ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 227 อักขระวิญญาณที่สืบทอดมาแต่ก่อนวิกฤตการณ์ใหญ่

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เฟิงอวิ๋นเซิงไถ่ถามเยี่ยนจ้าวเกอเยี่ยนจ้าวเกอโดยใช้ปราณจิตราส่งกระแสเสียง ชายหนุ่มเองก็ตอบในวิธีเดียวกัน ‘ในเมื่อรู้ว่าพวกเขาต้องการฉกฉวยโอกาสตอนที่มังกรทมิฬพิฆาตมา ก่อความยุ่งเหยิงวุ่นวายมาปลิดชีวิตข้า ข้าย่อมตั้งใจสังเกตเป็นธรรมดา’

‘ตอนที่มังกรทมิฬพิฆาตมาถึง ข้าเรียกทุกคนให้เข้าใกล้มาทางข้าด้วยกัน ในตอนที่ทุกคนเขยิบใกล้เข้ามา ต่างก็มองข้าเป็นธรรมดา อยากจะรู้ว่าข้ามีวิธีอะไร’

‘มีแค่สองคนนี้เท่านั้นที่นอกจากมองข้าแล้ว ยังสังเกตตำแหน่งของอาหู่กับพ่านพ่านตลอดเวลา ข้าพลันหวนนึกอย่างละเอียด ในตอนที่มังกรทมิฬพิฆาตมาคราแรก ก็คล้ายกับว่าพวกเขามีท่าทีเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน’

‘พวกเขาจะพะวงอาหู่กับพ่านพ่านไปไย?’

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยพลางเบะปาก ‘ตอนนั้นข้าถือว่าพวกเขาทั้งสองล้วนชอบชายชาตรีไปชั่วคราวก่อน ชอบพออาหู่แล้ว…’

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยินเสียงของเยี่ยนจ้าวเกอ กระนั้นอาหู่ที่กำลังจะจับกุมเหยาซาน ร่างกายพลันสั่นเทิ้มโดยไร้สาเหตุ จนเกือบจะปล่อยให้อีกฝ่ายหาโอกาสจบชีวิตตัวเองได้

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอก็กล่าวต่อไปโดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ‘…แต่ว่าเหตุใดพวกเขาต้องสนใจพ่านพ่านด้วย? หรือว่ารสนิยมพิลึกจนถึงขั้นแล้ว?’

เฟิงอวิ๋นเซิงได้ยินแล้วก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ร้องให้ไม่ออกอยู่บ้าง

แม้ว่าชายหนุ่มจะพูดจาหยอกล้อ ทว่าน้ำเสียงกลับไม่เจืออารมณ์ขันเลยแม้แต่น้อย ‘ในสายตาโลกภายนอก อาหู่ไม่เพียงเป็นบริวารตามติดของข้าเท่านั้น ขณะเดียวกันก็เป็นองครักษ์ของข้าด้วยเช่นกัน’

‘อาหู่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ก็แล้วไป แต่ขอเพียงอาหู่อยู่ข้างกายข้าง ผู้ที่คิดลอบสังหารข้าต่างรู้ดีว่าหากต้องการฆ่าเยี่ยนจ้าวเกอ ก็ต้องฆ่าหู่ก่อน’

‘พวกเขาไม่มีมหาปรมาจารย์ ครั้นจะลงมือกับข้า ก็จำต้องใคร่ครวญตีฝ่าการพิทักษ์ของอาหู่เป็นธรรมดา’

‘ส่วนพ่านพ่านก็อยู่ใกล้ๆ ข้างกายข้าตลอดเวลาด้วยเหมือนกัน สัตว์วิเศษคุ้มกันเจ้าของ ยามปกติดูไปแล้วพ่านพ่านจะเกียจคร้านไร้พิษภัยถึงเพียงใด แต่เผ่าพันธุ์ปี่เซียะภูเขาเองก็เป็นหนึ่งในสัตว์วิเศษจำนวนน้อยไม่กี่ชนิดที่มีพรสวรรค์พิเศษ พลังความสามารถแกร่งกล้าด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เพียงแค่ร่างมหึมาเช่นนี้ ยืนข้างกายข้าล้วนกลายเป็นกำแพงกั้นโดยธรรมชาติ ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องอ้อมผ่านไปจึงจะใช้ได้’

มังกรทมิฬพิฆาตค่อยๆ ผ่านพ้นไป ริ้วแสงบนเสาหินเริ่มมลายไปเฉกเช่นเดียวกัน แสงอสนีบาตที่สาดแสงวามวาบในดวงตาเยี่ยนจ้าวเกอเองก็เริ่มมีแนวโน้มจะมืดสลัวลงแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูเหยาซานถูกอาหู่จับไปแล้ว ค่อยกล่าวเสียงเรียบว่า ‘มังกรทมิฬพิฆาตนั้น ไม่เพียงสร้างความวุ่นวายโกลาหล ขณะเดียวกันก็เพื่อจะผลาญพลังของเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์บนร่างข้าให้หมดไปด้วยเช่นกัน’

เฟิงอวิ๋นเซิงผงกศีรษะ รุดหน้าเอ่ยกับอาหู่ประโยคหนึ่ง

อาหู่พยักหน้า “ค้นหาแล้ว มีถุงย่อส่วนใบหนึ่งจริง แต่ข้ายังไม่มีเวลาดูว่าภายในมีสิ่งใดกันแน่”

ฝ่ายหญิงสาวรับกระเป๋าย่อส่วนมาแล้ว ครั้นนางเปิดมันออก ก็พบศพของผู้อาวุโสหลี่อยู่ภายในดังคาด

ผู้อาวุโสหลี่สิ้นใจเป็นเวลานานแล้ว เลือดลมศพค่อยๆ เสื่อมทรุดลงสิ้น ทว่าครั้งยังมีชีวิตเขาเป็นถึงปรมาจารย์ขั้นเคียงนภา เลือดลมเนื้อหนังมังสาแข็งแกร่ง ถึงจะเสื่อมทรุด เพียงแต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่ได้มีเค้าส่อว่าจะเน่าเปื่อย

จอมยุทธ์สำนักเขากว่างเฉิงคนๆ อื่นล้อมขึ้นมา มองดูผู้อาวุโสหลี่ที่ตายจากไปแล้ว พร้อมทั้งมองดูเหยาซานที่ถูกอาหู่จับกุม โดยที่รูปลักษณ์ภายนอกยังคงเป็นรูปโฉมผู้อาวุโสหลี่อยู่

บนใบหน้าผู้อาวุโสหลี่ตัวจริงแข็งค้างแล้ว ทว่าความตะลึงพรึงเพริดยังคงไม่เลือนหายไป นัยน์ตาเบิกโพลง แววตาแข็งค้าง ตายตาไม่หลับ

เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงเบื้องหน้าผู้อาวุโสหลี่ มือหนึ่งรองถือเสาหินมหึมา กระนั้นยังคงลดกายลง ยื่นมือซ้ายออกไปปิดเปลือกตาทั้งสองให้ผู้อาวุโสหลี่แผ่วเบา

“คาดคั้นเอาเรื่องที่พวกเขารู้มาให้หมดจด แล้วก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยไว้แล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอผุดลุกขึ้นอีกครั้ง กล่าวพูดกับอาหู่

อาหู่ตอบรับอย่างไม่ลังเล “ขอรับ คุณชาย”

สีหน้าเหยาซานอึมครึม ก้มหน้าไม่พูดจา สหายของเขาก็ดิ้นรนกล่าว “อย่างไรก็ล้วนต้องตายทั้งสิ้น ยังหวังให้พวกข้าสารภาพ?”

ชายร่างใหญ่อย่างอาหู่เหลียวมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะแยกเขี้ยวยิงฟัน แย้มยิ้มจนหน้าตาอัปลักษณ์ “บางเวลา แท้จริงแล้วความตายไม่น่ากลัว”

เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้ามองพายุนิมิตทมิฬเบื้องหน้าที่ค่อยๆ ฟื้นคืนสู่สภาพตามปกติ ก่อนจะหรี่ตาเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง “เขานิมิตทมิฬ…”

ชายหนุ่มส่ายศีรษะ แล้วตรวจสอบสิ่งของที่อาหู่ยึดกลับมาจากพวกเหยาซานทั้งสองคน

ของที่มีมูลค่าออกจะมีจำนวนจำกัด แต่สิ่งของที่ค่อนข้างทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสนใจมีสองอย่าง

สิ่งของอย่างแรก เป็นหยกเลียนสังหารที่อยู่บนร่างจอมยุทธ์สหายของเหยาซานผู้นั้น ซึ่งยังมีอีกก้อนที่ยังไม่เคยใช้มาก่อน

นิ้วมือเยี่ยนจ้าวเกอลูบไล้หยกเลียนสังหาร ครุ่นคิดไม่พูดจา

หยกเลียนสังหารมีข้อจำกัดอักโข อย่างเช่นระยะเวลาเกิดผลมีจำกัด มีข้อจำกัดด้านพลังฝึกปรือของผู้สังหารและผู้ถูกสังหาร

กระนั้นไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่า บางเวลาของสิ่งนี้สามารถสำแดงผลสำคัญออกมาได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างผู้สังหารกับผู้ถูกสังหารนั้นคุ้นเคยกันอย่างยิ่งยวด เข้าใจสถานการณ์โดยส่วนมากของอีกฝ่าย อาทิ ความคุ้นชินการใช้ชีวิต ความเคยชินในคำพูดคำจา เป็นต้น ย่อมสามารถก่อเกิดประสิทธิผลในระดับสูงยิ่ง ถึงขั้นที่ปั้นน้ำเป็นตัวได้อย่างแท้จริง

ยกเหยาซานเป็นตัวอย่าง เขาสวมรอยผู้อาวุโสหลี่ ในตอนก่อนที่มังกรทมิฬพิฆาตคราที่สองจะจู่โจมมา เยี่ยนจ้าวเกอไม่รู้สึกเฉลียวใจเลย

ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไร้ประโยชน์ กระนั้นมีของสิ่งนี้ไว้ในมือ ไม่แน่นักว่าเมื่อใดจะเกิดประโยชน์ยามต้องใช้ขึ้นมา

ต่อให้เยี่ยนจ้าวเกอเองไม่ใช้ ส่งต่อให้คนอื่นที่ไว้ใจได้ ก็สำแดงผลประโยชน์ที่นึกคิดไม่ถึงได้เช่นกัน

ส่วนของอย่างที่สอง มีที่มาจากเหยาซาน ซึ่งก็คือเครื่องหยกครึ่งก้อน มองไปแล้วมีกลิ่นอายโบราณและเรียบง่ายอย่างยิ่งยวด

เยี่ยนจ้าวเกอตั้งใจสังเกตครู่หนึ่งแล้ว น่าจะเป็นเครื่องหยกอันสมบูรณ์ก้อนหนึ่ง ถูกแบ่งจากกึ่งกลางออกเป็นสองส่วน อีกส่วนหนึ่งไม่ทราบไปอยู่ที่ใด

บนพื้นผิวเครื่องหยกมีลวดลาย แม้ว่าจะเรียบง่าย ทว่าโอ่อ่าทรงพลัง ทำให้ผู้คนที่เห็นประทับใจลึกซึ้ง

หลังเยี่ยนจ้าวเกอจำแนกอย่างละเอียดครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง “โอ้ คาดไม่ถึงว่าเป็นอักขระวิญญาณที่สืบทอดมาตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์”

อักขระวิญญาณหาใช่ตัวอักษรไม่ และไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษอยู่ในนั้น

ถึงกระนั้นหลังจากเยี่ยนจ้าวเกอคิดทบทวนครู่หนึ่ง กลับสามารถยืนยันได้ว่าถ้าหากเป็นเครื่องหยกที่สมบูรณ์ อักขระย่อมต้องสมบูรณ์ จะเป็นค่ายกลวิญญาณขนาดเล็กค่ายหนึ่ง

ภายในค่ายกลวิญญาณขนาดเล็กนี้ บางทีอาจจะซ่อนของที่ค่อนข้างมีมูลค่าจำนวนหนึ่งไว้

‘ดูจากลักษณะด้านที่แตก กับระดับพลังชีวิตที่แผ่กระจายทั้งสี่ทิศ เครื่องหยกนี่เพิ่งถูกแบ่งได้ไม่นาน’ เยี่ยนจ้าวเกอใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ‘เครื่องหยกอีกครึ่งก้อน อาจจะสืบทอดอยู่ในแถบวายุพิภพนี้ด้วยก็เป็นได้ เป็นไปอย่างยิ่งว่าอยู่ในเกาะทรายเช่นกัน’

‘ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็พอจะสั่งคนให้ไปสืบเสาะค้นหาอย่างละเอียดได้อยู่สักหน่อย’

‘อักขระวิญญาณชนิดนี้ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ก็พบได้ค่อนข้างน้อยเช่นกัน ปัจจุบันผู้คนของโลกแปดพิภพพอจะสามารถจำแนกได้กระจ่างชัด และผู้คนที่เปิดค่ายกลน่าจะมีไม่เท่าไร เช่นนี้แล้ว เกินกว่าครึ่งข้อมูลที่ซ่อนอยู่ในค่ายกลวิญญาณ น่าจะยังคงไม่ได้ถูกถอดความหมาย’

ขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอคิด เขากลับไม่ได้นำมันมาใส่ใจมากนัก เพียงยักไหล่ด้วยความอย่างไรก็ได้ แล้วเก็บเอาเครื่องหยกขึ้นมาพร้อมกับหยกเลียนสังหาร

อาหู่พาพวกเหยาซานทั้งสอง ทะลวงเข้าไปในกระเป๋าย่อส่วนใบนั้นโดยตรง

ต่อจากนี้ทุกคนยังต้องเร่งรีบเดินทาง เพื่อออกจากมหาทะเลทรายแดนตะวันตกให้เร็วที่สุด

ส่วนเรื่องประเภทบีบบังคับให้สารภาพนี้ ไม่อาจเร่งได้ ต้องทรมานช้าๆ จึงจะทะลวงแนวป้องกันทางจิตใจของเชลยได้ง่ายยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้เยี่ยนจ้าวเกอจึงเก็บเอากระเป๋าย่อส่วนไว้ แล้วนำหน้าทุกคนเดินทางต่อไป

ถึงจะไม่รู้ว่าอาหู่มีกระบวนการอย่างไรที่จะทำให้พวกเหยาซานทั้งสองเปิดปาก ทว่าขณะเดียวกันที่บรรดาจอมยุทธ์สำนักเขากว่างเฉิงใต้บังคับบัญชาของผู้อาวุโสหลี่ นำศพของผู้อาวุโสหลี่เดินทางด้วย บนดวงหน้าแต่ละคนล้วนเผยให้เห็นสีหน้ารอคอยและใคร่แก้แค้น

สีหน้าท่าทางเฟิงอวิ๋นเซิงเหมือนเช่นปกติ ส่วนจวินลั่วและเหลียนเฉิง ทั้งสองมองดูเยี่ยนจ้าวเกอเก็บกระเป๋าย่อส่วนที่บรรจุกลุ่มอาหู่ทั้งสามคนขึ้นมา ต่างก็มีแววตาซับซ้อนอยู่บ้าง

———————–