บทที่ 71.1 ข้าต่างหากที่เป็นบุตรชายของผู้หญิงคนนั้น! (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

“พี่น้องอะไรกัน? ใครเป็นพี่น้องกับใครกัน?” ฉู่ฉีเฟิงหัวเราะขึ้นอย่างเศร้าโศกเสียใจ ซ้ำยังรู้สึกสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว เขากำหมัดแน่นแล้วหลับตาลงอย่างโหดเหี้ยม คำพูดที่เปล่งออกมาแต่ละคำนั้นมันช่างประชดประชันเหลือทน “เสด็จแม่ ท่านคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ งั้นหรือ? ที่จริงแล้วข้าน่ะ…รู้มาตั้งแต่แรกแล้วต่างหากเล่า!”

คนแซ่ฟางหน้าถอดสีไปในทันที หน้าอกราวกับว่าถูกอะไรบางอย่างกระแทกเข้าอย่างแรง

เสียงของนางอ่อนไร้เรี่ยวแรง มองแผ่นหลังของฉู่ฉีเฟิงอย่างหวาดกลัว ริมฝีปากสั่นงั่ก ปล่อยให้เวลาผ่านไปนานกว่าจะพึมพำคล้ายพูดละเมอออกมาว่า “เจ้า…รู้งั้นหรือ?”

“หึ…” จู่ๆ ฉู่ฉีเฟิงก็หัวเราะออกมา เขาเงยศีรษะขึ้น หลับตายืนหันหน้าเข้าลานบ้านอันกว้างขวางนั้น ถึงแม้ตรงหน้าจะไม่มีผู้คน แต่เขาก็ตั้งใจปิดกลั้นความรู้สึกและอารมณ์ในแววตาของเขาไม่ให้ออกมาให้ใครได้รับรู้

หัวใจของคนแซ่ฟางสั่นสะท้าน พลันรู้สึกหวาดกลัวตื่นตระหนกขึ้นมาทันที

นางรู้มาตลอดว่าฉู่ฉีเฟิงดีต่อฉู่สวินหยางมาก ถึงแม้นางเห็นแล้วจะไม่ชินตา แต่นางก็คิดว่ามันเป็นเพียงความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง

แต่ว่า…

คำพูดของเขาเมื่อครู่นี้หมายความว่าอย่างไรกัน?

เขารู้งั้นหรือ? เขารู้มาแต่แรกแล้วงั้นเหรอว่าฉู่สวินหยางกับเขา ไม่มีมีความเกี่ยวพันทางสายเลือด รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่ได้เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน

แล้วเขาก็ยังดูแลนางเป็นอย่างดี!

เหมือนกับฉู่อี้อันไม่มีผิด ที่คอยดูแลเอาใจใส่นางทุกสิ่งทุกอย่างไม่รู้จบ ถึงขนาดกับว่า…

เนื่องด้วยตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอันคับขัน คนที่เขาจะออกไปช่วยเหลือนั้นไม่ใช่เขาคนนั้นแต่กลับเป็นฉู่สวินหยาง แถมยังมีหน้ามาพูดเอาเรื่องนางอย่างโมโหเกรี้ยวกราดแบบนี้ด้วยเนี่ยนะ?

ทำไมกัน? ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้? ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วย?

ความคิดที่แอบซ่อนอยู่ค่อยๆ แล่นเข้ามาในหัว นอกจากความหวาดกลัวที่หลงเหลืออยู่แล้ว จู่ๆ ไฟแห่งความโกรธแค้นของคนแซ่ฟางก็ปะทุขึ้นมาทันที

สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดฉับพลัน จากนั้นพูดขึ้นอย่างเศร้าโศกเสียใจขึ้นว่า “เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่? เจ้ารู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไรออกมา?”

“ข้ารู้! มีอะไรบ้างที่ข้าไม่รู้?” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวพลางหันไปมองนาง ความรู้สึกที่อัดแน่นท่วมท้นนั้นยิ่งทำให้คนแซ่ฟางหวาดกลัวมากเหลือเกิน

ความรู้สึกแบบนั้นมันทั้งรุนแรงและจริงแท้ยิ่งนัก เห็นได้ชัดเลยว่า…

มันเป็นความเจ็บปวดทรมานที่ทั้งชัดเจนทั้งขัดแย้งในเวลาเดียวกัน

“ข้ารู้ แต่ข้าสู้ยอมไม่รู้อะไรเลยเสียจะดีกว่า” ฉู่ฉีเฟิงมองหน้านางแล้วหัวเราะอย่างประชดประชันระคนเศร้าโศก “เสด็จแม่ ข้าเคยคิดนะ ว่าตัวเองจะสามารถหลอกลวงตัวเองแบบนี้ไปได้ตลอดชีวิต แกล้งทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องพวกนี้ ในเมื่อท่านกับเสด็จพ่อ…ยังทำได้ แล้วข้าจะไปมีสิทธิ์พูดอะไรได้อีก? แต่ทำไมท่านต้องบีบบังคับให้ข้าพูดทุกอย่างออกมาแบบนี้ด้วย?”

“เจ้า…เจ้า…” คนแซ่ฟางได้ยินเข้าดังนั้น สมองก็สั่นคลอนกระทบกระเทือนราวกับถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่ไม่ยั้ง

สีหน้าของนางลนลาน หน้าขาวซีดเซียว ออกแรงบีบลูกประคำบนมือจนข้อนิ้วซีดขาว

“ทำไมหรือขอรับ? หรือว่าตอนนี้ท่านจะปฏิเสธอีกล่ะ จะบอกว่าความรู้สึกทั้งหมดของข้ามันผิดงั้นหรือ จะบอกว่านางเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้างั้นหรือ?” ฉู่ฉีเฟิงพูดขึ้นอย่างเย็นชา

หากเขาพูดออกมาแบบนี้ แสดงว่าเขาต้องมั่นใจมากว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นเป็นเรื่องจริง

เดิมทีคนแซ่ฟางไม่ได้เตรียมตัวที่จะแก้ตัวแต่อย่างใด แต่เมื่อถึงตอนนี้นางก็ยังตกใจไม่น้อยอยู่ดี

นางเลือกที่จะหันหน้าหนีไปอีกฝั่ง เพื่อปกปิดแววตาเย็นชาและโกรธนั่นเอาไว้ พยายามทำเป็นใจเย็นแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้ารู้มาตั้งแต่แรกแล้ว เจ้าก็ควรรู้จักแยกแยะ ทำตัวห่างเหินกับนางเข้าไว้ การที่เจ้าทำตัวใกล้ชิดกับนางแบบนี้มันไม่เป็นผลดีกับเจ้าเลย”

“แล้วอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าทำตัวห่างเหินล่ะขอรับ?” ฉู่ฉีเฟิงถามกลับ “เสด็จแม่ ข้าเพียงไม่เข้าใจว่าทำไมท่านต้องทำแบบนี้? สวินหยางนางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น ที่ผ่านมานางก็ให้ความเคารพท่านมาตลอด นางไม่ได้คิดร้ายกับท่านเลย ตอนนี้ข้าเพียงต้องการให้เสด็จแม่ช่วยทำดีกับนางเหมือนอย่างที่ทำกับข้าแค่นั้นเอง…ไม่ได้เหรอขอรับ?”

คนแซ่ฟางเม้มปากแน่นไม่เปล่งคำพูดใดออกมา แววตานั้นมันทั้งเย็นชาทั้งเบื่อหน่ายเต็มทน

“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ตอนนั้นข้า…ข้าเพียงแค่ยุ่งจนไม่มีเวลาได้สนใจก็เท่านั้น!” คนแซ่ฟางพยายามฝืนควบคุมสติแล้วพูดว่า “อีกอย่างเจ้าเองก็กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องในพระราชวังอยู่ เรื่องเล็กน้อยในเรือนพวกนี้มันไม่ควรค่าแก่การที่ให้เจ้ามาปวดหัวเสียเวลากับมันเลย”

“ข้าเองก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่การกระทำของเสด็จแม่ครั้งนี้ทำให้ข้าตกใจมากเหลือเกิน” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดเจนแน่วแน่ จ้องมองนางอย่างไม่หลบสายตา “เสด็จแม่ เดิมทีข้าคิดว่าท่านไม่ชอบสวินหยาง ท่านถึงได้เย็นชาไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับนางเยี่ยงนั้น แต่ครั้งนี้…”

ฉู่ฉีเฟิงพูดไปจู่ๆ ก็หยุดพูดต่อ

พฤติกรรมที่คนแซ่ฟางมีต่อฉู่สวินหยาง ไม่เพียงแต่จะไม่สนใจไยดี ไม่รักไม่ชอบ ถึงขนาดเรียกได้ว่า…

เคียดแค้นและเกลียดชังมากเลยทีเดียว!

ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นคนแปลกหน้า นางก็ไม่ควรทำเยี่ยงนั้นกับเขา!

“ท่านทำแบบนั้นกับฉู่สวินหยางไปเพราะเหตุผลอะไรกันแน่ขอรับ?” อดกลั้นมานาน ในที่สุดฉู่ฉีเฟิงก็เอ่ยปากถาม

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งหรอก เจ้าจัดการทำเรื่องของตัวเองให้ดีก็พอ” คนแซ่ฟางกล่าว จากนั้นก็เบือนหน้าหนีไม่สบตาเขาอีกครั้ง “เจ้าไม่ต้องยุ่งเรื่องของข้าหรอก ในเมื่อวันนี้เราสะสางเรื่องราวทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว งั้นวันหลังเจ้าก็ไม่ต้องไปสนใจเรื่องของผู้หญิงคนนั้นอีก เจ้าพูดถูก นางไม่ใช่น้องสาวของเจ้า ไม่มีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดแม้แต่นิดเดียว วันหลังเจ้าเองก็ไม่ต้องไปปวดหัวหรือทำอะไรเพื่อนางอีก นางจะมีชีวิตอยู่หรือตายไปมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าเลยสักนิด”

“หึ…” จู่ๆ ฉู่ฉีเฟิงก็หัวเราะออกมาอย่างอดใจไม่ไหว “เป็นอย่างที่คิด ท่านไม่เป็นห่วงเลยด้วยซ้ำว่านางจะเป็นหรือตาย!”

“แล้วทำไมข้าต้องไปสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยเล่า?” คนแซ่ฟางตอบ สีหน้าท่าทางเองก็เย็นเยือกขึ้นมาทันที น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเคียดแค้นดุดัน “ข้าไม่ได้แทงนางจนตายนั่นก็นับว่าข้าใจดีมากเหลือเกินแล้ว เจ้ายังคิดหวังว่าข้าจะไปค่อยๆ พูดเอาอกเอาใจนางอีกงั้นเหรอ? หลายปีมานี้ นางติดค้างเจ้าไปมากเท่าไร? ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับอาหารการกินทุกอย่าง ซ้ำยังได้รับความรักไปจนหมดสิ้น นางเหมาะสมตรงไหน? เดิมทีสิ่งพวกนี้มันควรจะเป็นของเจ้าต่างหาก ทุกสิ่งทุกอย่างพวกนี้เป็นสิ่งที่นางติดค้างเจ้าทั้งหมด”

ถึงแม้จะเพิ่งเคยได้ยินคนแซ่ฟางพูดอะไรแบบนี้ แต่ฉู่ฉีเฟิงเองก็ดูเหมือนว่าเตรียมตัวรับฟังอะไรพวกนี้มาอยู่ก่อนแล้ว เขาไม่แสดงสีหน้าท่าทางตกใจเลยสักนิด มีเพียงแววตาค่อยๆ เย็นชาขึ้นแล้วมองนางด้วยสีหน้าสับสนยากจะคาดเดา

เวลาผ่านไปชั่วครู่ เขาก็หัวเราะขมขื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกที่แฝงอยู่ในเสียงหัวเราะนั้นมันช่างมืดสลัว ราวกับว่าเหนื่อยล้าจนไม่มีที่สิ้นสุด “เสด็จแม่! ท่านพอเท่านี้เถอะขอรับ หลายปีมานี้ท่านวางแผนเพื่อข้ามามากพอแล้ว ทางเดินของข้า ข้าจะเลือกมันเอง ไม่จำเป็นต้องให้ท่านมาช่วยวางแผนเตรียมการให้หรอก ข้าไม่สนหรอกนะว่าท่านจะคิดเช่นไร แต่ในสายตาของเสด็จพ่อทางนั้น ในเมื่อเขาเลือกฉู่สวินหยางแล้ว งั้น…”

เขาพูดไปก็หยุดไปชั่วขณะ จากนั้นแววตาก็แปรเปลี่ยนไปด้วยความประชดประชัน แล้วกล่าวต่อ “ข้าจะไม่สนใจไม่เอาเรื่องใดกับท่านอีก แต่ท่านก็รู้จักนิสัยของเสด็จพ่อดี เพราะฉะนั้น…ทำตัวให้เหมือนเดิมเหมือนในสถานการณ์ปกติเถิดขอรับ”

เมื่อพูดถึงฉู่อี้อัน แววตาของคนแซ่ฟางพลันเผยให้เห็นความรู้สึกผิดออกมาอย่างเห็นได้ชัด

นางเม้มปากไม่พูดคำใดออกมา

——————