บทที่ 54 อย่าคิดมากเกินไป โดย Ink Stone_Romance
แม้รู้นานแล้วว่าองครักษ์เสื้อแพรหน้าไม่อาย แต่เวลานี้ได้สัมผัสกับตนเองยังคงทำให้คนหงุดหงิด
“นี่เป็นสุนัขหน้าย่นชัดๆ เลย” เฉินชีเอ่ย “ตีไม่ไป ด่าไม่ไป คนน่ารังเกียจ”
“ใช่แล้ว เป็นคนน่ารังเกียจนี่นะ” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย
“ไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีใครสนเขา” เฉินชีตบโต๊ะเอ่ย “นี่รังแกคนเกินไปแล้วจริงๆ ฟ้องเขาเถอะ”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะแล้ว
“ฟ้องอะไรเล่า พวกเราไม่ใช่มีราชโองการรึ?” เขาเอ่ย
“จริงด้วย หยิบราชโองการไปบอกลู่อวิ๋นฉี ไม่อนุญาตให้มาเยือนอีก” เฉินชีเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าทายสิเขาฟังหรือไม่ฟัง?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มเอ่ย “ไม่ให้เขามาเยือนประตู เขายังคงใช้วิธีอื่นตอแย”
กระทั่งราชโองการยังไม่ฟังรึ?
เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วมองไปทางผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว
“หากเขาไม่ฟัง ให้ใครมาจับเขาเล่า?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยถาม “ราชสำนักนี่มีใครทำได้หรือกล้ามาจับเขาหรือ?”
ก็ใช่ คนอื่นหลบยังแทบไม่ทัน
เฉินชีขมวดคิ้ว
“ยังมีฮ่องเต้ไง ฮ่องเต้จะไม่สนหรือ?” เขาเอ่ย “ไม่ผิด ไปฟ้องหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ คุณหนูของพวกเราสร้างยาป้องกันฝีขึ้นมา แก้ความทุกข์ของปวงประชาพันหมื่นเชียวนะ”
“ดังนั้นแล้ว? ฮ่องเต้ไม่ลงโทษเขา… คุณหนูจะหยุดให้ยาป้องกันฝีกับประชาชนรึ?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย
เฉินชีนิ่งไป
“นั่นย่อมไม่ได้” เขาเอ่ย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วแบมือ
“ดังนั้นมีประโยชน์อันใดอีก” เขาเอ่ย “ลู่อวิ่นฉีคนฐานะเช่นนี้ เรื่องที่ทำ เจ้าคิดว่าฮ่องเต้จะไม่รู้หรือ?”
สีหน้าเฉินชียิ่งยากปิดบังความโกรธ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีวิธีแล้ว?” เขาเอ่ย หยิบราชโองการในอกเสื้อออกมาวางบนโต๊ะ “ราชโองการนี่ก็ไร้ประโยชน์?”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองดูราชโองการแล้วยิ้ม
“แน่นอนมีประโยชน์” เขาเอ่ย “เพียงแต่ไม่อาจใช้เช่นนี้”
“ถ้าอย่างนั้นจะใช้อย่างไร” เฉียชีเอ่ยถาม
“ไปสังหารลู่อวิ๋นฉีเสีย หลังจากนั้นเอาราชโองการออกมา” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย “รักษาชีวิต”
เสียงของเขาเพิ่งจบ ด้านนอกประตูก็มีคนเดินเข้ามา ชุดปลาบินดาบปักวสันต์หน้าถมึงทึง ทำให้โรงหมอจิ่วหลิงท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิฉับพลันมืดหม่น เฉินชีก็ตกใจกลัวสะดุ้ง กระโดดขึ้นมาจริงๆ
คนผู้นี้ไม่ใช่ลู่อวิ๋นฉี แล้วก็ไม่ได้ยกสินสอดที่เพิ่งถูกโยนกลับไปมา
เขามองเฉินชีทีหนึ่ง เฉินชีก็ผ่อนลมหายใจ โทษคำพูดนั่นของผู้ดูแลใหญ่หลิ่วทำให้กลัวจนเสียกิริยา
“เจ้ามาทำอะไร?” เขาเอ่ยถาม
“เชิญคุณหนูจวิน” องค์รักษ์เสื้อแพรเอ่ย
“เชิญคุณหนูของข้าไปทำอะไร?” เฉินชีเอ่ยถาม
นี่คือจะชิงคนซึ่งหน้าหรือ?
เขายื่นมือหยิบราชโองการบนโต๊ะ
ราชโองการนั่นจะได้ใช้แล้ว
องครักษ์เสื้อแพรไม่ได้เอ่ยตอบ คุณหนูจวินเดินออกมาจากเรือนด้านใน ในมือหิ้วหีบยา
“ไปวังไหวอ๋องตรวจซ้ำสินะ” นางเอ่ย
องครักษ์เสื้อแพรขานรับหมุนตัวเดินออกไป
“ยังต้องไปตรวจซ้ำหรือ?” เฉินชีเอ่ย “เวลานี้แล้ว…”
คุณหนูจวินมองหีบยาในมือ
“เวลาไหนก็ต้องไปนี่” นางเอ่ย
แต่เวลานี้ไม่สะดวกจริงๆ
“คุณหนูจวิน ไม่สู้ให้ท่านหมอเฒ่าเฝิงไปเถอะ” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย
แม้เรื่องที่ไหวอ๋องไม่ได้เป็นฝีดาษคุณหนูจวินไม่เคยบอกตรงๆ กับเขา แต่ผ่านเรื่องฝีดาษครั้งนี้ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วในใจก็เข้าใจว่าไหวอ๋องไม่เคยเป็นฝีดาษ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้บอกว่าตรวจซ้ำย่อมต้องเป็นการปลูกฝี
คุณหนูจวินมองด้านนอก
“เวลานี้ลู่อวิ๋นฉีต้องอยู่ที่วังไหวอ๋องแน่” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นก็พอดี ข้าก็กำลังอยากคุยกับเขาสักหน่อย” คุณหนูจวินเอ่ย “เรื่องราวไม่ชัดเจนเช่นนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีแก้ไข”
เช่นนี้หรือ?
เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสบตากันทีหนึ่ง
“คุยกับคนบ้าเช่นนั้นเข้าใจหรือ?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย
คุณหนูจวินหัวเราะ
“ลองคุยดูเถอะ” นางว่า “ทุกเรื่องต้องลองถึงจะรู้
ฟางจิ่นซิ่วคิดถึงตอนแรกที่หอจิ้นอวิ๋น เผชิญหน้ากับอาลักษณ์หลินที่บุตรสาวถูกทำลายชื่อเสียงความบริสุทธิ์โกรธจนลุกเต้นประหนึ่งอัสนีบาต นางอยู่ดีๆ ก็พูดว่าต้องการคุยตามลำพังกับอาลักษณ์หลินเช่นกัน
ในสถานการณ์เช่นนั้นการทำเช่นนี้ดูแล้วล้วนเป็นการกระทำที่เสียสติบ้าไปแล้วอย่างสิ้นเชิง แต่เหนือความคาดคิดทำให้อาลักษณ์หลินเปลี่ยนท่าทีได้
คิดถึงตรงนี้ ฟางจิ่นซิ่วก็พยักหน้า
“เจ้าไปเถอะ” นางเอ่ย “คุยดีๆ”
คุณหนูจวินรู้ความหมายของฟางจิ่นซิ่ว เพียงแต่ว่าครั้งนี้เกรงว่าคงทำให้นางผิดหวังแล้ว อย่างไรลู่อวิ๋นฉีย่อมไม่ใช่อาลักษณ์หลิน แต่นางไม่อาจเผยอารมณ์วิตกกังวลออกไปได้ ไม่ให้คนเหล่านี้ยิ่งเป็นห่วง
คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้าให้ทุกคน เดินออกจากโรงหมอจิ่วหลิง แต่ไม่ได้นั่งรถม้าที่องครักษ์เสื้อแพรนำมา แต่นั่งของโรงหมอจิ่วหลิง
ชาวบ้านที่มุงดูอยู่บนถนนไม่น้อย มองเห็นคุณหนูจวินนั่งรถม้าของตนเอง ไม่ใช่ขององครักษ์เสื้อแพร ก็ตามพวกเขาไปตลอดทาง มองเห็นหยุดอยู่หน้าวังไหวอ๋อง สีหน้าก็ผ่อนคลายลงนิดๆ
“ก็บอกแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ไหมเล่า”
“คุณหนูจวินไม่มีทางมีความสัมพันธ์อย่างนั้นกับหัวหน้ากองพันลู่ได้หรอก”
“ไปวังไหวอ๋อง ไม่ใช่จวนสกุลลู่”
แต่ก็มีคนแค่นเสียง
“วังไหวอ๋องกับจวนสกุลลู่ก็ไม่มีอะไรแตกต่างนี่”
“ได้ยินว่าคุณหนูจวินก็ลอบมีใจให้หัวหน้ากองพันลู่ที่วังไหวอ๋องนี่”
“ข้าว่า ตอนนี้หัวหน้ากองพันลู่ก็คงรอคุณหนูจวินอยู่ที่วังไหวอ๋อง”
…
“เจ้ามาแล้ว”
ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ด้านหน้าตำหนัก มองเด็กสาวที่เดินเข้ามา ยิ้มเอ่ย
ขันทีที่นำทางก้มศีรษะถอยออกไปเร็วไว ส่วนในตำหนักก็ไม่มีร่างของไหวอ๋อง
คุณหนูจวินหยุดเท้า
“ใต้เท้าลู่ ท่านหมายความว่าอย่างไร?” นางเอ่ยถาม
พูดไปแล้วพวกเขาก็ไม่เคยพูดจากันอย่างปกติมาก่อน
แม้ยามที่พบกันไม่น้อย แต่ลู่อวิ๋นฉีก็ไม่ใช่ลู่อวิ๋นฉีที่ชอบคุยชอบยิ้มคนนั้นที่นางรู้จักอีกแล้ว นอกจากสายตาที่มองนาง เขาแทบไม่เอ่ยปาก
และเพียงแค่เปิดปากสนทนาไม่กี่ครั้งไม่ถูกบีบคอก็ถูกกดบนต้นไม้ใหญ่
บางทีเขายิ่งมองนางยิ่งรู้สึกคุ้นเคย แต่นางยิ่งมองเขายิ่งรู้สึกแปลกหน้า
ลู่อวิ๋นฉีมองนาง
“ย่อมหมายถึงคุณหนูจวินตอนนี้ยังยอมมาหาไหวอ๋อง” เขาเอ่ย
“ข้ามาวังไหวอ๋องด้วยใจเมตตาของแพทย์ ใต้เท้าลู่ดูหมิ่นข้าเช่นนี้ หรือก็เป็นใจเมตตาด้วย?” คุณหนูจวินเอ่ย
ลู่อวิ๋นฉีเมินเฉยก้าวเดิน ยืนอยู่ตรงหน้าคุณหนูจวิน ก้มศีรษะมองนาง
“ใจเมตตาของแพทย์?” น้ำเสียงเขาทุ้มนุ่ม “เจ้าใช้ชื่อนี้ เจ้าทำสารพัดวิธี เจ้าเรียกพันตำลึงรักษาองค์ชายองค์หญิงชนชั้นสูง เจ้าท้าพนันกับพวกหมอหลวง ไม่ใช่เพื่อมาที่นี่ พบองค์หญิงจิ่วหลี แจ้งชื่อของเจ้าหรือ?”
คุณหนูจวินมองเขา หัวเราะ
“บางทีใต้เท้าคงเป็นองครักษ์เสื้อแพรนานไป คิดมากเกินไปแล้ว” นางเอ่ย
ลู่อวิ๋นฉีส่ายศีรษะ
“ไม่ สิ่งที่ข้าคิดไม่มาก ข้าแต่ไหนแต่ไรไม่ชอบคิดมากเช่นนั้น” เขาเอ่ย “สิ่งที่ข้าคิดเรียบง่ายยิ่งนัก ข้าไม่สนว่าเจ้าคิดทำอะไร ทำไมเจ้ามา ในเมื่อเจ้าอยากมา ข้าก็ให้เจ้ามา ให้เจ้าอยู่ที่นี่ตลอดไป”
สายตาของเขามองใบหน้าของนางทีละนิดๆ
ดวงตานี้ จมูกนี้ ริมฝีปากนี้ หาความคล้ายคลึงไม่พบแม้แต่น้อยนิด
แต่นั่นแล้วอย่างไร?
ต่อให้แค่เพลงบทนั้น เขาก็ไม่ปล่อยไป
……………………………………….