เมืองอาทิตย์คราม โรงเตี๊ยมประตูเมือง

“นายน้อย ทำไมท่านต้องทำ…เพื่อข้าถึงขนาดนี้”

เฉียวเว่ยพูดออกมาด้วยใจที่เจ็บปวดในขณะที่มองไปยังเจียงหยวน ผู้ซึ่งไม่ยอมพูดจามาตลอดทั้งทางที่มายังที่นี่

เจียงหยวนส่ายหัวไปมา ก่อนจะมองไปที่เฉียวเว่ยด้วยรอยยิ้มกว้างแล้วพูดออกมา “เว่ยเอ๋อ ข้าไม่ใช่นายน้อยอีกต่อไปแล้ว แค่เป็นเพียงแค่เจียงหยวนเท่านั้น ไม่ใช่นายน้อยตระกูลเจียงอีกต่อไป แล้วตัวเจ้าเองก็มีอิสระ….”

“นายน้อยใหญ่ ท่าน…คิดจะไล่ข้าไปเหรอเจ้าคะ”

เฉียวเว่ยพูดออกมาด้วยท่าทางประหลาดใจในทันทีเมื่อได้ยิน นางไม่คิดถึงเรื่องที่ว่าจะต้องแยกจากกับเจียงหยวนมาก่อนในชีวิต นางนั้นต้องการจะเป็นสาวใช้ของเจียงหยวนไปตลอดกาล

เจียงหยวนที่ได้ยินก็ได้หยิกไปที่แก้มของเฉียวเว่ยเบาๆ ก่อนที่จะรวบผมสีดำคลับของนางที่ปกหน้าขึ้นมา แล้วจ้องมองไปที่ดวงตาของเฉียวเว่ยแล้วพูดออกมา “เด็กโง่ ข้าจะยอมให้เจ้าไปไหนได้ยังไงกัน ต่อให้เจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว ข้าก็ยังต้องการให้เจ้าอยู่ข้างกายข้านะ”

“นายน้อย….”

เมื่อมองเข้าไปในตาที่แฝงไปด้วยความนัยที่ลึกซึ้งของเจียงหยวน ร่างกายของเฉียวเว่ยก็สั่นไปมาเล็กน้อย พร้อมใบหน้าที่แดงฉาน

นางที่ไม่อาจจะเก็บงำความรู้สึกหวาดกลัวจากเรื่องที่เกิดขึ้นบนลานฝึกของตระกูลเจียงได้อีกต่อไป ในตอนนี้นางทำตัวราวกับลูกแมวน้อยที่ออดอ้อน พร้อมร่างกายที่อ่อนระทวยไปบนอ้อมแขนของเจียงหยวน

“นายน้อย ข้า…อยากจะอยู่ข้างกายท่านไปตลาดกาลเจ้าค่ะ…”

คิ้วของเฉียวเว่ยในตอนนี้กระตุกไปมา พร้อมใจของนางที่หมายหมั้นว่า ไม่ว่าชายหนุ่มตรงหน้าของนางจะไปยืนอยู่สูงแค่ไหนก็ตาม นางก็จะไม่ละทิ้งเขา ต่อให้นางทำได้เพียงแค่ซ่อนตัวมองเขาอยู่ในมุมมืดอยู่เงียบๆก็ตาม

เมื่อได้เห็นสภาพของหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของตนแล้ว เจียงหยวนก็พลันนึกเรื่องราวแต่หนหลัง

ยามที่เขาทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนัก หญิงสาวคนนี้ก็เฝ้าดูเขาเงียบๆโดยไม่คิดที่จะปริปาก

ยามที่เขาเหนื่อยล้า นางก็คอยมาดูแลหาผ้ามาเช็ดเหงื่อกายให้กับเขา จนในที่สุด เขาก็มีความรู้สึกดีๆให้กับนาง

“นายน้อย…เลิกมองข้าเถอะเจ้าค่ะ…”

“เฉียวเว่ย….เอ่อ…อื่ม…โทษที”

ภายใต้การจับจ้องของเจียงหยวนในอ้อมกอดนี้ เฉียวเว่ยที่ราวกับพึ่งจะรู้ตัวก็หลงลืมแม้กระทั่งการหายใจ หลังจากที่ผละตัวออกจากเจียงหยวนแล้ว นางก็วิ่งหน้าแดงกลับห้องไป

เจียงหยวนได้มองตามหญิงสาวหน้าแดงตามกลับไปจนถึงในห้องของนางด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นในใจ ราวกับว่าเขามีความสุขที่สุดในชีวิตเพราะเรื่องนี้

….

ค่ำคืนได้มาเยือน

เจียงหยวนได้สวมชุดคลุมสีดำอีกครั้งแล้วค่อยๆออกไปทางหน้าต่างอย่างเงียบๆ

“เป็นยังไงบ้าง”

เจียงหยวนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งลึกและแหบพล่า ในขณะที่มองไปยังชายหน้าบากที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หัวเสือ

“นายท่าน สายตาของท่านช่างเฉียบคมยิ่งนัก นายน้อยแห่งตระกูลหม่าผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ”

เมื่อชายหน้าบากรับรู้ถึงผู้ที่มาเยือน เขาก็ได้รีบยืนขึ้น สำหรับเขาแล้ว ลูกค้าที่ยอมจ่ายเงินในคราวเดียวถึงสองหมื่นเหรียญทองแบบนี้ไม่ใช่จะได้พบเจอได้ง่ายๆ

“วันนี้ ข้าได้ลอบตามนายน้อยตระกูลหม่าไปด้วยคนเอง ตอนที่ท่านมาแล้วพูดราวกับว่านายน้อยคนนี้ไม่ธรรมดา ตอนนั้นข้าเองก็ยังนึกว่าท่านแค่คิดมากไป แต่เป็นโชคดีของข้าที่…”

“รีบเข้าเรื่องเถอะน่า”

เจียงหยวนพูดออกมาอย่างเย็นชาแสดงออกถึงความไม่พอใจ

“นายท่าน อย่าพึ่งใจร้อนสิ ผู้น้อยกำลังจะพูดอยู่นี่แล นายน้อยคนนี้ลอบพบกับยอดฝีมือผู้หนึ่งจากตระกูลเล็กๆที่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเจียง”

ชายหน้าบากพูดพลางหยุดนิ่งราวกับเฝ้ารอบางอย่าง

“เอ้านี่”

เจียงหยวนที่รู้ทันในท่าทางของชายหน้าบากก็ได้โยนถุงเงินที่มีเหรียญทองจำนวนห้าพันเหรียญไปให้ชายหน้าบาก

หลังจากได้รับถุงเงินมา ชายหน้าบากก็ได้ยิ้มกริ่มแล้วพูดต่อ “นายท่านช่างเข้าใจข้ายิ่งนัก คนที่ว่านั่นก็คือหัวหน้าตระกูลหวัง หวังเย่”

เจียงหยวนที่ยังคงรักษาท่าทีของตนเองอยู่ก็ได้พูดออกมา “ว่าต่อ”

ชายหน้าบากที่ได้ยินก็รีบพูดตอบไป “นายท่าน นั่นคือทั้งหมดที่ข้าได้มาวันนี้ แล้วท่านจะให้พวกข้าตามดูต่ออีกหรือไม่”

“ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว หากข้ามีอะไรให้เจ้าทำอีก ข้าจะมาหาเจ้าทีหลังก็แล้วกัน”

เมื่อพูดจบ เจียงหยวนก็หายวับไปกับสายตาของผู้คน ราวกับจางหายไปในความมืดมิด

“ลูกพี่ ทำไมท่านต้องให้เกียรติไอ้แก่นี่ด้วย อย่างมากมันก็เป็นเพียงแค่ยอดยุทธ พวกเราที่มีจำนวนมากกว่าจะไปกลัวมันทำไม”

“ถุ๊ยยย แกเห็นเงินนี่รึเปล่า ห้ะ หรือแกไม่เห็นมันเป็นเงิน การที่เขาโยนเงินจำนวนมากมายมาให้เราราวกับเศษขยะแบบนี้แกไม่คิดบ้างเหรอว่าตัวตนของเขาจะขนาดไหน ห้ะ แกคิดว่าจะต่อสู้กับคนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างหน้าตาเฉยรึไงกัน ห้ะ”