บทที่ 198 ข้าคิดว่าความเป็นอัศวินสูงไปหน่อย

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

บทที่ 198 ข้าคิดว่าความเป็นอัศวินสูงไปหน่อย

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา งานแลกเปลี่ยนของวิเศษเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

ระหว่างนี้ในที่สุดเทพแห่งระบบก็ตกลอบตกปลาสำเร็จ ได้ค่าประสบการณ์อีกสามสิบล้านคะแนน ทว่าหลังจากนั้นพวกหมูเหล่านั้น พอได้กลิ่นอาหารที่ทำจากหมูวางยาพิษก็หนีหัวซุกหัวซุน… แม้มันจะดูน่ากินส่งกลิ่นหอมโชยไปไกลสิบลี้ก็ตาม แต่กลับดึงดูดปีศาจน้อยที่ไม่รู้ประสาได้ไม่น้อย

เพื่อป้องกันการสังหารผิดตัว ระบบยังต้องเฝ้าระวังไว้ หลังเฝ้ารอเก้อหลายวันก็กลับบ้านอย่างเหนื่อยใจ

สำนักสัจธรรมตั้งอยู่ฐานบัญชาการเมืองเสินโจว อยู่ระหว่างหุบเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองจี้ บริเวณโดยรอบเงียบสงัด

ที่นี่ใช้ตาข่ายเหล็กกับกำแพงสูงกั้นเอาไว้ง่ายๆ ภายในเป็นตึกสามชั้นและสนามต่างๆ ดูไปแล้วคล้ายค่ายทหารทั่วไป

เดิมทีที่นี่มีนายพรานอาศัยอยู่ไม่น้อย จากนั้นทัพทหารก็เข้ามาประจำการพร้อมๆ กัน กลายเป็นเขตหวงห้ามทางทหาร คนไม่เกี่ยวข้องทยอยย้ายหนีจึงกลายเป็นที่รกร้างถาวร

ฟางหนิงคุ้นเคยกับที่นี่แล้ว… ตอนอัศวิน A กลับจากดินแดนมรดกมาที่เสินโจวก็ออกมาจากที่ตรงนี้ ในสัปดาห์นี้ เพื่อตกปลา เทพแห่งระบบก็เข้าไปข้างในอีกแล้วครั้งหนึ่ง

คิดดูตอนนี้ ฐานบัญชาการสำนักงานสัจธรรมในเสินโจวแห่งนี้ สร้างล้อมทางเข้าดินแดนมรดกเอาไว้

คิดถึงว่าสำนักงานสัจธรรมก่อตั้งเมื่อยี่สิบปีก่อน ดินแดนมรดกถูกค้นพบยี่สิบปีที่แล้ว คงผ่านการยกย้ายสุดท้ายจึงลงหลักปักฐานที่นี่ ด้วยประการนี้ดินแดนมรดกจึงมีความสำคัญมาก

ยามนี้ ห้องใต้ดินแห่งหนึ่งในฐานบัญชาการโอ่โถง สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ ภายในมีเวทีที่ตกแต่งคล้ายเวทีการแสดงของนักแสดง ข้างหลังเป็นจอดิจิตอลขนาดใหญ่ สิ่งที่ต่างออกไปคือหน้าจอภาพมีโต๊ะไม้จันทน์หลายตัววางอยู่ บนโต๊ะไม้จันทน์เหล่านั้นมีเครื่องจานลายครามประณีตที่คลุมด้วยผ้าแดงไว้จำนวนมาก

เครื่องจานลายครามเหล่านั้นมีแผ่นกระดาษสีแดงเขียนกำกับชื่อแต่ละชื่อที่ล้วนทำให้คนอิจฉาโดยอักษรข่ายซูเขียนด้วยพู่กัน

“ยาสงบจิต” “ยาทลายด่าน” “ยาสร้างปราณระดับเทพ” “เหล็กเย็นพันปี” “เถาวัลย์ผี” “แหวนเก็บสมบัติสองลูกบาศก์เมตร” …

ล้วนแต่เป็นของหายากหรือยาและอาวุธชั้นยอด เป็นของที่ปัจจุบันในเสินโจวสร้างออกมาไม่ได้ หรือไม่ก็หาได้ยาก…

ทุกคนประหลาดใจอยู่บ้าง ปีก่อนๆ ของข้างบนนั้นล้วนแต่เป็นของสำเร็จ ปีนี้ของส่วนมากกลับเป็นวัตถุดิบ น้อยนิดถึงจะเป็นยาหรืออาวุธหล่อสำเร็จ…

ข้างล่างที่นั่งถูกจัดเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่ก็มีคนนั่งจับจองแล้ว เสียงพูดคุยจอแจคึกคัก คนที่นั่งในยามนี้คล้ายวางมาดของผู้มีอำนาจลง แต่ละคนเหมือนไปเดินตลาดนัด…

ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ณ ที่แห่งนี้ ไม่มีใครวางมาดอีก หากวางมาดใหญ่ รอเมื่อถึงเวลาแลกเปลี่ยนสินค้าแล้วจะต้องเสียเปรียบมาก

“เจ้าสำนักหม่า ได้เจอคุณสักที ยาทาจื่อซานกวนของคุณไม่ได้เรื่องเลย เอวคนแก่อย่างผมนี้หลังจากตกใจจนเคล็ดตอนงานแข่งขันไขความก็ใช้กอเอี๊ยะของพวกคุณสามขนาน ตอนนี้ยังไม่หายดีเป็นปลิดทิ้ง ไม่สบายตัวอยู่ตลอด ก็เลยต้องไปขอยาจากเขาเทียนชิง…”

“ประมุขหลิน คุณภาพสินค้าตามราคานั่นแหละ อย่าคิดมาก….”

ที่นั่งหนึ่งกลางโถง ชายชราผมขาวบุคลิกดีที่พกกระบี่เล่มหนึ่งคนหนึ่งกำลังบ่นกับเจ้าสำนักหม่าของจื่อซานกวน

เจ้าสำนักหม่าปลอบใจลูกค้าเก่าแก่คนนี้ด้วยสีหน้าจนปัญญา ข้างหลังเขายังคงมีหม่าผิงกับเสิ่นซิงเฉินติดตามมาด้วย

นมัสการพระอาจารย์ ”

“พระอาจารย์ เป็นยังไงบ้างครับ…”

“พระอาจารย์ ครั้งก่อนที่ผมพูดเรื่องไหว้อาจารย์ ท่านกำหนดวันมาวันนี้เลยดีไหม…”

อีกด้านหนึ่ง พระชราในผ้าเหลืองรูปหนึ่งกำลังพยักหน้ารับคำทักทายจากผู้คนที่เข้ามา ยิ้มเล็กน้อยไม่พูดจา

“เอ๋ คนของสำนักราชาผียังไม่มาเหรอ…”

“ได้ยินว่าปีนี้ไม่เข้าร่วมแล้ว ”

“มีอะไรเหรอ ”

“คุณยังไม่รู้เหรอ พวกเขาล่วงเกินเขาเทียนชิงไงล่ะ ”

เสียงดังเซ็งแซ่จอแจ ทั้งโถงมีคนกว่าพันคน รวบรวมองค์กรผู้วิเศษที่ส่วนมากจัดตั้งโดยถูกต้องตามกฎหมายของเสินโจว ทั้งเนื่องจากการจัดการของสำนักงานสัจธรรม หากไม่ได้รับอนุญาติจากทางการห้ามลอบจัดงานใต้ดินตามอำเภอใจ

วันนี้จึงมีงานรวมตัวครั้งใหญ่ ได้รับโอกาสในการผูกสัมพันธ์กับกลุ่มพวกเดียวกัน ไม่แปลกที่วันนี้จะคึกคักขนาดนี้

ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ในโถง มีเสียงหนึ่งโพล่งขึ้นมา

“ดูนั่นสิ พวกมังกรแห่งจิตวิญญาณมาถึงแล้ว…”

เหล่าผู้วิเศษที่กำลังทักทายกันต่างเงยหน้าขึ้นมา บางคนยังลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งหันไปมองทางเข้า ทั้งห้องเงียบลงถนัดตา คล้ายกับครูที่ปรึกษาเดินเข้ามาในห้องเรียนรู้ด้วยตัวเองยามเย็นของเด็กมัธยม…

ต่างกับตอนที่เจ้าสำนักหรือผู้นำจากหลายที่ที่เข้ามาแล้วมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ข้างหลังอัศวัน A มีเพียงเจิ้งต้าวติดตามมาเพียงคนเดียว ข้างหน้ามีคนของสำนักงานสัจธรรมคนหนึ่งเดินนำเขาไปที่นั่ง

คนอื่นๆ มองตากัน ทว่าไม่มีใครเดินเข้าไปทักทาย กระทั่งนักพรตเฒ่าหม่า ประมุขหลินอวี้ชิงที่เห็นได้ชัดว่ารู้จักกับอัศวัน A ก็ทำเป็นมองไม่เห็น

เหล่าผู้วิเศษล้วนมีข่าวสารว่องไว การต่อสู้ที่หุบเขาวิญญาณพวกเขาล้วนรับรู้ ทั้งยังมีฮัมมิ่งเบิร์ดองค์กรที่แทรกซึมอยู่ทุกส่วนด้วย องค์กรที่พอมีอำนาจบ้างล้วนรู้ว่า เทพมังกรที่เพิ่งผงาดขึ้นมาครึ่งปีกว่าคนนี้ฟาดฉีเหมยจากเขาเทียนชิงตายด้วยไม้เดียว…

สามปีก่อนฉีเหมยออกหาเรื่องท้าสู้กับผู้อื่นไปทั่ว จงใจเลือกท้าสู้กับสำนักที่มีอำนาจฝังลึก กำจัดเด็กมีความสามรถไปหกคน การตกอับของเธอเป็นที่สาแก่ใจของผู้คนไม่น้อย

ทว่าพวกเขากลับไม่ได้เข้าไปสวามิภักดิ์กับอัศวัน A ด้วยประการนี้ พวกเขาต่างคิดว่าพวกอวดดี หยิ่งผยอง แทบไม่คบค้ากับผู้อื่นอย่างเขาเทียนชิงจะไม่ยอมจบง่ายๆ ใครเข้าใกล้อัศวัน A แล้ว เกรงว่าคนพวกนั้นจะโดนหางเลขไปด้วย…

ความสงบก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างคิดว่าเป็นเพียงความสงบก่อนพายุโหมกระหน่ำ ความเลวร้ายรออยู่ข้างหลัง

งานแลกเปลี่ยนของวิเศษในวันนี้ เทพมังกรแห่งจิตวิญญาณท่านนี้กลับปรากฎตัวตามปกติ พวกเขายิ่งคิดว่ากู่ปู้เหวยที่อีกเดี๋ยวจะปรากฎตัวจะต้องปะทะกับท่านเทพมังกรอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

แต่ก๋มีคนสงสัย ตามหลักแล้วสำนักงานสัจธรรมควรจะคาดเดาได้ ไม่ควรให้ท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณเข้าร่วม ตอนนี้ยังปล่อยให้เขาเข้ามา ในหัวของพวกเขาตอนนี้จินตนาการไปถึงแผนร้ายต่างๆ ปล่อยเสือตะครุบหมาป่า ปล่อยนกกระยางสู้กับกาบหอย…

ฟางหนิงเดินนำเจิ้งต้าวอย่างไม่รีบร้อน ท่ามกลางความเงียบก็เดินมาถึงที่นั่งที่เขียนไว้ว่า “ท่านเทพมังกรแห่งวิญญาณ” ที่อยู่ใกล้เวที

ในตอนนั้นเอง พระเฒ่ารูปนั้นก็เดินเข้ามา ไม่พูดจา เพียงพนมมือให้อัศวิน A พร้อมโค้งกายคำนับ จากนั้นจึงเดินจากไปช้าๆ

ความเงียบยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่หลายคนเริ่มเริ่มแอบซุบซิบกัน

“พระอาจารย์เทียนจิงเป็นถึงอรหันต์ชั้นสูง ไม่กลัวเขาเทียนชิงนั่น…”

“นั่นน่ะสิ พวกเราทำไม่ได้หรอก ถ้าถูกพวกเขาคิดแค้น อีกสามปีมีฉีเหมยอีกคนมาเคาะประตูก็ซวยแย่น่ะสิ ” คนพวกหนึ่งกำลังแก้ต่างให้ตัวเอง

ขณะเดียวกันก็มีผู้วิเศษไม่น้อยขมวดคิ้วมุ่น พวกเขาสัมผัสได้ว่าตอนนี้วิญญาณเทพของอัศวิน A กำลังบาดเจ็บหนัก!

ก่อนหน้านี้อัศวิน A ต่อสู้ที่ดินแดนมรดก จากนั้นยังสู้กับผู้สืบทอดตรีเทพแห่งเทียนจู๋ เนื่องจากสำนักงานสัจธรรมปิดกั้นข่าวจึงมีเพียงคนในที่ทราบ

ตอนนี้เหล่าผู้วิเศษต่างคิดว่านี่ต้องเป็นเพราะการต่อสู้ที่หุบเขาวิญญาณ ท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณได้รับชัยชนะกลับมา แต่ขฯะเดียวกันก็บาดเจ็บสาหัส

มีคนเริ่มซุบซิบขึ้นอีกว่า “อย่าว่าแต่ถูกเขาเทียนชิงคิดแค้นเลย แค่พูดถึงว่าหากถูกพวกเขาจัดเข้าบัญชีดำทางการค้า ปฏิเสธไม่ให้พวกเราซื้ออาวุธกับยาของพวกเขาก็เสียหายหนักหนาแล้ว สำนักของเรามีสองคนที่รอทะลุด่าน หวังว่าครั้งนี้จะได้ยาทลายด่านด้วย ”

ฟางหนิงนั่งดื่มชาเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ แม้ไม่ได้ยินว่าคนพวกนั้นพูดอะไร แต่เพียงมองสายตาลับๆ ล่อๆ ของพวกเขา รวมทั้งท่าทีมีความสุขบนความทุกข์คนอื่นก็รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไร

ทว่าเขาไร้ซึ่งอาการประหม่า เพียงพูดคุยโต้ตอบกับระบบ

ระบบ “คนพวกนี้ไร้สำนึกเกินไปแล้ว ฉันจัดการมันให้พวกมันนะ… พวกมันกลับเห็นพวกเราเป็นเทพแห่งโรคระบาด ทำเป็นไม่รู้จักกันเลย ไม่เข้ามาทักทาย ไม่ส่งพวกยารักษามาให้ ห่างชั้นกับเฉียวอันผิงไกลลิบ ตอนนี้พวกมันไม่ต่างกับพวกหมูป่าที่เห็นเหยื่อของฉันแล้วเผ่นราบเลย…”

ฟางหนิงคิดว่าปกติมาก ลับหลังพวกเขาสะใจที่เขาเทียนชิงถูกจัดการ แต่ภายนอกคนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกปกป้องตัวเอง

เขาบอก “ฉันรู้ว่าแกต้องพูดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด อย่างนี้พอผดุงคุณธรรมแล้วถึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกคนเลวแก้แค้น พวกที่เอนเอียงตามอำนาจจะได้สมัครสมานกับเรา ส่งยามาให้แล้วก็เข้ามาถามไถ่ ”

ระบบ “ดูท่าหลังจากนี้ต้องขึ้นราคาให้สูงหน่อย เจ้าพวกนี้เห็นผลประโยชน์แล้วลืมคุณธรรม เอยเอียงไปตามอำนาจ ใจดีกับพวกมันไม่ได้… เอาทรัพยากรจากคนพวกนี้กลับมา สร้างความแข็งแกร่งให้พวกเราถึงจะผดุงคุณธรรมได้ดียิ่งขึ้น ”

ฟางหนิง “ใช่แล้ว ฉันสนับสนุน วิธีการนี้เป็นวิธีที่มีศักดิ์ศรีที่สุด ”

ระบบ “เอ๋ โฮสต์พูดอย่างนี้ ฉันคิดว่าเหมือนจอมยุทธ์มากไปหน่อยจริงๆ…”

เจ้าสำนักหม่ามองไปรอบๆ หลังจากพระเฒ่ารูปนั้นเดินไปทักทายแล้ว เขาก็อยากลุกขึ้นไปทักทายสักหน่อย ทว่าพอมองลูกชายหน้าตาอ่อนเยาว์ของตนกับลูกศิษย์อัจฉริยะที่เพิ่งรับไว้ก็ถอนหายใจ นั่งลงตามเดิม

ตั้งแต่มังกรแห่งจิตวิญญาณท่านเทพมังกรแห่งจิตวิญญาณเข้ามา เสียงในห้องโถงเบาลงขนัดตา หลายคนไม่พูดจาด้วยซ้ำ

ภายใต้บรรยากาศกดดันนี้ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เสียงเข็มนาฬิกาตั้งพื้นในห้องเดิน ติ๊กต่อกๆ ไปเรื่อยๆ

ระบบฝึกฝนวิชาในตัว ไม่ได้รับผลกระทบจากบรรยากาศแม้แต่น้อย

เจิ้งต้าวที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็สีหน้าราบเรียบ ไม่มีท่าทีขุ่นข้องหมองใจอะไร

ท่ามกลางความอึมครึม จู่ๆ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นทำลายบรรยากาศ

เห็นเพียงชายกักขฬะวัย 40กว่าเดินเข้ามา คือเฉียวอันผิงนั่นเอง สีหน้าของเขาซีดขาวอยู่บ้าง เห็นได้ว่าอาการบาดเจ็บครั้งก่อนยังไม่หายดี

เขาเดินตรงเข้ามาทางที่นั่งของอัศวิน A จากนั้นก็นั่งลงเหมือนไม่มีใครอยู่

“ท่านเทพ ไม่เจอกันหลายวันก็ยังทำเรื่องชวนตะลึงอย่างนี้อีกแล้วนะครับ ช่วยเหลือคนอ่อนแอกำจัดคนแข็งกระด้าง เป็นวิถีของวีรบุรุษมาตั้งแต่โบราณจนทุกวันนี้จริงๆ เฉียวโหม่วนับถือที่สุด ”

เขาประสานมือบอกกับอัศวิน A ด้วยท่าทีสัตย์จริง

ระบบ “ดูสิ พูดถึงเขา เขาก็มาแล้ว ”

ฟางหนิง “นี่เป็นตัวช่วยที่เริ่นรั่วเฟิงส่งมาช่วยเรา แน่นอนว่าเป็นคำขอของตัวเฉียวอันผิงเองด้วย ไม่อย่างนั้นเขาที่บาดเจ็บหนักคงไม่ได้มาร่วมงาน เขาดูยังไม่หายดี แกเอายารักษาวิญญาณให้เขาอีกหน่อยสิ ”

ระบบ “ทำไมล่ะ ”

ฟางหนิงกลอกตา “ก็ทำให้พวกเอนเอียงตามอำนาจนั่นดูไง เป็นการโฆษณาไปด้วย ”

ระบบ “ได้ งั้นก็ให้ของดีเขาหน่อย ”

การแจ้งเตือนของระบบ (ระบบหักหนึ่งหมื่นค่าประสบการณ์ ใช้สมุนไพรปราณกำเนิดชั้นดี ใช้วิชากลั่นยาชั้นต้น กลั่นลูกกลอนเพิ่มความแข็งแกร่งสามลูก )

ฟางหนิงพอใจอย่างมาก ในมือถือยาสีเขียวน้ำทะเลใสกระจ่างสามเม็ดยื่นให้

“สหายเฉียว เรื่องเล็กน้อยน่า ข้าแค่จัดการไปเบาะๆ ไม่สมกับคำชมเชยอย่างนี้หรอก ยาเก้าหันคืนวิญญาณสามเม็ดนี้ข้าเพิ่งกลั่นสำเร็จ รักษาบาดแผลทางวิญญาณดียอด คุณรับไว้สิ จะได้ไม่อ่อนแรง…”

ฟางหนิงว่าจบก็กวาดตามองรอบๆ ห้อง คนอื่นต่างไม่กล้าสบตากับเขา นี่คือบุคคลที่ไม่เห็นเขาเทียนชิงในสายตา พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้ และยิ่งไม่กล้ายั่วโมโหอีกฝ่าย…

……………………………………………….