ตอนที่ 218 เหยียดหยาม

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังจากการทักทายและพบหน้าสมาชิกตระกูลคนใหม่เสร็จสิ้นแล้ว อวี๋จวินเหยาและเหวินเปียวก็ขอตัวกลับออกไป

พวกเขาทั้งคู่เพียงอยากรู้จักหน้าค่าตาหลานสาวของจ้าวผู้ครองนครเท่านั้น ตอนนี้เมื่อได้เห็นแล้ว พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่ออีก

สำหรับเหวินเปียวนั้น หากให้ตัดสินจากการพบเจอกันครั้งแรกนี้ ฉินอวี้โม่นับว่าเป็นเด็กที่ดี เขาในฐานะที่เป็นอารองของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นรู้สึกเอ็นดูบุตรีของหลานสาวผู้นี้มาก

ถึงแม้ฉินอวี้โม่จะคล้ายอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเพียงรูปกายภายนอก อีกทั้งบุคลิกและลักษณะท่าทางก็แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว แต่เหวินเปียวก็ยังรู้สึกถูกใจเด็กคนนี้ เพียงได้พบเจอในวันนี้ เขาก็ทราบแล้วว่าสายเลือดของจ้าวผู้ครองนครเมฆาคนนี้ไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย

ขณะที่พี่ชายชมชอบหนักหนา ทว่าฝ่ายอวี๋จวินเหยากลับไม่รู้สึกผูกพันหรือนึกเอ็นดูฉินอวี้โม่เลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นความรู้สึกต่อต้านการมีตัวตนของนางในใจเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่าทวี

ชาวนครเมฆาทุกคนล้วนเกิดมามีสายเลือดบริสุทธิ์และสูงส่งเหนือผู้ใด แต่ไหนแต่ไรมาบรรพบุรุษไม่เคยยินยอมให้สายเลือดของคนภายนอกเข้ามาแปดเปื้อนปะปน ฉะนั้นแล้วเด็กที่เกิดจากสายเลือดอื่นจึงไม่สมควรเป็นประชากรแห่งนครเมฆา คนเหล่านั้นไม่สมควรจะได้รับสิทธิ์ให้เข้ามาอาศัยในนครแห่งนี้

โดยเฉพาะตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นธิดาหน้าไม่อายกับฉินเทียนคนต่ำช้าที่ละเมิดกฎของนครเมฆา จะต้องถูกนำตัวมาลงโทษมิให้ผู้ใดเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ในขณะที่บุตรชายหญิงทั้งสองของพวกเขาก็ไม่ควรมีข้อยกเว้นเช่นกัน

อวี๋จวินเหยารู้สึกว่าทั้งฉินอวี้โม่และฉินอี้เฟยต่างก็เป็นตัวแทนแห่งความล้มเหลวในการธำรงรักษาสายเลือดอันเก่าแก่ของนครเมฆา หากยอมอ้าแขนรับเอาเด็กทั้งสองเข้ามาในนครเมฆาก็เท่ากับว่าสายเลือดของนครเมฆาจะไม่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป ผู้อาวุโสสามแห่งนครเมฆารู้สึกขัดใจกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่มาก

ทว่าแม้จะเรียกร้องความบริสุทธิ์ แต่ความรู้สึกโกรธแค้นของอวี๋จวินเหยากลับเกิดจากเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ เพราะนอกเหนือจากเรื่องสายเลือดนี้แล้ว ตัวอวี๋จวินเหยาก็คอยแต่จะหาเรื่องขัดแย้งกับอวี๋จวินซานอยู่ตลอด ที่สำคัญเขารังเกียจอวิ๋เสี่ยวอวิ๋นมาตั้งแต่นางยังเป็นทารกแล้ว

นี่เป็นเหตุผลที่ผู้อาวุโสสามไม่ชอบฉินอวี้โม่

“หึ ๆ เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ท่านตาสามของเจ้าก็เป็นคนแบบนั้นแหละ เจ้าก็อย่าไปถือสาเขาเลยนะ”

หลังจากที่สองผู้อาวุโสใหญ่ของนครจากไปแล้ว อวี๋จวินซานก็กล่าวกับฉินอวี้โม่เพื่อไม่ให้นางยึดถือเอาท่าทีของอวี๋จวินเหยามาคิดมาก

แน่นอนว่าจ้าวนครเมฆาสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังที่อวี๋จวินเหยาแสดงออกมาตอนพบเจอหลานสาวตัวน้อยของเขาแล้ว แม้กระนั้นอวี๋จวินซานก็ไม่คิดเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ

จริงอยู่ที่อวี๋จวินเหยาเป็นน้องชายแท้ ๆ ของเขา แต่สิ่งที่น้องสามผู้นี้เลือกกระทำตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ล้วนสร้างความผิดหวังแก่ผู้เป็นพี่ชายทั้งสิ้น

ไม่เพียงแค่วางอุบายอย่างลับ ๆ เพื่อบั่นทอนอำนาจของจ้าวนครเมฆา แต่เขายังแอบสมคบกับผู้อาวุโสใจคดคนอื่น ๆ หวังยุยงปลุกปั่นให้เกิดสงครามภายใน

หากไม่ใช่เพราะอวี๋จวินเหยาเป็นน้องแท้ ๆ ที่คลานตามกันมา เกรงว่าอวี๋จวินซานคงไม่ไว้หน้าและยอมเก็บตัวอันตรายเช่นนี้เอาไว้

ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางเองก็ไม่อยากเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจให้รู้สึกย่ำแย่

ยิ่งกว่านั้นที่นี่คือนครเมฆา ตัวนางยังไม่ทราบถึงสถานการณ์ของนครแห่งนี้อย่างชัดแจ้ง อดีตนักฆ่าสาวไม่อยากจะสร้างเรื่องบาดหมางกับผู้ใดเพราะจะทำให้อวี๋จวินซานต้องลำบากใจ

ก่อนหน้านี้ท่านป้าเหวินหย่าเองก็เคยบอกนางไว้ว่า คนของนครเมฆาไม่สามารถแต่งงานกับคนภายนอกได้ นอกเหนือจากธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่างเหวินหย่าที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อส่งออกไปแต่งงานเกี่ยวดองกับขุมกำลังใหญ่แล้ว คนอื่น ๆ ที่เหลือล้วนไม่ได้รับอนุญาตทั้งสิ้น

แท้จริงแล้วการแต่งตั้งธิดาศักดิ์สิทธิ์เพิ่งเริ่มต้นขึ้นในยุคสมัยอวี๋จวินซาน ซึ่งผู้ที่คิดริเริ่มเรื่องนี้ก็คือตัวจ้าวนครเมฆาเอง นี่แสดงถึงเจตนารมณ์ที่ต้องการแก้ปัญหาในเรื่องกฎแห่งการรักษาสายเลือดได้อย่างชัดเจน

ฉินอวี้โม่ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา เมื่อเห็นทัศนคติที่มีต่อนางของอวี๋จวินเหยา คุณหนูตระกูลฉินก็รู้ได้เลยว่าช่วงเวลาที่ต้องอาศัยอยู่ในนครเมฆาของนางคงจะไม่เรียบง่ายเสียแล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้าก็อยู่ที่นี่นะ ท่านยายของเจ้าคงอยากจะให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนคุยแก้เหงา ถ้าเจ้าอยากจะออกไปข้างนอกก็ให้บ่าวรับใช้พาไป ชวนเหล่าสหายไปกับเจ้าด้วย นอกเมืองมีสถานที่ลึกลับหลายแห่ง บางทีพวกเจ้าอาจจะสนใจ”

อวี๋จวินซานหัวเราะแล้วกล่าวแนะนำ อันที่จริงใจหนึ่งเขาอยากจะให้นางอยู่กับเหวินชิงหยวน แต่อีกใจก็กลัวว่าหลานสาวจะเบื่อเช่นกัน

หลังจากสนทนากันอยู่สักพัก อวี๋จวินซานและบุตรชายทั้งสามก็ออกจากอุทยานเพื่อแยกย้ายไปจัดการงานตามหน้าที่ของตัวเอง

อีกไม่นานวันงานชุมนุมเมฆาก็จะมาถึง เหล่าผู้อาวุโสและผู้มีตำแหน่งในนครเมฆาทุกคนจึงยุ่งกันมาก มีงานหลายอย่างที่รอให้พวกเขากลับไปทำ

“ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าออกไปฝึกฝนข้างนอก อีกไม่นานก็คงจะกลับกันมาแล้ว ถึงตอนนั้นหากได้เห็นเจ้า พวกเขาคงจะตื่นเต้นดีใจกันมาก”

เหวินชิงหยวนยิ้มอ่อนโยนให้หลานสาว

ถ้อยคำอาทรของผู้เป็นย่าทำให้ฉินอวี้โม่ฉีกยิ้มกว้างขึ้นอีกครั้ง

นางเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้วว่าตนมีลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ในนครเมฆาหลายคน คุณหนูตระกูลฉินเองก็อยากพบหน้าพวกเขาเช่นกัน

ตลอดสามวันหลังจากนั้น ฉินอวี้โม่และสหายใช้ชีวิตอยู่ภายในตำหนักของเหวินชิงหยวนโดยไม่ได้ออกไปไหน

ข่าวคราวเรื่องที่หลานสาวของจ้าวผู้ครองนครเข้ามายังนครเมฆาแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ช่วงสองสามวันที่ผ่านมามีคนจำนวนไม่น้อยทยอยเข้ามาที่ตำหนักชายาจ้าวนครเพื่อดูว่าฉินอวี้โม่หน้าตาเป็นอย่างไร ส่วนผู้ที่ไม่สามารถเข้ามาได้ก็ได้แต่จับกลุ่มพูดคุยกันถึงเรื่องของนางด้วยความอยากรู้อยากเห็น

แน่นอนว่าเรื่องที่คนภายนอกพูดถึงตัวนางว่าอย่างไรนั้น ฉินอวี้โม่ไม่ทราบเลย นางกำลังใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาอันสงบเงียบอย่างมีความสุข นี่เป็นนับเป็นความสงบและผ่อนคลายที่นางไม่ได้รับมานานมากแล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากตื่นนอนและจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จสิ้น ฉินอวี้โม่ก็ได้พบองค์หญิงฉีฉีที่วิ่งเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม

“พี่อวี้โม่ ท่านพี่และข้า อยากจะออกไปเที่ยวนอกเมืองกัน พี่อวี้โม่อยากจะออกไปกับพวกเราหรือไม่ ? เมื่อครู่ข้าถามพี่ชิงเฉิงกับพี่ชิงเฟิงแล้ว พวกเขาก็ตกลงจะไปด้วย”

เยว่ชิงเฉิงนั้น เนื่องจากอยู่แต่ในบริเวณตำหนักของเหวินชิงหยวนมาหลายวันแล้วทำให้นางเริ่มรู้สึกเบื่อ เมื่อสบโอกาสพบเจอสหายองค์หญิงองค์ชายจากราชวังแห่งไป๋อวิ๋นออกปากชักชวนออกไปเที่ยวชมเมืองจึงตกลงทันที โอวหยางชิงเฟิงและหลินซิวหยาเองก็อยากไปเปิดหูเปิดตาเช่นกัน

ฉินอวี้โม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า

นางเองก็อยากเห็นอยากรับรู้ว่า นคราเรืองรองที่ตั้งอยู่สูงที่สุดและลึกลับเป็นที่สุดแห่งแผ่นดินหวนหลิงแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร ช่วงนี้ไหน ๆ ก็ไม่มีสิ่งใดให้ทำอยู่แล้วด้วย หากได้ออกไปเดินเล่นสักหน่อยก็คงดีไม่น้อย

ก่อนจะออกไป ฉินอวี้โม่เข้าไปแจ้งกับผู้เป็นยายเสียก่อน ด้วยเพราะเข้าใจ เหวินชิงหยวนจึงไม่ได้ห้ามปรามกลุ่มคนรุ่นเยาว์และยังบอกให้พวกเขาสนุกให้เต็มที่

ฉินอวี้โม่โค้งคำนับชายาจ้าวนครเมฆาก่อนจะขอตัวออกจากบริเวณตำหนักไปพร้อมกับฉีฉีและพวกพ้อง

แม้จะกว้างใหญ่ไม่น้อย แต่นครเมฆากลับไม่ได้มีประชากรมากมายนัก บนถนนค่อนข้างเงียบสงบ ไม่ได้หนาแน่นคึกคักเหมือนในนครไป๋อวิ๋น ที่สำคัญเวลานี้ชาวเมืองทั้งหลายดูคล้ายจะยุ่งอยู่กับการเก็บตัวฝึกฝน บ้างก็ออกไปนอกเมืองเพื่อหาประสบการณ์และคงจะกลับมาในช่วงเวลาที่งานชุมนุมเมฆาเริ่มต้น

อย่างไรก็ตาม สองข้างทางก็ยังเต็มแน่นไปด้วยทั้งตึกรามบ้านช่องและร้านรวงต่าง ๆ บนท้องถนนก็นับว่ามีผู้คนสัญจรหนาตา หากเทียบกับเมืองเล็ก ๆ แล้ว นครไป๋อวิ๋นยังถือว่ายิ่งใหญ่กว่ามาก

เมื่อมองเห็นฉินอวี้โม่และคณะเดินผ่าน ชาวเมืองทุกคนก็ดูจะประหลาดใจ หลายคนมองตามกลุ่มผู้เยาว์ที่มากับหลานเจ้าผู้ครองนครด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

ฉินอวี้โม่ไม่สนใจสายตาของคนเหล่านั้น นางและสหายมุ่งหน้าเดินทางไปยังพื้นที่นอกเมืองที่ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางโดยไม่หยุดพัก

หลังจากใช้เวลาเดินกว่าสองก้านธูป คณะคนรุ่นเยาว์จากไป๋อวิ๋นทั้งหมดก็ออกจากตัวเมืองได้สำเร็จ ไม่ทราบเช่นกันว่าตั้งแต่เมื่อใด ทว่าตอนนี้ทุกคนเริ่มรู้สึกได้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งติดตามพวกเขามา และที่น่ากลัวก็คือใบหน้าของแต่ละคนดูมีเจตนาที่ไม่ดี

ทันทีที่ก้าวพ้นประตูใหญ่ของนคร เหล่าคนรุ่นเยาว์จากไป๋อวิ๋นก็ได้พบทัศนียภาพอันแปลกตาอีกครั้ง เมื่อมองจากจุดที่พวกเขายืนอยู่นี้จะเห็นว่าทั้งตัวเมืองขนาดใหญ่ถูกห้อมล้อมไปด้วยก้อนเมฆ ดูราวกับว่านครแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากเมฆอย่างแท้จริง …กล่าวเลยว่าสมนาม ‘นครเมฆา’ แล้ว

ฉินอวี้โม่และสหายเดินสำรวจไปตามถนนเมฆที่ทอดยาวออกไป ยิ่งมอง ทั้งหมดก็ยิ่งอดทึ่งไม่ได้

“นครเมฆามหัศจรรย์สมคำร่ำลือจริง ๆ”

ฉินอวี้โม่อุทานออกมาอย่างอดไม่ได้ นางเริ่มนึกสงสัยถึงวิธีการสร้างและที่มาที่ไปของนครในม่านเมฆแห่งนี้บ้างแล้ว

“เรื่องนั้นแน่นอน มิฉะนั้นแล้วนครแห่งนี้คงจะอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนหวนหลิงไม่ได้หรอก”

องค์ชายฉีอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง

ชาวนครเมฆาทุกคนเกิดขึ้นมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่สูงส่งเหนือคนปกติ หรือจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ เหนือกว่าคนทั่วไปในหวนหลิง นครเมฆานั้นมี ‘ทรัพยากรพิเศษ’ มากมายที่หาไม่ได้บนพื้นแผ่นดินเบื้องล่าง ที่สำคัญความหนาแน่นของพลังมายาในชั้นบรรยากาศของที่นี่ยังสูงกว่าโลกภายนอกถึงสามเท่า ดังนั้นแล้วทุกคนที่เกิด เติบโต หรืออาศัยอยู่ในนครเมฆาจึงแข็งแกร่งเหนือคนปกติทั่วไป และนี่คือเหตุผลที่ทำให้นครเมฆาเป็นขุมกำลังลึกลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหวนหลิง

“เหอะ ! พวกคนจากโลกภายนอกช่างไม่มีความรู้เอาเสียเลย”

ทันทีที่เสียงขององค์ชายฉีอวี้เงียบลง เสียงเย้ยหยันเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เมื่อหันไปตามทิศทางของเสียง ฉินอวี้โม่และคณะก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาอย่างช้า ๆ จากทางด้านหลัง

ผู้นำกลุ่มคนเหล่านั้นเป็นบุรุษหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปี ใบหน้าหล่อเหลาดูดีแต่ทว่ากลับมีท่าทีหยิ่งยโสจนไม่น่าเข้าใกล้ จมูกเชิดรั้น คิ้วบางและหางคิ้วชี้ขึ้น ดูจากโหงวเฮ้งแล้วไม่น่าคบหาเลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้วาจาและน้ำเสียงของอีกฝ่ายจะมีเจตนายั่วยุเคลือบแฝง แต่ฉินอวี้โม่กับสามสหายที่ร่วมเดินทางจากไป๋อวิ๋นมาไม่คิดใส่ใจแม้แต่น้อย

ตรงกันข้ามกับฉีฉีและฉีอวี้ ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นว่าสหายสูงศักดิ์ทั้งสองกำลังนิ่วหน้า ดูเหมือนว่าสองพี่น้องจะรู้จักบุรุษคิ้วชี้ที่เป็นหัวหน้า และคงจะไม่ชอบใจคนผู้นี้นัก

ฉินอวี้โม่และสหายหันมองหน้ากับวูบหนึ่ง ก่อนที่ทั้งหมดจะรีบหันหลังกลับและเตรียมตัวออกเดินทางต่อโดยไม่คิดจะกล่าวทักทายคนกลุ่มนั้น

ทว่า มีหรือที่บุรุษคิ้วชี้ผู้มีนิสัยยโสโอหังจะยินยอม เขาไม่ชอบให้ผู้ใดแสดงกิริยาหมางเมินทำเสมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา

กอปรกับเวลานี้เขาตั้งใจจะมาหาเรื่องคนอยู่แล้ว อย่างไรวันนี้เขาไม่มีทางปล่อยกลุ่มคนแปลกหน้าไปง่าย ๆ เป็นแน่

บุรุษผู้เป็นหัวหน้าหันไปขยิบตาส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ด้านหลัง เพียงพริบตาเดียว คนของเขาก็เข้าปิดล้อมฉินอวี้โม่และเหล่าสหายเอาไว้

กลุ่มสหายอวี้โม่ทั้งหกขมวดคิ้วแน่นและมองเหล่าอันธพาลอย่างไม่พอใจ ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะถึงกับกล้าเข้ามาปิดทางพวกนางเช่นนี้ นี่ไม่เท่ากับการประกาศศึกกันซึ่ง ๆ หน้า หรอกหรือ

องค์หญิงฉีฉีหันหน้ากลับไปมองบุรุษคิ้วชี้ทันที ก่อนจะกล่าวเสียงลั่นด้วยความโกรธ “อวี๋เฟิง เจ้าต้องการอะไร ?!”

เมื่อได้ยินชื่อของผู้มาหาเรื่อง ฉินอวี้โม่ก็เข้าใจสถานการณ์และคาดเดาเรื่องราวได้ ในตอนนี้ใบหน้าของคุณหนูสี่ตระกูลฉินเริ่มจะตึงขึ้นมาแล้ว

อวี๋เฟิงผู้นี้ก็คือหลานชายคนโตของอวี๋จวินเหยา เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงส่ง อายุเพียงเท่านี้ก็บรรลุขอบเขตราชันทูตสวรรค์ได้แล้ว และเพราะเป็นหลานชายคนแรก จึงเป็นความหวังของผู้เป็นปู่ อวี๋เฟิงผู้นี้เป็นหลานคนโปรดที่อวี๋จวินเหยารักมาก คอยเอาอกเอาใจและให้ท้ายเสมอ ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลายเป็นคนหยิ่งยโสและไม่เห็นใครในนครเมฆาอยู่ในสายตา

วันนี้ เมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่ออกมานอกตำหนักชายา ไม่ต้องคิดให้ปวดหัวก็รู้ว่าคนผู้นี้จะต้องเข้ามาหาเรื่องเพราะรับคำสั่งมาจากอวี๋จวินเหยาอย่างแน่นอน

ฉินอวี้โม่รู้สึกปวดหัวในทันที ตั้งแต่ที่เข้ามาที่นี่นางระวังตนไม่ให้มีเรื่องกับผู้ใดและพยายามทำตัวนอบน้อม เพื่อหลีกเลี่ยงความบาดหมางมาโดยตลอด ทว่าสวรรค์ช่างแกล้ง แม้ไม่หาเรื่องแต่เรื่องก็ยังวิ่งเข้ามาหาอีก

แต่ในตอนนี้เมื่ออีกฝ่ายเริ่มก่อน ถ้าไม่คิดจะโต้กลับเลยก็คงไม่ใช่นิสัยของฉินอวี้โม่ ในเมื่อกล้ามาหาเรื่องนางก็จงเตรียมตัวให้ดี เพราะมันมีบทเรียนราคาแสนแพงที่ต้องจ่าย

“คนตระกูลฉี อันที่จริง ถึงพวกเจ้าจะเป็นบุตรของธิดาศักดิ์สิทธิ์แต่ก็ถือเป็นคนนอกเช่นกัน ยิ่งพวกเจ้าเดินมากับกลุ่มคนไร้ค่าจากเมืองเบื้องล่างนั่นก็ยิ่งทำให้ดูไร้เกียรติ ไม่กลัวว่าตาของเจ้าจะเสื่อมเสียบ้างเลยรึ ?”

อวี๋เฟิงมองฉีฉีและฉีอวี้พลางกล่าววาจาเย้ยหยัน

คำพูดของเขาทำให้สีหน้าของสององค์หญิงองค์ชายเปลี่ยนไปในทันที

ที่ผ่านมาอวี๋เฟิงผู้นี้มักจะดูถูกดูแคลนสองพี่น้องอยู่ตลอดเพราะปรามาสว่าทั้งคู่เป็นคนจากโลกภายนอก สายเลือดของพวกเขาไม่บริสุทธิ์และสูงส่งเทียบเท่ากับของตน แม้ว่าทั้งสองจะเป็นบุตรของเหวินหย่าและเป็นหลานของเหวินเปียวผู้อาวุโสสองที่มีศักดิ์สูงกว่าท่านปู่ของเขาก็ตาม

“อวี๋เฟิง เจ้ามันโง่เง่า ทำไมถึงต้องว่างท่าโอหังตลอดเวลา เจ้าไม่กลัวหรือว่าจะมีคนทนความโอหังของเจ้าไม่ได้และอาจจะนึกอยากสั่งสอนเจ้าขึ้นมาก็ได้ !”

ฉีฉีน้อยตวาดสวนกลับไปทันควันอย่างไม่อาจอดกลั้น ไม่ว่าผู้ใดหากเจอเช่นนี้ก็คงจะหมดความอดทนไม่ต่างจากนาง

“ฮ่า ๆ ๆ ในนครเมฆาจะมีใครกล้าสั่งสอนข้ากัน ?!”

ทันทีที่ได้ยินคำพูดของฉีฉี อวี๋เฟิงก็หัวเราะเยาะเย้ย อีกทั้งยังตอบกลับด้วยวาจาโอหังดังเดิม

“ข้ามีสายเลือดนครเมฆาอันบริสุทธิ์ เป็นชนชั้นสูง คนนอกโง่งมไม่เจียมตัวอย่างพวกเจ้าไม่มีวันเข้าใจ หัดประเมินพลังของตัวเองเสียบ้าง คิดอยากจะสั่งสอนข้าอย่างนั้นรึ น่าขำจริง ๆ!”

อวี๋เฟิงไม่รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ แต่เท่าที่เขาสัมผัสได้ เขาคาดว่าระดับพลังของสตรีผู้มีสายเลือดอัปยศคงจะด้อยกว่าตัวเขามาก ดังนั้นต่อให้คนเหล่านี้คิดจะสู้ ตัวเขาก็ไม่นึกกลัว

วันนี้ที่เขามาก็เพื่อหาเรื่องฉินอวี้โม่โดยเฉพาะ เขารู้ดีว่าท่านปู่ของเขารังเกียจและชิงชังนางเข้ากระดูก เขาผู้เป็นหลานรักของท่านปู่ย่อมต้องทำให้ท่านปู่พึงพอใจจึงจะถือว่ากตัญญูรู้คุณ วันนี้เมื่อมีโอกาสเขาจึงมาเล่นงานนาง และต้องเอาให้เจ็บแสบ

ยิ่งกว่านั้นตัวเขาที่ถือตัวว่าตนเป็นชนชั้นสูงมาตลอด รังเกียจคนนอกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งได้เห็นฉินอวี้โม่และพวกพ้องของนาง ยิ่งทำให้เขารู้สึกขยะแขยง

สายเลือดอันสูงส่งของชาวนครเมฆาไม่ใช่สิ่งที่คนนอกสมควรจะแตะต้อง ผู้มีสองสายเลือดปะปนกันเป็นความอัปยศที่ไม่น่าให้อภัย

“ตัวเจ้าก็แค่โชคดีที่เกิดมาในนครเมฆาเท่านั้น เหตุใดถึงคิดว่าตัวเองดีเลิศนักหนา หากเทียบกับคนอื่น ๆ ที่เกิดในนครเมฆาตัวเจ้าก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรเลย ถ้าข้าได้เกิดที่นี่เช่นเดียวกับเจ้า ข้าสามารถสังหารเจ้าได้ไม่ต่างจากหั่นเต้าหู้ เจ้ายังกล้ามาทำตัวโอหังอีกรึ ?”

เยว่ชิงเฉิงอดเอ่ยขึ้นบ้างไม่ได้ นางรู้สึกสมเพชคนน่ารังเกียจผู้นี้จากใจ

อีกฝ่ายก็มีดีแต่เพียงชาติกำเนิดเท่านั้น หากเทียบกันในด้านพรสวรรค์ อีกฝ่ายถือว่าด้อยกว่าพวกนางมากนัก

“เหอะ ! แล้วมันอย่างไร ? ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้พวกเจ้าไร้วาสนาเกิดมาต่ำต้อยเองเล่า”

อวี๋เฟิงตวาดกลับ ทว่าน้ำเสียงก็ยังคงเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม เขาไม่สนใจวาจาเสียดแทงของเยว่ชิงเฉิง อีกทั้งยังเชิดหน้าสูง ยกยิ้มเยาะและมองดูกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าราวกับมองขยะไร้ค่า

“ใครบางคนแม้ว่าจะเกิดมาโดยมีสายเลือดของนครเมฆาอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ก็อย่าคิดว่าจะได้รับการยอมรับจากพวกเรา การมีบิดาเป็นขยะถือเป็นความอับอายของนครเมฆา !”

สิ้นประโยคระคายหู จิตสังหารอันเข้มข้นและน่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกมาจากร่างของฉินอวี้โม่ และยังคงไหลพรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่อง

.