กลลวง นายสุดเท่ห์ ชาร์ลี เวธ บทที่ 346

กลับกลายเป็นว่าผู้ชายที่เวนดี้กำลังคล้องแขนอยู่นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นประธานบริษัทในอีสต์คลิฟฟ์ ซึ่งเป็นระดับมหาชนจำกัด หรือในอีกความหมายก็คือ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้นเอง!

ไม่เพียงแค่นั้น นามสกุลของอีกฝ่ายยังเป็นวิลสันด้วย? เขาเป็นญาติของพวกเขาอย่างนั้นหรือ?

ชาร์ลีอดไม่ได้ที่จะถามแคลร์ออกไปว่า “ที่รัก คุณรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลวิลสันกับคนที่ชื่อ เคนเน็ธ วิลสัน คนนี้หรือเปล่า เขาเป็นญาติห่าง ๆ ใช่ไหมครับ?”

“ฉันไม่รู้เลยค่ะ… ” แคลร์ตอบกลับไป ก่อนจะพูดต่ออีกว่า “ฉันไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนเลย… ”

“มันแปลกมาก… ” ชาร์ลีพึมพำ “โดยปกติแล้วประธานบริษัทมหาชน ที่มีมูลค่าตลาดหลายหมื่นล้านดอลลาร์ จะไม่มาปะปนกับคนที่มีฐานะต่ำต้อย เช่นตระกูลวิลสันหรอก นับประสาอะไรกับคนแบบเวนดี้ คุณคิดว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมหรือเปล่า?”

แคลร์ รีบตอบกลับไปทันทีว่า “อย่าพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้นะคะ! ผู้ชายคนนั้นดูแก่กว่าลุงของฉันอีก! พวกเขาจะทำผิดประเพณีเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?”

ในเวลานี้ เวนดี้มีความสุขและตื่นเต้นมาก ขณะที่เธอถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย ในที่สุด เธอก็ได้อยู่ในท่ามกลางความสนใจ!

เคนเน็ธที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ ไม่เพียงแต่เป็นประธานของบริษัทมหาชนเท่านั้น แต่เขายังเป็นประธานหอการค้าอีกด้วย! นักธุรกิจทั้งหมดที่มารวมตัวกันที่นี่ในวันนี้ โดยธรรมชาติแล้วต้องการที่จะใกล้ชิดกับพวกเขามากขึ้น เพื่อที่พวกเขาจะได้รับความโปรดปรานจากชายวัยกลางคนนี้

เมื่อเคนเน็ธแนะนำเวนดี้ให้ผู้คนได้รู้จัก เขาก็ได้แนะนำเธอในฐานะหลานสาวของเขา และเป็นทายาทในอนาคตของตระกูลวิลสันอีกด้วย และในเวลาเดียวกัน เคนเน็ธยังได้เริ่มที่จะประกาศว่าเขาได้ลงทุนใน วิลสัน กรุ๊ป แล้ว ทันใดนั้น ผู้คนทั้งหมดต่างก็สุภาพและให้ความเคารพต่อเวนดี้เป็นอย่างมาก

แม้แต่คนที่ไม่ใส่ใจเกี่ยวกับตระกูล วิลสัน ในอดีต ก็เสนอที่จะร่วมมือกับ วิลสัน กรุ๊ป ด้วย เพราะพวกเขาต้องการสร้างความพึงพอใจให้กับเคนเน็ธ พวกเขาแลกเปลี่ยนนามบัตรและหมายเลขโทรศัพท์กับเวนดี้อย่างรวดเร็ว โดยหวังว่าพวกเขาจะสามารถร่วมมือและทำงานร่วมกับเธอได้

เวนดี้รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะในที่สุด เธอก็เข้าใจว่า ผู้คนในสังคมชนชั้นสูงที่ได้รับการปฏิบัติจากสาธารณชนนั้นรู้สึกอย่างไรกัน และในที่สุด เธอก็เข้าถึงการมีอำนาจนั้นว่าเป็นอย่างไร

ในอดีต ทุกคนเคยดูถูกตระกูลวิลสัน แต่หลังจากที่เธอตัดสินใจที่จะเกาะเคนเน็ธแล้ว เวนดี้ก็กลายเป็นบุคคลที่ทุกคนต้องการร่วมมือและทำงานด้วยในอุตสาหกรรมการปรับปรุงและตกแต่งใหม่ในทันที

ตอนนี้เวนดี้ได้รู้แล้วว่าทุกคนต่างก็เป็นพวกวัตถุนิยมเท่านั้น!

ในตอนนี้ เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงแคลร์ แคลร์คงไม่คิดว่าเธอจะยอดเยี่ยมได้ขนาดนี้? แคลร์จะไม่สามารถหัวเราะเยาะเธอได้อีก เพียงเพราะตระกูลไวท์ยกเลิกการหมั้นของเธอกับเจอรัลด์? ตอนนี้เธอไม่ได้แค่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเคนเน็ธที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากขึ้นเท่านั้น แต่เธอยังได้เป็นผู้อำนวยการ วิลสัน กรุ๊ป อีกด้วย! แม้แต่คุณย่าของเธอเองยังต้องปฏิบัติต่อเธอด้วยความเคารพ! แคลร์จะมาเทียบกับเธอได้อย่างไรกัน?

เมื่อเวนดี้ คิดถึงเรื่องนี้ เธอก็รู้ว่าแคลร์จะต้องเข้าร่วมการประชุมสุดยอดของอุตสาหกรรมนี้ด้วยเนื่องจากเธอเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ และเพิ่งเปิดสตูดิโอของตัวเองไป! เธอเริ่มสงสัยว่า แคลร์จะอยู่ที่นี่แล้วหรือยัง

ดังนั้น เธอจึงเขย่งเท้าก่อนที่จะมองไปรอบ ๆ ผู้คนเพื่อมองหาแคลร์

อย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด! ทันใดนั้น ร่างที่สวยงามมากก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา!

ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก แคลร์!

ยิ่งไปกว่านั้น เศษขยะชิ้นนั้น ชาร์ลีก็อยู่กับแคลร์ด้วย!

เวนดี้กัดฟันอย่างขมขื่น

ในวันนี้ เธอจะสอนบทเรียนให้กับแคลร์ และเธอจะทำให้แคลร์ได้อับอายเหมือนกับที่เธอเคยอับอายมาก่อน!

ขณะที่เธอคิดเรื่องนี้ เวนดี้ก็คว้าแขนของเคนเน็ธ ก่อนที่เธอจะพูดไปว่า “ลูกพี่ลูกน้องของฉันและสามีที่ไร้ประโยชน์ของเธอก็อยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน ทำไมเราไม่ไปทักทายพวกเขาหน่อยล่ะคะ?”

เคนเน็ธพยักหน้าก่อนที่เขาจะพูดไปว่า “เวนดี้ เนื่องจากทั้งสองคนดูถูกและทำให้คุณอับอายมากในอดีต ในวันนี้ผมจะทำให้แน่ใจ ว่าพวกเขาได้รับการชดใช้อย่างสาสมกับกระทำของพวกเขา!”

เวนดี้รู้สึกสะเทือนใจมากและเธอก็โพล่งออกมาทันที “เคนเน็ธ คุณใจดีกับฉันมากเลยค่ะ… ”

เคนเน็ธยิ้มเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดไปว่า “การที่ผมปฏิบัติต่อคุณอย่างดีเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ?”

หลังจากนั้นเคนเน็ธ ก็พูดแบบเยาะเย้ยไปว่า “ลูกพี่ลูกน้องของคุณกับเศษขยะที่คุณกำลังพูดถึง อยู่ที่ไหนล่ะ? พาผมไปพบพวกเขาตอนนี้เลย! ผมจะสอนบทเรียนให้กับพวกเขาในวันนี้ เพื่อให้พวกเขาได้รู้ว่า ในอนาคตพวกเขาควรจะประพฤติตัวอย่างไร ผมจะทำให้แน่ใจว่าทุกคนในหอการค้าได้ขึ้นบัญชีดำพวกเขาในวันนี้! ใครกันที่กล้ารังแกผู้หญิงของผม?! ผมคิดว่าพวกเขาคงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วล่ะ!”