บทที่ 231 กฎภายในครอบครัว

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 231 กฎภายในครอบครัว
หนานกงเย่ก้าวขึ้นไปบนรถม้าและหันไปมองเฉินอวิ๋นเจี๋ยด้วยสีหน้าที่เย็นชาและไม่แยแส ฉีเฟยอวิ๋นจับมือของเขาแล้วเอาไปไว้ข้างหลัง เพื่อไม่ให้เขาโกรธ

แต่เขายังคงทำสีหน้าเย็นชา

เฉินอวิ๋นเจี๋ยกล่าวว่า:“ท่านแม่ของข้าต้องฝังเข็มวันละครั้ง ท่านจะมาทุกวันได้หรือไม่?”

แม้ว่าเฉินอวิ๋นเจี๋ยจะไม่จริงจังต่อเรื่องราวใด ๆ อีกทั้งไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา แต่เขาก็เป็นลูกกตัญญู

ฉีเฟยอวิ๋นไม่เคยคิดว่าเฉินอวิ๋นเจี๋ยจะทำเช่นนี้

“ท่านไม่ต้องกังวล ในเมื่อข้ารับปากแล้วว่าจะช่วยรักษาฮูหยินเสนาบดี แน่นอนว่าข้าจะไม่ละเลย ตั้งแต่วันนี้ไปจนประมาณครึ่งเดือนนี้ ข้าจะมาที่จวนเสนาบดีทุกวัน ส่วนร่างกายของฮูหยินเสนาบดี หากนางให้ความร่วมมือ ข้าเชื่อว่านางจะไม่เป็นอะไร”

“ขอบคุณมาก” เฉินอวิ๋นเจี๋ยโค้งคำนับ

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย:“ท่านแม่ทัพน้อยไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ครั้งก่อนเรื่องของเฉาเหม่ยเริน ข้าใช้ประโยชน์จากท่านแม่ทัพน้อย และท่านแม่ทัพน้อยก็ไม่ได้ถือสาข้า ในตอนนี้ข้าเพียงทำในสิ่งที่หมอควรทำ ถือว่าท่านกับข้าได้ตอบแทนน้ำใจซึ่งกันและกันแล้ว”

หนานกงเย่จับมือแน่นขึ้นจนฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเจ็บ

“ท่านแม่ทัพน้อย พวกเราสองสามีภรรยาต้องกลับก่อนแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นรีบลากหนานกงเย่เข้าไปในรถม้า อาอวี่เหลือบมองแล้วขับรถกลับไปที่จวนอ๋องเย่

เฉินอวิ๋นเจี๋ยมองดูรถม้าจากไป จากนั้นก็หันกลับไปในจวนเสนาบดี

โชคไม่ดีที่ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ในรถม้า หนานกงเย่กอดนางไว้แน่นด้วยสีหน้าที่เขียวปั้ด

“ฮึ!” หนานกงเย่ไม่อยากจะพูด เขาเพียงแค่กอดฉีเฟยอวิ๋นไว้

ฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถขยับได้ เมื่อนางขยับเล็กน้อย เขาก็ดึงนางกลับไปแล้วกัดคอของนาง

คอของฉีเฟยอวิ๋นไวต่อความรู้สึกมากสุด และนางก็หดตัวด้วยความตกใจ

จนกระทั่งไปถึงจวนอ๋องเย่ แล้วฉีเฟยอวิ๋นต้องการที่จะลุกขึ้น หนานกงเย่จึงปล่อยนาง

หลังจากที่เข้ามาในจวนแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกพาไปที่สวนดอกกล้วยไม้

เมื่อกลับมาที่ห้อง ฉีเฟยอวิ๋นก็ดูเขินอาย นางเข้าไปหลบข้างในแล้วถามว่า:“ท่านอ๋อง นี่หมายความว่าอย่างไรเพคะ?”

หนานกงเย่ปิดประตู เขาปลดเข็มขัดหยกที่เอวออก แล้วโยนมันทิ้งไป จากนั้นก็ยกมือขึ้นปลดคอเสื้อ

ฉีเฟยอวิ๋นเขินอาย:“ท่านจะบ้าคลั่งอะไรตอนกลางวันแสก ๆ?”

“ข้าคิดมาตลอดทางที่กลับมา ปกติแล้วข้าปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดีใช่หรือไม่ ไม่เชื่อฟังก็ไม่เป็นไร อยู่ข้างนอกยังจะดึงดูดความสนใจของผู้อื่น” หนานกงเย่กล่าวอย่างสบายใจ แล้วถอดเสื้อผ้าโยนทิ้งไป

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองเสื้อผ้าที่อยู่บนพื้น:“ท่านอ๋อง ท่านทำเสื้อผ้าสกปรกแล้วเพคะ”

“ข้าพอใจ” หนานกงเย่เยาะเย้ย ในขณะที่ถอดเสื้อผ้า เขาก็เดินไปตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น

สีหน้าของเขาเย็นชา และแทบรอไม่ไหวที่จะขย้ำฉีเฟยอวิ๋นให้ตาย

“ท่านอ๋อง ท่านอยากลองผ้าปูที่นอนใหม่ใช่หรือไม่?” หัวใจของฉีเฟยอวิ๋นเต้นแรง นางตกใจแทบแย่

ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงดุร้ายเช่นนี้?

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร คนขี้หึงเป็นเช่นนี้หรือ?

“น่าสนุกดีนะ ข้าต้องการจะพูดถึงกฎภายในครอบครัว” หนานกงเย่ยื่นมือไปจับเอวของฉีเฟยอวิ๋น และปลดเข็มขัดที่เอวของฉีเฟยอวิ๋นออก ฉีเฟยอวิ๋นกัดริมฝีปากและสองของนางก็สับสนวุ่นวาย ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ล้อเล่น

“ท่านอ๋อง……อึ่ม……”

ทันทีที่ฉีเฟยอวิ๋นส่งเสียง นางก็ถูกปิดปากไว้

ฉีเฟยอวิ๋นจ้องมองหนานกงเย่ที่กำลังจูบนาง และถอดเสื้อออกทีละชิ้น

ในตอนแรกฉีเฟยอวิ๋นกังวลเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็เป็นเวลากลางวันแสก ๆ แต่หลังจากผ่านไปสักพัก นางก็ปล่อยวาง

“ต่อไปนอกจากข้าแล้ว ไม่ว่าชายอื่นข้างนอกจะเป็นอะไร เจ้าห้ามชายตามองอีก”

ฉีเฟยอวิ๋นถูกจูบอย่างโหดร้าย และหนานกงเย่ที่อยู่ด้านบนก็หายใจหอบ

“ข้าไม่ใช่คนตาบอด แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่ยอมรับ

หนานกงไม่พอใจและบีบแก้มของฉีเฟยอวิ๋น:“เจ้าเถียงรึ?”

ฉีเฟยอวิ๋นกลอกตา:“ท่านอ๋อง ท่านจะตั้งกฎขึ้นมาก็ได้เพคะ เช่นนั้นเราก็มีกฎคนละสามข้อ ท่านคิดว่าอย่างไร หากท่านไม่ทำผิดข้าก็จะไม่ทำผิด แต่หากท่านทรงไม่ควบคุมตัวเอง เช่นนั้นก็ไม่ต้องมาสนใจข้า”

“ได้” หนานกงเย่ปล่อยฉีเฟยอวิ๋น และหันไปมองหากระดาษและพู่กัน

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“ไม่จำเป็นเพคะ ตบมือสัญญาก็ได้”

หนานกงเย่หันกลับมา และฉีเฟยอวิ๋นก็ยกมือขึ้น หนานกงเย่หน้าตาบึ้งตึง:“อวิ๋นอวิ๋น พูดกันดี ๆ ไม่ได้หรือ?”

“ท่านอ๋อง นี่เป็นหลักประกันเพคะ เพื่อประโยชน์ของข้า หากวันหน้าท่านอ๋องต้องการจะสู่ขอพระชายารอง หรือถูกตาต้องใจบุตรสาวบ้านไหน ก็ทรงอย่าโทษข้านะเพคะ?”

สีหน้าของหนานกงเย่ทรุดลง:“ข้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจ และจับมือของเขามาตบฝ่ามือของนาง

เสียงดังเปรี๊ยะ หัวใจของหนานกงเย่สั่นสะท้าน

รู้สึกว่าเหมือนทำหินหล่นใส่เท้าของตัวเอง

“ท่านอ๋องทรงอย่าลืมนะเพคะ หากท่านอ๋องทรงผิดสัจจะ เช่นนั้นข้ายอมตายเสียจะดีกว่า”

“เจ้า……”

หนานกงเย่โกรธมากจนหน้าถอดสี

ฉีเฟยอวิ๋นลูบปาก นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการจะพูด แล้วจะพูดออกมาได้อย่างไร

เมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นลูบปาก หนานกงเย่ก็จับมือของนาง:“ปล่อยให้เจ้าพูดไร้สาระไป”

ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นอย่างงงงวย:“ท่านอ๋อง เมื่อครู่ข้าอยากจะพูดว่าหากท่านผิดสัจจะข้าจะไปจากท่าน และท่านจะไม่ได้เจอข้าอีก แต่ปากของข้าเหมือนเป็นอื่น ถึงได้พูดจาน่ากลัวเช่นนั้น”

“……เป็นไปได้อย่างไร? เจ้าอย่าโกหกข้านะ”

หนานกงเย่เริ่มไม่สบายใจมากขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นกอดหนานกงเย่ ไม่รู้ว่าทำไมจิตใจของนางถึงไม่สงบ

“ท่านอ๋อง มีดทหารปรากฏขึ้นเพราะฮูหยินเสนาบดีต้องการมีดเล่มนั้น เช่นนั้นสิ่งที่ข้าพูด……”

“อย่าพูดจาไร้สาระ” หนานกงเย่ผลักฉีเฟยอวิ๋นออกไป และมองดูใบหน้าอันขาวผ่องของนาง จากนั้นก็กอดอีกครั้ง

“ต่อไปข้าจะไม่หาเรื่องอีกแล้ว” หนานกงเย่กังวลใจเล็กน้อย

ฉีเฟยอวิ๋นออกห่าง:“ท่านอ๋อง กฎของท่านคืออะไร?”

ในเมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว เช่นนั้นก็พูดเสียให้หมด เพื่อที่วันหน้าจะได้ไม่ต้องหึงหวงอีก

หนานกงเย่กล่าวว่า:“ข้านึกเสียใจแล้ว ไม่ต้องพูดถึงมันอีก”

“ท่านอ๋องพูดมาเถอะเพคะ วันหน้าหากข้าออกไปแล้ว ข้าจะทำตามกฎของท่านอ๋อง”

“หากในใจของเจ้ามีข้า เจ้าก็มองคนนอกให้น้อยลงหน่อย ข้ารู้ว่าตัวเองรูปโฉมงดงาม” สีหน้าของหนานกงเย่มืดมน นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าจะใช้คำใดมาบรรยายลักษณะหน้าตาของเขา

เขาไม่เคยทำหน้าตาเช่นนี้มาก่อนเลย คนข้างนอกบอกว่ารูปโฉมของเขางดงาม แต่เขาก็ไม่เคยโอ้อวดใด ๆ

ผู้ชายคนหนึ่งมีแค่ความสามารถก็เพียงพอแล้ว ไม่เห็นต้องรูปโฉมงดงามเลย

แต่เมื่อเห็นท่าทางสับสนวุ่นวายของหญิงผู้นี้แล้ว นางก็ไม่ต่างจากหญิงคนอื่น ๆ ที่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์

เขาไม่อยากจะสนใจ แต่ก็ช่วยไม่ได้

ไม่อยากแม้แต่จะถูกเปรียบเทียบ

เขาไม่ชอบเฉินอวิ๋นเจี๋ย เขาไม่เห็นใครอยู่ในสายตา แต่เขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อหน้าตาของเฉินอวิ๋นเจี๋ยได้

“ไม่ให้มองก็จะไม่มอง แต่การไม่มองคนที่อยู่ตรงหน้า ที่ที่พวกเราอยู่นั่นถือว่าเป็นเรื่องไร้มารยาท ขนบธรรมเนียมของเราต่างกัน และสิ่งต่าง ๆ ที่ทำก็ต่างกัน เรื่องนี้ท่านอ๋องก็น่าจะทราบ

ข้าสามารถรับปากกับท่านอ๋องได้ ขอเพียงแค่ท่านอ๋องไม่ทอดทิ้งข้า นอกจากท่านอ๋องแล้ว ข้าก็จะไม่หวั่นไหวกับชายอื่น

แม้ว่าข้าจะมาจากชาติหน้า แต่ขนบธรรมเนียมของข้าบอกข้าว่าในฐานะผู้หญิง ต้องอยู่กินกับคนคนเดียวไปจนตาย ในเมื่อข้าแต่งงานกับท่านอ๋องแล้ว แม้ว่าจะมีเรื่องไม่สบายใจเกิดขึ้นมากมาย แต่ในตอนนี้ข้ากับท่านอ๋องก็รักใคร่ชอบพอกันดี

ในเมื่อรักแล้วก็จะไม่ไปรักคนอื่นอีก

ดังนั้นข้ารับปากกับท่านอ๋องว่าขอเพียงท่านอ๋องไม่ทอดทิ้งข้า ข้าก็จะไม่ไปชอบผู้อื่นอย่างเด็ดขาด”

หนานกงเย่กล่าวว่า:“ข้าไม่ทางทอดทิ้งอวิ๋นอวิ๋นอย่างแน่นอน”