ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 346 ลานแสดงธรรมพระอาจารย์โพธิ

จอมศาสตราพลิกดารา

ในเรื่องไซอิ๋วหนึ่งในสี่ยอดวรรณกรรมของประเทศจีนบนโลกมนุษย์ พญาวานรโสภาที่เป็นวานรหิน[1]โดยกำเนิดข้ามน้ำข้ามทะเล ลำบากมานานัปการ เพื่อที่จะตามหาความเป็นอมตะ ในที่สุดก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์โพธิบุคคลลึกลับผู้หนึ่งในตำนานไซอิ๋ว ต่อมามีคนศึกษาพิสูจน์แล้วว่าพระอาจารย์โพธิรูปนั้น เป็นไปได้มากว่าจะเป็นหนึ่งในศาสดาของศาสนาทางตะวันตก ในตอนนั้น เขาเซียนที่พระอาจารย์โพธิหลบมาอยู่อย่างสันโดษคือเขาหลิงไถฟางชุ่น ถ้ำที่พำนักอยู่ก็คือถ้ำสามดาวเดือนเสี้ยว

หลี่มู่ยืนอยู่ที่ปากถ้ำ สีหน้าตกใจสงสัย

ไม่นึกว่าจะปรากฏสถานที่ในตำนานไซอิ๋วเช่นนี้ นี่มันเรื่องบังเอิญหรือ?

หรือว่า…

วานรภูเขาขนทองเข้าไปในถ้ำภูเขา หายไปอย่างไร้ร่องรอย

จะไล่ตามดีหรือไม่?

ลมวูบหนึ่งพัดมา หลี่มู่รู้สึกเพียงว่าที่หว่างขาเย็นวาบ

ตอนนี้เขาตัดสินใจได้ทันใด

ตามเข้าไปก่อนก็แล้วกัน ใส่กระโปรงฟางแบบนี้ตลอดคงไม่ใช่เรื่อง จะดีจะเลวก็ต้องเข้าไปชิงหยกประดับที่เก็บเสื้อผ้าเอาไว้มาให้ได้

หลี่มู่คิดในใจ ดาบบินทั้งยี่สิบสี่เล่มบินเข้ามาปกป้องรอบกายราวหมู่ผีเสื้อ จากนั้นเขาจึงขึ้นเหยียบมันพุ่งเข้าไป

ในถ้ำหินคดเคี้ยวไปมา แต่พื้นที่กว้างใหญ่นัก พื้นเรียบสนิท เหมือนเป็นสิ่งที่คนมาสร้างเอาไว้ เดินเข้าไปไม่ถึงสามสิบจั้งดี ก็เห็นบันไดหินสีเขียวทอดยาวขึ้นไปด้านบน กำแพงหินทั้งสองด้านของบันไดมีศาลหลังเล็กอยู่ เพียงแต่รูปปั้นบนนั้นแตกหักไปหมดแล้ว โคมไฟก็เผาไหม้จนมอดดับหมดแล้วเช่นกัน ไม่รู้ว่าผ่านวันเวลามานานเท่าไหร่แล้ว

ศาลบางส่วนเต็มไปด้วยใยแมงมุม

ภายในถ้ำภูเขามีแต่สิ่งชำรุดทรุดโทรม เห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีคนอาศัยอยู่นับพันหมื่นปีแล้ว

ยังดีที่นอกจากความชำรุดทรุดโทรม ก็ไม่ได้มีสิ่งของจำพวกกับดักหรือค่ายกล หลี่มู่เดินขึ้นบันไดหินเขียวอย่างราบรื่น หลังจากขึ้นมาหลายร้อยขั้นก็พบกับทางเรียบอีกหนึ่งช่วง จากนั้นจึงเป็นบันไดอีก เป็นเช่นนี้จนเดินขึ้นมาถึงส่วนในของถ้ำสูงกว่าสองลี้ ด้านหน้าพลันสว่างกว้างโล่ง ไม่ใช่ในถ้ำแล้ว แต่ออกมาด้านนอก

ตลอดการเดินไม่มีทางแยก และไม่พบเงาของวานรภูเขาขนทอง

ทางสายเล็กเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า

เมื่อผ่านเส้นทางออกมา ยามมองดูอีกครั้งกลับพบสิ่งปลูกสร้างโบราณที่ทำจากอิฐกระเบื้องสีเขียวเรียงรายเป็นแถบ สร้างชิดติดเขา รัศมีราวสองลี้ อาณาเขตกว้างใหญ่ เพียงแต่ทรุดโทรมหมดแล้ว มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นรกครึ้ม เรือนบางส่วนพังถล่ม สะพานไม้ผุพัง อิฐเขียวต้องลมฝนจนเป็นหลุมเป็นบ่อ เถาวัลย์ที่ไม่รู้จักชนิดเลื้อยเต็มซากกำแพง ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เพียงมองวิหารสูงใหญ่บางส่วนที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ ก็รู้ได้ว่าเมื่อก่อนที่นี่เจริญรุ่งเรืองระดับไหน

‘นี่เป็นลานแสดงธรรม’

หลี่มู่แค่มองก็รู้

ดูจากขนาด ในอดีตลานแสดงธรรมนี้คงจุคนได้อย่างน้อยหลายหมื่น เทียบได้กับสำนักขนาดใหญ่บางส่วนเลยทีเดียว

พลังจิตวิญญาณแผ่ออกมาราวน้ำขึ้น

หลี่มู่รู้สึกได้ ในอากาศและบนพื้นมีกลิ่นอายบางเบาของวิชาเต๋าหลงเหลืออยู่ เห็นชัดว่าจากกาลเวลาที่ผ่านไป ไม่มีคนมาบูรณปฏิสังขรณ์ ดังนั้นค่ายกลป้องกันที่เคยวางไว้ในลานแสดงธรรมนี้จึงสูญสิ้นบทบาท กาลเวลาช่างเป็นพลังที่น่ากลัวที่สุดบนโลกนี้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีอำนาจบารมีหรือผู้ที่ต่ำต้อยก็กลายเป็นฝุ่นธุลีทั้งสิ้น หลี่มู่จินตนาการออกว่ายุคที่ลานแสดงธรรมนี้อยู่ในจุดสูงสุด จะต้องพิชิตเก้าสำนักเทพแห่งแผ่นดินใหญ่เสินโจวตอนนี้ได้อย่างแน่นอน ทว่าเป็นเพราะเหตุผลบางอย่างจึงรกร้างทรุดโทรมไป

เมื่อลองสัมผัสอย่างละเอียด กลิ่นอายค่ายกลวิชาเต๋าที่เหลืออยู่ล้วนเป็นวิชาเต๋าจากดาราสมุทร ไม่ใช่ค่ายกลดาราของแผ่นดินใหญ่เสินโจว แค่ตอนนี้ไม่มีพลังสังหารอะไรอีกแล้ว หลี่มู่พบร่องรอยระหว่างหลบหนีของวานรภูเขาขนทองบนกำแพงผุพัง จึงเดินตามทางเก่าสายหนึ่งเข้าไปในลานแสดงธรรม

‘ที่นี่คงไม่ใช่ลานแสดงธรรมของพระอาจารย์โพธิจริงๆ หรอกใช่ไหม?’

หลี่มู่เริ่มระแวง

ในไซอิ๋ว หลังจากพระอาจารย์โพธิขับไล่ซุนหงอคงลงจากเขาไปก็ย้ายที่พำนัก เมื่อคนจากไปภูเขาก็ว่างเปล่า ต่อมาซุนหงอคงไปถอนต้นไม้ผลเซียนเข้า ขณะที่ตรงกลับมาเขาหลิงไถฟางชุ่นเพื่อขอความช่วยเหลือ ถ้ำเมื่อกาลก่อนก็กลายเป็นซากปรักหักพัง สำนักรกร้างไปแล้ว พระอาจารย์โพธิก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน…นี่เป็นปริศนาหนึ่งในไซอิ๋ว สรุปได้ว่าตัวพระอาจารย์โพธิผู้นี้เต็มไปด้วยความลี้ลับมากมาย ใช้เวลาสามปีถ่ายทอดอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดให้ซุนหงอคง เป็นการคงอยู่ระดับศาสดาเลยทีเดียว

หลี่มู่รู้สึกว่า ตนเองคงไม่ได้เข้ามาในสถานที่ในไซอิ๋วหรอกกระมัง?

หรือลานแสดงธรรมแห่งนี้จะเป็นสถานที่ที่พระอาจารย์โพธิทิ้งไปหลังจากถ่ายทอดอภินิหารให้ซุนหงอคงแล้ว?

เหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้ว

เมื่อเดินลึกเข้าสู่ในลาน หลี่มู่มองเห็นเรือนสูงเตี้ยต่างกันส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่พังทลายหมดแล้ว สะพานไม้ผุพัง พื้นที่เพาะปลูกแต่เดิมมีหญ้าขึ้นรก น่าจะเป็นพื้นที่สำหรับดำรงชีวิตเมื่อครั้งนั้น เขายังเห็นบ่อน้ำที่แห้งแล้ว เศษผุพังที่เป็นเค้าโครงของหม้อ…ทั้งหมดถูกกัดกร่อนตามกาลเวลาที่ผ่านไป

หลังจากนั้น ยามเข้าไปด้านในอีกเหมือนจะเป็นลานแสดงยุทธ์ รูปปั้นหินขาวสูงใหญ่ส่วนหนึ่งล้มบ้างตั้งบ้าง สภาพไม่สมบูรณ์ ส่วนใหญ่เป็นรูปปั้นของเทพและภูตผีหลายรูปแบบ ใบหน้าไม่ชัดเจน คลับคล้ายถูกใครบางคนจงใจทำลาย เห็นได้เพียงเค้าโครงเท่านั้น

หลี่มู่มองเห็นวิหารใหญ่ที่ทรุดพังหลังหนึ่ง ป้ายหินโบราณบนประตูสลักอักษรจ้วนโบราณไว้ แยกแยะอย่างละเอียดได้เป็นอักษรตัวใหญ่ว่า ‘วิชาทำนายทายทัก’

หลี่มู่นึกขึ้นได้ว่าในไซอิ๋ว พระอาจารย์โพธิที่เชี่ยวชาญวิชาร้อยสำนัก ก่อนหน้าที่จะถ่ายทอดอภินิหารให้ซุนหงอคงก็เคยให้เขาเลือก ‘สายวิชาการ’ และเคยแสดงสามร้อยหกสิบวิถีนอกรีตของวิชาเต๋า ในนั้นรวมการเชิญเทพเข้าทรง เสริมมงคลเลี่ยงเคราะห์จากศาสตร์ทำนายทายทัก การอ่านคัมภีร์ท่องบทสวดและมองความเป็นจริงจากศาสตร์ร้อยสำนัก การนั่งฌานทำสมาธิ ลดคำพูดถือศีลกินเจจากศาสตร์แสวงบุญ การลดหยินเสริมหยาง เหยียบย่ำศรธนูจากศาสตร์นอกรีต…ในนั้นก็ไม่ใช่ว่าพูดถึงศาสตร์ทำนายทายทักนี่หรือ?

ให้ตายเถอะ

เป็นลานแสดงธรรมของพระอาจารย์โพธิจริงหรือนี่?

หลี่มู่กระโดดตัวขึ้น กวาดสายตามอง เห็นว่าห่างออกไปราวสามสิบจั้งมีวิหารใหญ่คล้ายกันอีกแห่ง บนประตูก็มีป้ายหินโบราณเหมือนกัน ด้านบนสลักอักษรจ้วนโบราณไว้ว่า ‘วิชาร้อยสำนัก’…

หลี่มู่ยืนอยู่ที่เดิม เริ่มคิดอย่างหนัก

ก่อนหน้าไพล่คิดไปถึงไซอิ๋ว จริงๆ แล้วเขาก็ยังรู้สึกขบขันไม่ค่อยอยากเชื่ออยู่

แต่ตอนนี้…มันจะประจวบเหมาะมากเกินไปแล้วกระมัง

ความประจวบเหมาะของเรื่องนี้ ก็เหมือนกับความเข้าใจผิด

ความเข้าใจผิดที่มากเกินไป ก็จะไม่ใช่ความเข้าใจผิดแล้ว

และความประจวบเหมาะที่มากเกินไป ก็ไม่ใช่ความประจวบเหมาะเช่นกัน

“ถ้าหากที่นี่เป็นลานแสดงธรรมของพระอาจารย์โพธิในตำนานจริง เช่นนั้น…”

หลี่มู่แหงนหน้า ดวงตาเริ่มมีประกายแสง

พระอาจารย์โพธิหรือ วัวตัวใหญ่เลยนะนั่น ในลานแสดงธรรมของเขา แค่หยดน้ำเล็กๆ หยดเดียวที่เหลืออยู่ก็ถือเป็นมหาสมบัติแล้ว

หลี่มู่ไม่สนใจไปตามหาวานรภูเขาขนทองเพื่อแย่งกางเกงตนคืนอีก แต่ใส่กระโปรงหญ้าพุ่งตรงเข้าไปยังวิหาร ‘วิชาทำนายทายทัก’ ด้วยความดีใจ คิดจะค้นหาวิถีการฝึกฝนและความลับวิถียุทธ์ที่อาจหลงเหลือทิ้งไว้

เมื่อเทียบกับเรือนอื่นๆ วิหารใหญ่จำพวกนี้ทำจากหินทั้งหลัง มีลายเต๋าปลุกเสก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังไม่พังทลาย ด้านในมีแผ่นหินปูพื้น ไม่มีวัชพืชขึ้น มีฝุ่นเล็กน้อย ทว่าที่ทำให้หลี่มู่ผิดหวังมากก็คือ ภายในวิหารใหญ่นี้โล่งโจ้งไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย สะอาดยิ่งกว่ามีหนูหมื่นตัวมาเยือนเสียอีก อย่าว่าแต่เคล็ดการฝึกฝน กระทั่งชั้นวาง เบาะรองนั่ง รูปเคารพก็ไม่มี ชัดเจนว่าถูกย้ายไปหมดแล้ว

หลี่มู่ใช้เนตรสวรรค์กวาดดูเป็นสิบรอบ เพื่อยืนยันว่าไม่มีอะไรตกหล่น

นี่ทำเขาผิดหวัง

จากนั้นเขาเดินไปยังวิหารอื่นๆ อีกกว่าสามสิบวิหารต่อมาเช่น ‘วิชาร้อยสำนัก’ ‘วิชานอกรีต’ แต่ละหลังเขากวาดค้นรอบหนึ่งก็ไม่พบอะไรเลย ในวิหารแทบทั้งหมดล้วนว่างเปล่า โล่ง โล่ง โล่งไปหมด….

ราชาปีศาจหลี่ผิดหวังเป็นอย่างมาก

แต่มันก็สมเหตุสมผลอยู่

พระอาจารย์โพธิถึงแม้ชื่อเสียงมากทรัพย์สินเยอะ แต่ก็คงไม่ถึงกับทิ้งวิชาและตำราลับทั้งหมดของตนไปเหมือนทิ้งขยะตอนที่ปิดสำนัก

เฮ้อ หวังเยอะเกินไปแล้ว

หลี่มู่ละทิ้งความคิดว่าจะโชคดีไป ก่อนกระโดดขึ้นบนวิหารหินหลังหนึ่ง กวาดตามองไปยังสี่ทิศรอบด้าน หาร่องรอยของวานรภูเขาขนทองอีกครั้ง

หากางเกงกลับมาใส่ก่อนแล้วกัน

ใครจะรู้ เมื่อไม่มองก็ไม่รู้ แต่เมื่อดูต้องตกใจ

ภายใต้การมองของเนตรสวรรค์ หลี่มู่พบว่าห่างออกไปสามจั้ง วานรภูเขาขนทองสูงเกือบสิบฉื่อตัวหนึ่งกำลังกำกระบองประหลาดสีทอง ย่องเบาเข้ามาใกล้จากด้านหลังเขา ใบหน้ามีรอยยิ้มชั่วร้าย ท่าทางลับๆ ล่อๆ ไร้ซุ่มไร้เสียง อยู่ในท่าจะฟาดกระบองให้มึน…มารดามัน เจ้านี่พรางตัวได้ด้วย แล้วยังคิดจะลอบกัดอีก?

ความตกตะลึงในใจหลี่มู่พุ่งทะลวงเส้นขอบฟ้าไปแล้ว

เจ้าวานรตัวนี้เป็นภูตปีศาจแล้วสินะ ทำตัวเป็นจอมโจรใหญ่ ทั้งยังหันมาสวนกลับอีก

พริบตาที่เนตรสวรรค์มองเห็น วานรภูเขาขนทองตกใจ จากนั้นจึงรู้ตัวว่าตนเองน่าจะถูกพบตัวแล้ว

“อูๆๆ…” มันร้องเสียงประหลาด ใบหน้าเหมือนเห็นผี หันหลังตั้งท่าจะหนีไป

ครั้งนี้หลี่มู่จะคิดหนี้แค้นเก่ากับใหม่พร้อมกันเลย ใช้วิชาดาบเหินหาวพุ่งตามทันใด

ป้าบๆๆ!

หลังดาบของดาบบินดุจไม้กระดาน กระหน่ำฟาดลงที่ก้นวานรภูเขาขนทองเหมือนพายุฝนลมกระโชก

นี่สำหรับที่เจ้าขโมยเสื้อผ้าข้า

นี่สำหรับที่เจ้าเยาะเย้ยถากถางข้า

นี่สำหรับที่เจ้าจะมาลอบตีข้า

จะตีก้นเจ้าให้บานเป็นดอกไม้ไปเลย

วานรภูเขาส่งเสียงประหลาด ร้องเสียงแหลม ราวกับกำลังถูกพรากพรหมจรรย์อย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะหนีเตลิดสุดชีวิต ตลอดทางไม่รู้ว่าพุ่งชนกำแพงหินไปเท่าไหร่ ก้นก็ไม่รู้ว่าถูกดาบฟาดไปแล้วกี่ที ไฟแทบจะลุกอยู่แล้ว เสียงของมันตอนแรกสุดคือโกรธโมโหบ้าคลั่ง เหมือนกำลังสาปแช่ง แต่ตอนหลังเปลี่ยนเป็นอ้อนวอน โหยหวน และขอร้อง…เพราะว่าใช้วิธีการต่างๆ ไปก็ยังสลัดไม่หลุด หลี่มู่เพียงใช้เนตรสวรรค์ส่อง วิชาเต๋าวิชาภาพมายาใดๆ ก็ถูกมองออกทั้งหมด

สุดท้าย วานรภูเขาขนทองจึงเลิกคิดหนี

มันหมอบคลานอยู่บนพื้น เอาหัวมุดเข้าไปในโพรงต้นไม้ กุมศีรษะตนเองไว้ กระดกก้นที่โดนฟาดขึ้นมา

หลี่มู่ขำออกมา

เมื่อยึดเสื้อผ้าที่ปริขาดกับหยกบนตัวมันกลับคืนมา และหยิบเสื้อผ้าที่เก็บไว้ด้านในออกมาเปลี่ยน จึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

“พูดมา ตำราลับกับวิชาไปอยู่ที่ไหนหมด?”

ราชาปีศาจหลี่ที่ยังไม่หายเคืองคว้าตัววานรภูเขาขนทองขึ้นมา ถามไปด้วยประเคนหมัดไปด้วย ระบายความกลัดกลุ้มที่ภายในลานแสดงธรรมไม่เหลืออะไรให้ตนเก็บเกี่ยวอย่างไม่ปรานี ท้ายที่สุด วานรภูเขาขนทองถูกอัดจนจมูกเบี้ยวตาเข แก้มบวมแดง คุกเข่ายอมศิโรราบให้อยู่บนพื้น หากเจ้านี่พูดได้ละก็ คงจะเรียกเขาว่าบิดาไปแล้ว…

ความจริงวานรภูเขาขนทองก็มึนงงเช่นกัน

มันได้รับโชคโอกาสบางอย่าง จึงได้รับวิชาแปลงร่าง พรางตัว กับบินทะยานมา ประกอบกับว่าผิวหนังหยาบกล้ามเนื้อหนา ทำให้แทบจะกลายเป็นเจ้าแห่งดินแดนนี้ เกะกะระรานเขาไปทั่ว ใครเล่าจะกล้ายั่วโมโหมัน? ทว่าตอนนี้ เพียงแค่ขโมยเสื้อผ้ามาไม่กี่ชิ้น ก็ถูกคนไล่ตามมาตีถึงหน้าประตู ตีจนเป็นแบบนี้…ความยุติธรรมยังมีอยู่หรือไม่?

มันลูบก้นกับใบหน้าที่บวมตุ่ย เจ็บและรู้สึกสำนึกเสียใจ

“บอกมา ในนี้ยังมีของดีอะไรอยู่อีกไหม?” หลี่มู่ถามขึ้นด้วยจิตสังหารคุกรุ่น

วานรภูเขาขนทองอาศัยลานแสดงธรรมนี้เป็นบ้านแน่นอน ดังนั้นจะต้องคุ้นเคยมาก หลี่มู่ต้องบีบคั้นสักรอบ

วานรภูเขาขนทองปิดหน้าตัวเอง ชี้ไปทางด้านหลังอย่างสัตย์ซื่อ ปากสูดลมหายใจพลางร้องอู้ๆ ทำท่าเหมือนด้านนั้นมีสมบัติอยู่…

“นำทางไป” หลี่มู่รวมดาบบินทั้งยี่สิบสี่เล่มกลับเป็นดาบวัฏจักร แล้วพาดไว้บนคอของวานรภูเขาขนทอง

…………………………………

[1] ลิงหิน มาจากต้นกำเนิดของซุนหงอคง ซึ่งเกิดจากหินที่อาบแสงอาทิตย์และแสงจันทร์บนเขาฮวากั่ว (ฮวยก๊วยซัว) มาเป็นพันปี