บทที่ 91 พิษนี้ทะลวงใจ (ตอนต้น)

บุหลันเคียงรัก

ฝูชางรู้สึกว่าต้องมีสักวันที่เขาถูกผีสาวตนนี้ทำให้โมโหจนคลั่งแน่

 

 

ทองคำแท่งเหล่านั้นที่นางไปขโมยมาจากร้านเงินใหญ่หลายแห่ง เขาบังคับให้นางเอากลับไปคืนทั้งหมด กว่าทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยฟ้าก็เกือบสว่างแล้ว เขาไม่ได้นอนทั้งคืน ฝูชางกุมขมับที่เริ่มปวดไว้ แล้วมองไปยังผีสาวที่นั่งหลังตรงอย่างงามสง่าบนเบาะนั่งตรงข้าม นางก้มหน้าดูเล็บแขนเสื้อตนเงียบๆ ดูไปแล้วนางยังดูเสียดายกว่าเขาเสียอีก

 

 

“ใครสอนให้เจ้าไปขโมยเงินกัน” เขาสงสัยจริงๆ ว่านางเกิดมาจากก้อนหินหรืออย่างไร จะบอกว่านางไร้เดียงสา การกระทำของนางกลับแฝงไปด้วยความเอาแต่ใจที่ชั่วร้ายอยู่แปดส่วน ทำไมนางถึงได้ประหลาดอย่างนี้

 

 

เสวียนอี่ออกแรงเกี่ยวลายปักตรงแขนเสื้อ นางไม่ชอบการถูกสั่งสอนที่สุด หน้าง้ำงอ “เจ้าพูดเองว่าเงินซื้ออะไรก็ได้”

 

 

ฝูชางถูกนางทำให้โมโหจนแทบหลุดหัวเราะออกมา “จะมีคนไม่รู้ด้วยหรือว่าเงินคืออะไร ยามเจ้ายังมีชีวิต พ่อแม่ของเจ้าไม่ได้สอนหรือว่าการเป็นคนควรมีคุณธรรมอะไรบ้าง”

 

 

นางรู้แค่การเป็นเทพมังกรตระกูลจู๋อินต้องอย่างไรเท่านั้น นางไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นคนต้องทำอย่างไร

 

 

ฝูชางขมวดคิ้วแล้วจ้องนาง นางอาจจะไม่ใช่ผีสาวก็ได้ ผีมาจากมนุษย์ แต่ว่านางกลับไม่เหมือนมนุษย์เลย และยังไม่มีความรู้พื้นฐานทั่วไปของคนด้วย บางทีนางอาจจะเป็นปีศาจ ปีศาจอะไรจะมีพลังประหลาดเยือกเย็นไปถึงกระดูก และอยู่แต่กับหิมะอย่างนี้

 

 

“ทำไมถึงต้องยึดติดกับคำให้อภัยของข้าอย่างนั้น” ต่อให้เขาหลีกเลี่ยงผู้คน และไม่ไปมาหาสู่กับคนอื่นนักก็ยังมองออกว่าคำให้อภัยที่นางพูดถึง ต้องไม่ใช่แค่การมาตามพัวพันเขาธรรมดาๆ แน่

 

 

เสวียนอี่เองก็ปวดหัวขึ้นมา จึงค่อยๆ เอนศีรษะลงไป หมอบราบไปฟุบกับโต๊ะ ในใจไม่รู้ร้อนรนหรือหวาดกลัว

 

 

เขาดื้อดึงมาก ไม่ว่าจะใช้วิธีการอ่อนหรือแข็งก็ไม่ได้ผล แม้แต่ของล้ำค่าของมนุษย์ที่ร้ายกาจที่สุดขนาดอะไรก็สามารถซื้อได้อย่าง ‘เงิน’ ยังซื้อคำให้อภัยจากเขาไม่ได้เลย ต้องทำเช่นไรเขาถึงจะยอมให้อภัยนาง นางยังต้องอยู่กับเขาไปอีกนานเท่าไหร่กัน ความสัมพันธ์ที่เลวร้ายนี้ต้องผูกมัดกันไปอีกนานแค่ไหน หรือว่า จริงๆ แล้วสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่คำขอโทษจากใจของนาง

 

 

“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่” ชายหนุ่มตรงข้ามทำหน้าไม่พอใจแล้วกล่าวตำหนินาง “ท่านั่งอะไรของเจ้า นั่งดีๆ”

 

 

เจ้านี่ มาเป็นมนุษย์แล้วยังจะยุ่งยากอย่างนี้อีก

 

 

เสวียนอี่ถลึงตาใส่เขา นางไม่ยอมตอบคำถามเขา “หากว่าข้าไม่ปรากฏตัวออกมา เจ้าคงยอมให้อภัยข้าแล้วใช่หรือไม่”

 

 

ฝูชางพลันเงียบไป เขาพบว่าตัวเองกลับไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร

 

 

เสวียนอี่ว้าวุ่นใจ นางผุดลุกขึ้นแล้วลอยออกไปด้านนอกพร้อมกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าอีกแล้ว เจ้าเองก็อย่าโทษข้าอีก แล้วก็…อย่าเกลียดข้าเลย”

 

 

เกลียด? ฝูชางตกใจ เขาผลักประตูและไล่ตามออกไป แสงอรุณรำไร ใบต้นท้อสั่นไหวเบาๆ ลานบ้านว่างเปล่า ไม่มีเงาใครอยู่เลย

 

 

ไปจริงๆ แล้วหรือ เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองโล่งใจหรือว่าผิดหวัง เขายืนในลานบ้านอยู่นาน จึงหมุนตัวกลับไป แต่กลับพบว่าพื้นหน้าประตูมีของปั้นจากหิมะวางเอาไว้ ฝูชางชะงัก เขาก้มลงไปเก็บแล้วจึงพบว่ามันคือดอกไม้โปร่งแสงราวกับแก้วดอกหนึ่ง กลีบดอกไม้โปร่งแสงคล้ายน้ำแข็ง บนนั้นมีเส้นใยมากมายราวกับหยก งดงามมาก เขาไม่เคยเห็นดอกไม้อย่างนี้มาก่อนเลย

 

 

ฝูชางเงียบไปครู่หนึ่ง อดที่จะกล่าวเรียกออกมาไม่ได้ “เจ้าอยู่ไหม”

 

 

ไม่มีใครตอบรับเขา ทุกอย่างเงียบสงัด

 

 

นับตั้งแต่ที่ผีสาวตนนี้ปรากฏตัวต่อหน้าเขา ฝูชางก็รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่า วันเวลาอันสงบสุขของเขามาถึงจุดจบแล้ว และความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สัญชาตญาณของเขาแม่นยำมาก แม้ว่านางจะหายไปแล้ว แต่ก็ยังคงทำให้ชีวิตที่สงบเงียบของเขาวุ่นวายไปหมด

 

 

หนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา ทุกวันที่เขากลับมาจากเรียนหนังสือ หน้าประตูจะมีของเล่นชิ้นเล็กปั้นจากหิมะวางเอาไว้หนึ่งอัน ตอนนี้ชั้นหนังสือของเขาชั้นหนึ่งวางแต่ของเหล่านี้ ตั้งแต่ราชสีห์เก้าเศียรไปถึงปลาหลีฮื้อสีทอง ทั้งยังมีดอกไม้โปร่งแสงจนไปถึงกุ้งประหลาดที่ทำจากน้ำแข็งตัวหนึ่งด้วย เขาเดาไม่ออกจริงๆ ว่ากุ้งมันหมายถึงอะไร

 

 

นางไปซ่อนตัวที่ไหน ดวงตาคู่นี้ของเขาสามารถมองเห็นผีและเทพได้แต่กำเนิด แต่ไม่ว่าจะเป็นบนฟ้าหรือใต้ดินเขาก็หานางไม่พบ และสถานการณ์นี้ทำให้แต่ละคืนเขานอนหลับได้อย่างไม่สงบ

 

 

คืนวันนี้ฝูชางเริ่มฝันร้ายอีกครั้ง ภาพประหลาดนับไม่ถ้วนแวบเข้ามาตรงหน้าเขาตลอด ตั้งแต่เล็กเขาก็มักจะฝันร้ายอย่างนี้เสมอ แต่ก็ไม่เคยจำได้ว่าเขาฝันถึงอะไร ทุกครั้งเมื่อตื่นมาเขาจะรู้สึกจิตใจหดหู่มาก แต่วันนี้กลับมากเป็นพิเศษ

 

 

เขาไม่สามารถนอนต่อได้อีก จึงคลุมเสื้อแล้วลุกขึ้นนั่ง พลันเห็นประกายอะไรบางอย่างบนชั้นหนังสือ นั่นคือวงแหวนทองที่นางใส่เป็นประจำ

 

 

ฝูชางรู้สึกราวกับมีพลังนุ่มนวลอ่อนโยนบางอย่างผลักร่าง เขาคว้ามือไปกำวงแหวนทองเย็นราวกับน้ำแข็งไว้ในมืออย่างไม่รู้ตัว ฝีมือประณีตเหนือธรรมดา โลกมนุษย์ไม่มีช่างฝีมือที่ไหนสามารถสร้างเครื่องประดับอย่างนี้ขึ้นมาได้

 

 

นางอยู่

 

 

ความว้าวุ่นในใจพลันสงบลง

 

 

ฝูชางผลักประตูออกไปเบาๆ แสงจันทร์สาดส่องไปทั่วบริเวณจนทำให้ผืนหิมะดูราวกับเปล่งประกายได้ รอบด้านเงียบสนิท เงาร่างเพรียวบางนอนตะแคงอยู่บนต้นท้อ ผมยาวเปียกชื้นของนางทิ้งตัวลงมาจากใบไม้ด้านบน ขาเปลือยข้างหนึ่งของนางเองก็ยื่นออกมาจากชายกระโปรง นางกำลังใช้เท้าขาวราวกับหิมะของนางแตะไปยังใบไม้ข้างกาย

 

 

เจ๋อเซียน[1]ใต้จันทรา หากไม่ใช่ผีสาว ไม่ใช่ปีศาจสาว ถ้าอย่างนั้นหรือว่านางจะมาจากเบื้องบน

 

 

ราวกับเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาจะทำให้นางรู้ตัว เสวียนอี่หันกลับมาเห็นฝูชางก็รีบกลายเป็นลมบริสุทธิ์สายหนึ่งพุ่งออกไปไกลทันที เขากลับกล่าวเสียงเย็นตามหลังมาว่า “หากว่าเจ้ายังหนีอีก ข้าจะไม่มีทางให้อภัยเจ้าเลยชั่วชีวิต”

 

 

นางหยุดฝีเท้าลงทันที ประโยคนี้ของเขาอำมหิตเกินไปแล้ว เจ้านี่อำมหิตจริงๆ นางนั่งลงบนใบไม้ด้วยสีหน้าบึ้งตึง พลางจ้องไปที่เขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างมาก

 

 

ฝูชางเดินไปใต้ต้นท้อช้าๆ เขามองผมยาวที่หนาและเปียกชื้นของนางบนใบไม้ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้า…กำลังทำอะไร”

 

 

เสวียนอี่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เป่าผม”

 

 

นางมีนิสัยสุขสบายจนเคยตัว และให้ความสำคัญกับกิจวัตรประจำวันอย่างมาก ลงมาโลกเบื้องล่างครั้งนี้เดิมนางคิดว่าใช้เวลาไม่นานก็คงจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยได้ แต่ใครจะรู้ว่านางกลับเสียเวลาอยู่บนโลกมนุษย์นานถึงหนึ่งเดือนกว่าแล้ว หากนับเวลาของแดนเทพก็ผ่านไปได้สองวันแล้ว นางทนไม่อาบน้ำสองวันไม่ได้ ยังดีที่เหล่าเทพผู้ตรวจการแนะนำน้ำพุที่ถือว่าค่อนข้างสะอาดที่หนึ่งให้นางได้ นางจึงพอจะฝืนทนอาบไปก่อน แต่ก็ยังรู้สึกไม่พอใจนัก

 

 

เดิมฝูชางอยากถามนางว่าทำไมไม่ปรากฏตัว แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าคำถามนี้ทำลายบรรยากาศเกินไป เห็นในมือนางจับหิมะอยู่ก้อนหนึ่งก็ถามออกไปว่า “ครั้งนี้จะปั้นอะไร”

 

 

นางหยิบหิมะไว้กลางฝ่ามือแล้วกล่าวจริงจังว่า “มังกร”

 

 

มังกร… ฝูชางมองไปยังก้อนหิมะก้อนนั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนปลาดุก เขาลูบไปที่หัวเกลี้ยงของปลาดุกนั้นอย่างไม่รู้ตัว “เขามังกรล่ะ”

 

 

ในส่วนลึกของความรู้สึก เขารู้สึกว่าบนหัวเกลี้ยงเกลานั้นควรจะมีเขามังกรสองอันราวกับเมล็ดข้าวอยู่ ความรู้สึกนั้นมันดีมาก

 

 

แต่กลับได้ยินนางกล่าว “ยังไม่งอกออกมา”

 

 

เขาจึงกล่าวออกไปเสียงเบาโดยไม่รู้ตัวว่า “นั่นมันปลาดุกอุยมิใช่หรือ”

 

 

เหมือนร่างนางสั่นน้อยๆ และนิ่งเงียบไป ฝูชางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของนาง ดวงตาคู่นั้นของนางกวาดไปทั่วอย่างหลบเลี่ยง ทั้งหวาดกลัวและสับสน สุดท้ายราวกับนางตัดสินใจอะไรได้ ดวงตาดำสนิทประสานกับสายตาของเขานิ่ง สายตาทั้งสองมองสบกัน แววตาของนางค่อยๆ ปรากฏความอ่อนโยนนุ่มนวลและแฝงไปด้วยความเสียใจขึ้นมา เขาไม่เคยเห็นแววตาอย่างนี้มาก่อนเลย

 

 

ฝูชางยกมือขึ้นช้าๆ ฝ่ามือของเขาแนบไปกับใบหน้าเย็นเยียบราวน้ำแข็งของนาง

 

 

“ทำไมถึงมักอยู่คนเดียวเสมอเลยเล่า” เขาถามเสียงนุ่ม

 

 

เสวียนอี่ยิ้มแล้วเบนสายตาหลบไป “ก็เพราะข้าชอบการอยู่ลำพัง”

 

 

โกหก

 

 

ฝูชางค้อมเอวลงแล้วหยิบรองเท้าของนางที่ตกพื้นขึ้นมา พื้นไม้ เจียวเซียว[2] บนรองเท้าปักลายดอกกล้วยไม้สิบแปดดอกเอาไว้ โลกมนุษย์ไม่มีรองเท้าที่งดงามประณีตอย่างนี้

 

 

เขากุมเท้าที่เยือกราวกับน้ำแข็งใต้กระโปรงของนางไว้ นางสะบัดครั้งหนึ่งอย่างอยากดิ้นให้หลุด เขากล่าวออกไปว่า “อย่าขยับ”

 

 

เท้าของนางสวมลงไปในรองเท้าได้พอดี ฝูชางรู้สึกเพียงว่าฝ่ามือของเขาราวกับหนาวจนแข็งไปแล้ว นางยังเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งหลายเท่า แต่เขากลับรู้สึกไม่อยากปล่อยเท้าคู่นั้นของนาง ใบหูเขาพลันร้อนขึ้นมา และไม่รู้ควรพูดอะไร

 

 

ผ่านไปนาน กลับได้ยินนางใช้แขนเสื้อปิดกลั้นหาว เขาถึงนึกได้ว่าวันแรกนางยังนั่งหลับอยู่ข้างเตียงเขาเลย นางเองก็ต้องนอนสินะ หรือว่าปกตินางไปนอนบนหลังคาไม่ก็พุ่มหญ้า

 

 

ฝูชางดึงนางลงมาจากต้นไม้ “เข้าไปนอนในห้องเถอะ ข้ายกเตียงให้”

 

 

เสวียนอี่ฝืนทนหาวอีกครั้ง นับเวลาดูจากเวลาของแดนเทพ นางไม่ได้นอนมาเกือบสองวันแล้ว พูดตามตรงนางง่วงอย่างร้ายกาจ เอียงคอคิดดู องค์หญิงสูงศักดิ์ก็แสดงสีหน้ารังเกียจออกมา “ข้าไม่อยากนอนเตียงทรุดโทรมอย่างนั้น”

 

 

…เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะบีบนางสักครั้งหรือควรทำอย่างไรดี

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็นอนพื้นแล้วกัน” เขาลากนางเข้าห้องไปอย่างไม่ให้นางได้พูด

 

 

สุดท้าย เตียงของเขาก็ถูกยึดไปอยู่ดี เสวียนอี่เข้ามาในห้องก็นั่งลงบนเตียง นางฟุบหน้าไปกับหมอนแล้วหลับสนิทไป เขายังไม่ทันดับไฟ แค่ปูผ้าห่มสองผืนที่พื้นแล้วหลับไปโดยไม่ได้ถอดเสื้อคลุม

 

 

นอนไปได้พักหนึ่งพลันรู้สึกหนาวจนทนไม่ไหว ฝูชางเปิดตาขึ้นอย่างยากลำบาก ด้านนอกฟ้าสว่างแล้ว แต่พื้นภายในห้องกลับปูด้วยน้ำแข็งหนาหลายชุ่น เขานอนบนน้ำแข็งทั้งคืนหนาวจนตัวสั่น เขาม้วนผ้าห่มแล้วลุกขึ้น พลันรู้สึกศีรษะหนักอึ้ง ทั้งยังตาลาย

 

 

นางยังคงนอนอยู่บนเตียงนิ่ง นอนตะแคงอย่างเรียบร้อย ผ้าห่มปิดมาถึงบ่า นอนนิ่งไม่กระดุกกระดิก

 

 

ยังไม่ตื่นหรือ ฝูชางค่อยๆ เข้าไปข้างเตียง ความเย็นยิ่งเย็นชัดไปถึงกระดูก เขาตัวสั่นขึ้นมา แต่ก็ยังยื่นนิ้วออกไปเกลี่ยผมสีดำที่ปิดใบหน้านางเอาไว้ออก อาทิตย์ลอยเหนือฟ้า ริมฝีปากอิ่มและชุ่มชื่นของนางอ้าน้อยๆ และมีเส้นด้ายโปร่งแสงเชื่อมอยู่

 

 

ฝูชางพลันรู้สึกใจเต้นรัว เขาค่อยๆ โน้มตัวลงไป พร้อมจุมพิตไปที่ริมฝีปากเย็นราวน้ำแข็งของนางครั้งหนึ่ง

 

 

รู้สึกราวกับจุมพิตลงบนน้ำแข็งหมื่นปี ความหนาวเย็นถึงกระดูกเข้าไปในร่างลามไปยังเลือด เอ็น ชีพจร แขนและขาทุกส่วนจนร่างเขาสั่นสะท้าน

 

 

 

 

[1]เจ๋อเซียน : เทพที่ถูกลงโทษให้มาจุติที่โลกมนุษย์

 

 

[2]เจียวเซียว : ผ้าที่มนุษย์ฉลาม (รูปร่างคล้ายเงือก) ทอขึ้นจากไหมดิบ เป็นผ้าที่มีลักษณะพิเศษ คือน้ำไม่เปียกซึม