถิงหนูไม่กล่าวอันใด

 

 

 

 

*******

 

 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกเหมือนมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายไปเสียเลย ตอนนี้ไม่อาจส่งเสียงพูด ไม่อาจขยับร่างกาย แค้นใจจนแทบจะถลกหนังถอดเนื้อออกให้หมด

 

 

เขากัดฟันอดทน ถูกมือจิ้งจอกม่วงที่นุ่มราวไร้กระดูก ค่อยๆ ปลดเข็มขัดออก

 

 

เอาเถอะ คงต้องถูกนางทำลายแล้ว เขารู้สึกชาวาบไปทั้งตัว กำลังคิดละทิ้งความคิดต่อต้าน พลันได้ยินเสียงจงหมิ่นเหยียนที่นอนอยู่ด้านนอกกล่าวว่า “จิ้งจอกควรตาย! ไม่รู้จักอาย! ฝึกวิชาชั้นต่ำเช่นนี้! แม้ว่าสำเร็จก็ขอให้ร่างกายเจ้าแหลกเหลวเป็นน้ำ ไม่อาจเป็นเซียนได้ตลอดไป!”

 

 

ในใจอวี่ซือเฟิ่งอัดแน่น ในเวลากระชั้นชิดความคิดยังคงกระจ่างชัดหลายส่วน รีบฝืนทนอย่างยากลำบากต่อ ไม่ให้มนต์มายานางทำให้ใจเคลิบเคลิ้ม

 

 

จิ้งจอกม่วงหัวเราะคิกคักกล่าวว่า “ชายชาตรีตะโกนด่าสตรีตัวน้อยเช่นข้า ไพเราะมาก ผู้ใดบอกเจ้าว่าข้าต้องการสำเร็จผลเป็นเซียน?”

 

 

จงหมิ่นเหยียนเดิมก็คิดจะด่านางเพื่อยืดเวลา เห็นนางถึงกับต่อปากต่อคำ ในใจยินดีแทบคลั่ง ยามนั้นด่าต่อว่า “ที่ข้าด่าก็คือเจ้า นังปีศาจหน้าไม่อาย! ผู้ใดสนใจว่าเจ้าสำเร็จผลเป็นเซียนไหมกัน! ข้ารู้แต่เจ้าฝึกวิชานี้ วันหน้าไม่ได้ตายดีแน่ ตายไปตกนรกดึงลิ้นไม่ได้ผุดได้เกิดตลอดไป…”

 

 

เขากำลังด่าเมามัน ยังด่าไม่ทันจบ คางก็ถูกนางจิ้งจอกม่วงบีบแน่น นางหรี่ตามองด้านบน ไฟดับวูบ แสงในดวงตาเปล่งประกายสีเขียวเข้มราวกับสัตว์ป่า ในใจจงหมิ่นเหยียนสะดุ้งวาบ วาจาด่าทออัดแน่นในอกไม่รู้หายไปไหนหมด

 

 

“นรกดึงลิ้น…เจ้าคิดว่าโลกมนุษย์ไม่ใช่นรก?” นางกล่าวอย่างเจ็บแค้น “เจ้าหุบปาก ไม่เช่นนั้นข้าจะละเมิดกฎ สังหารเจ้าทิ้งทันที!”

 

 

จงหมิ่นเหยียนโมโหแทบระเบิด ทำอย่างไรได้ ยามนี้เขาเปล่งพลังวัตรไม่ออก รอถูกเชือดเหมือนแกะน้อย ได้แต่เชื่อฟังแต่โดยดี

 

 

จิ้งจอกม่วงปล่อยเขา กำลังจะหันกลับเข้าไป พลันรู้สึกหนาวเยือกด้านหลัง ความรู้สึกหวาดกลัวหนึ่งกระแทกใจนาง

 

 

มีคนกำลังมองนาง!

 

 

นางสะดุ้งหันกลับไป เห็นแสงสีเงินหนึ่งวาบผ่านไป พริบตาก็ไร้เงา

 

 

มายา? หรือว่าของจริง?

 

 

ในใจจิ้งจอกม่วงพลันเริ่มรู้สึกถึงลางร้าย ร่างจริงนางอยู่กับสิ่งนั้น หากถูกคนรู้เข้า เช่นนั้นทุกอย่างย่อมจบสิ้น แต่คนถูกนางจับตัวมาแล้ว ยังมีผู้ใดอีก พวกเขายังมีกองหนุนอีกหรือ หรือว่า…

 

 

แม่นางน้อยนั่น!

 

 

ในใจนางกรีดร้องอย่างคับแค้น ตอนแรกไม่ควรปล่อยนางไปเลย!

 

 

จงหมิ่นเหยียนเห็นนางลุกขึ้นเดินราวกับมีเรื่องร้อนใจ อ้าปากคิดจะกล่าวยั่วโมโหนางสักหน่อย พลันคิดถึงว่าหากนางอยู่ต่อ ผลร้ายมากยิ่งกว่า จึงได้กัดลิ้นยั้งไว้ รอให้นางออกจากห้องไป จึงได้ฝืนตัวลุกนั่งเลิกม่านออก เห็นหรูอี้กับอวี่ซือเฟิ่งยังนอนอยู่ด้านในเรียบร้อยดี มีเพียงเสื้อตัวนอกอวี่ซือเฟิ่งที่ถูกแหวกออก เผยให้เห็นเสื้อตัวในสีขาว คิดว่าเรื่องนั้นยังไม่ทันได้ทำ

 

 

เขาลอบถอนใจโล่งอก กล่าวว่า “ยังดี…จิ้งจอกนั่นอยู่ๆ จากไป พี่น้อง พวกเรารีบหนีกันเถอะ”

 

 

 

 

********

 

 

 

 

ที่เรียกว่าหอไท่จี๋ก็แค่หอเล็กๆ สร้างอยู่ชั้นบนสุด ตลอดทางมาเสวียนจีก็แบกถิงหนูวิ่งมา เข้าประตูมาได้ก็แทบหมดแรง ล้มลงนอนแผ่หลากับพื้นทันที ฝืนกล่าวว่า “ถิง…ถิงหนู เจ้าดูซิ…ร่างจริงอยู่ที่นี่…”

 

 

ถิงหนูเข็นเก้าอี้ไปมองรอบทิศ หันกลับมายิ้มกล่าวว่า “อยู่ เจ้าลุกขึ้นก็เห็น”

 

 

เสวียนจีได้ยินก็ดีใจ ดิ้นรนตะกายขึ้นมา ดังคาด เห็นมุมหนึ่งมีตู้ใสครึ่งใบ สีเขียวมรกตอ่อนๆ ราวกับใช้หยกแกะสลักออกมา ในนั้นมีจิ้งจอกยาวราวครึ่งร่างของมนุษย์นอนขดตัวนิ่งอยู่ตัวหนึ่ง ขนสีม่วงเข้ม เหมือนว่ากำลังหลับ ราวกับว่าหากใช้มือตบเบาๆ มันจะตื่นขึ้นมากระดิกหางให้กับคนส่งเสียงร้องเรียก

 

 

นางชักกระบี่ออกมา เดินก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทำลายตู้หยกที่มีค่าควรเมืองนั่นทิ้ง ยกมือคว้าจิ้งจอกจะสังหารทิ้ง

 

 

ถิงหนูพลันกล่าวเบาๆ ว่า “อย่าสังหารนาง สรรพสิ่งกลายเป็นมนุษย์ไม่ง่าย เปิดทางรอดให้นางเถอะ”

 

 

เสวียนจีส่ายหน้า “ไม่ได้ นางทำความชั่ว ต้องตาย”

 

 

ถิงหนูยิ้มเฝื่อน พึมพำกล่าวว่า “เจ้า…เหมือนเมื่อก่อน…”

 

 

“อันใด” เสวียนจีฟังไม่ชัด เงือกนี่งึมงำคนเดียว ราวกับมีความลับนับไม่ถ้วนที่ไม่ยอมกล่าว น่าอัดอั้นแท้

 

 

“ไม่มีอันใด…เจ้าดูนี่ก่อน”

 

 

ถิงหนูชี้ไปด้านหลังนาง เสวียนจีหันกลับไปมองเห็นบนกำแพงมีโซ่เหล็กดำเส้นหนึ่ง สีดำมันปลาบ รอบโซ่เหล็กล้วนเป็นยันต์ประหลาดติดเป็นวงรอบกำแพง โซ่เหล็กนั่นทิ้งตัวลงพื้น ลากเป็นทางยาว มุมกำแพงเปิดรูช่องไว้รูหนึ่ง โซ่เหล็กทิ้งตัวลงไปในนั้น ไม่รู้ลึกเพียงใด

 

 

“นี่คืออันใด” เสวียนจีเดินเข้าไปคลำดู เป็นเพียงโซ่เหล็กที่ดูแล้วเรียวบาง จับในมือถึงกับน้ำหนักหนักมาก ราวกับทำจากเหล็กนิลในตำนาน

 

 

ถิงหนูกล่าวเบาๆ ว่า “นี่ก็คือโซ่หมุดทะเล ใต้หล้าแปดทิศล้วนมีเช่นนี้หนึ่งเส้น ใช้เพื่อจองจำมารปีศาจที่มีชื่อเสียงไว้ตนหนึ่ง”

 

 

หยุดไปครู่หนึ่ง กล่าวต่อว่า “แต่ไรมาไม่มีปีศาจละทิ้งความต้องการที่จะช่วยเขา ข้าเดาว่า ตลอดทางมานี้พวกเจ้าคงต้องเจอกับปีศาจที่คิดช่วยเขากระมัง”

 

 

เสวียนจีพลันนึกถึงเรื่องนกฉวีหรูที่เขาไห่หวั่น และปีศาจที่ยังไม่เหมือนคนดีตนนั้น ลังเลพยักหน้า “เจอ…เจอเข้าที่หมู่บ้านวั่งเซียน…”

 

 

ถิงหนูกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “หมู่บ้านวั่งเซียนตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ โซ่หมุดในทิศทั้งแปดทิศหนึ่งก็อยู่ที่เชิงเขานั้น เขาเกาซื่อซานตั้งอยู่ทางตะวันออก ก็เป็นโซ่หมุดที่สอง ก็คือเส้นนี้