ภาค 3 บทที่ 57 ปิดปากไม่พูด

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บทที่ 57 ปิดปากไม่พูด โดย Ink Stone_Romance

ความทรงจำของฝ่ามือนี้ลึกซึ้งเกินไปแล้ว จิ่วหรงสั่นโดยไม่รู้ตัว โกรธแค้นระแวงมองนาง

“ไม่ต้องร้องแล้ว” คุณหนูจวินมองเขา “ข้าไม่เคยทำเรื่องพรรค์นั้น ข้าไม่คิดจะแต่งให้ใครด้วย ยิ่งไม่มีทางบีบบังคับพี่สาวของท่าน”

หลังตีคนยกหนึ่งค่อยมาอธิบาย ตลอดมาเป็นเรื่องที่ไม่มีความน่าเชื่ออะไร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ถูกตียังเป็นเด็กคนหนึ่ง สำหรับเด็กคนหนึ่งแล้วยังไม่สู้น้ำตาลก้อนหนึ่งยังได้ผลกว่า

จิ่วหรงเงยหน้ามองนาง บนหน้าน้ำตาเปรอะอยู่ สีหน้าโกรธแค้น

“ข้าบอกไม่มีก็ไม่มีสิ” คุณหนูจวินมองเขาเอ่ย

พูดประโยคนี้จบ พลันมีอารมณ์รุนแรงอย่างหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง นางชะงักไปครู่หนึ่ง

“ข้าไม่มีทางทำร้ายท่านกับพี่สาวของท่าน” นางเอ่ย

คำพูดใจร้อนไปบ้าง นอกจากนี้คนพูดนี่ก็น่าหัวเราะยิ่งนักด้วย

ข้าไม่มีทางทำร้ายเจ้ากับข้าเป็นคนดีคนหนึ่ง เวลามากมายล้วนเท่านับคำพูดไร้สาระ เหมือนกับวันนี้อากาศไม่เลว ไม่มีความหมายใดๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กที่เพิ่งถูกตียกหนึ่งคนหนึ่งแล้ว

เจ้าเพิ่งจะตีก้นผู้อื่นยกหนึ่งอย่างไม่มีที่มาที่ไป หลังจากนั้นเจ้าเป็นคนดี เจ้าไม่มีทางทำร้ายผู้อื่น

ต่อให้หลอกเด็กน้อยก็อย่าขอไปทีเช่นนี้เลย

คุณหนูจวินมองดวงตาที่ถลึงกลมของจิ่วหรง ตนเองจึงยิ้มฝืดเฝื่อนทีหนึ่ง

แต่พูดจากอีกด้านหนึ่งแล้ว คำพูดที่นางเอ่ยออกไปช่างบุ่มบ่ามและสุ่มเสี่ยงจริงๆ กับคนที่ในใจคิดอย่างเช่นลู่อวิ๋นฉีคำพูดนี้ยืนยันการคาดเดาเกี่ยวกับตนเองของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว

นางมาเพื่อไหวอ๋องกับองค์หญิงจิ่วหลี

ลู่อวิ๋นฉีต้องไม่มีทางปล่อยนางแน่ ฮ่องเต้ฝั่งนั้น เรื่องมากมายเช่นเต๋อเซิ่งชางเป็นต้นล้วนต้องเกิดปัญหา

ตายไปครั้งหนึ่งแล้ว หัวใจก็ยังคงห้ามปรามความหุนหันพลันแล่นไม่ได้ อาจเพราะเหงาและเสียใจเกินไปแล้วจริงๆ กระมัง

เผชิญหน้ากับน้องชายที่คิดถึงที่สุดกลับถูกเขายกแส้หวดด่าว่าต่ำช้า

นี่เป็นเรื่องที่ทุกข์ใจนักจริงๆ

นางมองจิ่วหรงที่ท่าทางดื้อรั้นอยู่บ้างไม่ยอมเคลื่อนสายตาหลบ นางก็ไม่กล้าอ้าปากอีกแล้วเหมือนกัน เกรงว่าประโยคนั้นที่ว่าข้าคือจิ่วหลิงพี่สาวของเจ้าไงจะโผล่ออกมา

ส่วนจิ่วหรงก็มองนางไม่พูดจาเช่นกัน สีหน้าพิกล ไม่รู้ว่ารู้สึกว่าคนประสาทคนนี้ยั่วโมโหไม่ได้ ไม่งั้นจะถูกตีอีกรอบหรือเปล่า

มีเสียงฝีเท้าทำลายความเงียบงันประหลาดนี้

“คุณหนูจวินข้าพาคนมาแล้ว…” บัณฑิตกู้เดินเข้ามาเอ่ย มองคนสองคนที่คนหนึ่งนอนคว่ำอยู่บนพื้นคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่บนพื้นประหลาดใจเล็กน้อย “องค์ชาย…นี่เกิดอะไรขึ้น?”

แม้ไม่ได้เห็นตอนตีก้น แต่น้ำตาบนหน้าจิ่วหรงดวงตาที่ร้องไห้แดงก่ำรวมถึงเสื้อผ้ายุ่งเหยิง จะบอกว่าไม่มีอะไรก็ได้แต่หลอกคนตาบอดแล้ว

“อ้อ เมื่อครู่องค์ชายไม่ยอมใช้เข็มทอง ร้องไห้โวยวายเจ้าค่ะ” คุณหนูจวินยืนขึ้นเอ่ย

คำโกหกนี้เอ่ยออกมาส่งเดช คุณหนูจวินขี้เกียจคิดมากแล้ว นางไม่เชื่อว่ารอบด้านนี้ไม่มีคนมองเห็นทุกสิ่งนี้ พวกเขาล้วนเริงรื่นแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น นางใยต้องเปลืองความคิดไปหาคำโกหกที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติอะไรอีก

ต่อให้มองเห็นนางตีไหวอ๋อง นางก็มีเหตุผลอธิบายเช่นกันแต่เรื่องลำบากเพียงอย่างเดียวก็คือ ประโยคนั้นที่นางเอ่ยกับไหวอ๋อง

คำพูดนี้นางย่อมมีวิธีอธิบายเช่นกัน ตีคนอย่างไรก็ต้องคิดวิธีอธิบายดีๆ ไว้แล้ว เพียงแต่ว่าคำอธิบายนี้ผู้อื่นเชื่อ ลู่อวิ๋นฉีย่อมไม่เชื่อแน่

ลู่อวิ๋นฉีคนบ้าคนนี้ ใครจะรู้ว่าเขาจะบ้าอย่างไรได้อีก

“งั้นหรือ?” บัณฑิตกู้เอ่ยถามประหลาดใจ

คุณหนูจวินมองจิ่วหรง บัณฑิตกู้ก็มองดูจิ่วหรงเช่นกัน จิ่วหรงเงยหน้ามองคุณหนูจวิน ในดวงตามีความโกรธแค้น

“อาจารย์” เขากระโดดผลุงขึ้นมา โถมเข้าไปหาอาจารย์

บัณฑิตกู้รีบยื่นมือกอดเขาไว้ จิ่วหรงกอดเอวบัณฑิตกู้ แนบอยู่ด้านหน้าร่างเขา ทำหน้าถูกรังแกและโมโหโกรธา

แต่กลับไม่เอ่ยวาจาใดอีก

นี่ก็คือยอมรับคำพูดของคุณหนูจวินแล้ว

คุณหนูจวินประหลาดใจและผิดคาดอยู่บ้าง

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” บัณฑิตกู้หัวเราะแล้วตบหัวไหล่จิ่วหรง “องค์ชาย ท่านอายุเท่าไรแล้ว ยังกลัวสิ่งนี้อีก”

เขาชะงักไปครู่หนึ่ง

“สหายตัวน้อยมากมายด้านนอกยังเดินไม่ได้ก็ไม่กลัวแล้วนะ” เขาเอ่ยต่อ

การตรวจซ้ำที่พูดถึง ที่จริงก็คือการปลูกฝี ลู่อวิ๋นฉีรู้ บัณฑิตกู้ก็ย่อมรู้เช่นกัน

ตอนนี้การปลูกฝีไม่ได้ใช้การยัดเข้าจมูกอย่างแรกสุดแล้ว แต่ใช้เข็มทองตะไบทิ่มทะลุผิวหนัง

บัณฑิตกู้ย่อมต้องคิดว่าที่ไหวอ๋องกลัวก็คือสิ่งนี้จึงร้องไห้โวยวาย

จิ่วหรงกอดเอวบัณฑิตกู้แน่น หน้าบึ้ง ยังคงไม่เอ่ยสักประโยค

บัณฑิตกู้หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว ตบหัวไหล่จิ่วหรงอีกครั้ง

“เอาล่ะ องค์ชายลูกผู้ชายชายชาตรี อย่าให้คนมองเป็นตัวตลก” เขาเอ่ย

บางทีคำว่าลูกผู้ชายชายชาตรีนี้อาจกระตุ้นศักดิ์ศรีของเด็กชายคนหนึ่งเข้า จิ่วหรงยืนตัวตรงโดยพลัน

“ข้าเพียงแค่ถูกรบกวนการตกปลาจนไม่พอใจเท่านั้น” เขาเอ่ยเสียงดัง

บัณฑิตกู้ยิ้มขานรับ

“ธุระมีหนักเบาเชื่องช้าเร่งด่วน ปลาก็อยู่ที่นี่ รอตรวจซ้ำเสร็จแล้ว พวกเราตกต่อได้” เขาเอ่ย

จิ่วหรงหน้าบึ้งไม่เอ่ยวาจา

บัณฑิตกู้มองคุณหนูจวินทีหนึ่ง ส่งสายตาให้นาง

คุณหนูจวินหลุบตาเปิดหีบยาที่ยกมาด้านข้าง

“ต้องไปในห้องไหม?” บัณฑิตกู้เอ่ยถาม

“ไม่ต้อง อยู่ที่นี่ก็ได้” คุณหนูจวินเอ่ย

บัณฑิตกู้จึงดึงจิ่วหรงไว้

“มา นั่งลงมา เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ” เขาเอ่ย

จิ่วหรงถูกเขาจับนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างโดยไม่ทันตั้งตัว เพิ่งนั่งลงร่างกายก็ดีดขึ้นทันที ในเวลาเดียวกันปากก็ร้องซี้ด

บัณฑิตกู้ตกใจสะดุ้ง มือของคุณหนูจวินที่เปิดหีบยาอยู่ก็ชะงักไปด้วย

“เป็นอะไร?” บัณฑิตกู้เอ่ยถาม

สีหน้าจิ่วหรงเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว

“ข้าไม่นั่ง ข้าจะยืน” เขาเอ่ย

บัณฑิตกู้หัวเราะแล้ว ตบหัวไหล่เขา

“นั่งลงก็เป็นลูกผู้ชายเหมือนกัน” เขาเอ่ยเสียงเบา

จิ่วหรงร้องเหอะหันหน้าไป

คุณหนูจวินหยิบตะไบเข็มทองหมุนตัวมา

“ไม่เป็นไร ยืนก็ได้เหมือนกัน เร็วมาก” นางเอ่ย

บัณฑิตกู้ไม่ตื้ออีก คลายเสื้อของจิ่วหรงเผยหัวไหล่ มองคุณหนูจวินทิ่มทะลุผิวอย่างฉับไวฝังหน่อฝีลงไปพันผ้า

“ที่แท้ก็ง่ายดายปานนี้” เขายิ้มเอ่ย

“ที่เป็นไม่ยาก ที่ยากไม่เป็น” คุณหนูจวินเอ่ย เก็บข้าวของ

“คุณหนูจวิน ได้ยินว่าหลังการปลูกฝีจะตัวร้อนออกฝี ไม่สู้ท่านอยู่ที่นี่ดูสักวันเถอะ” บัณฑิตกู้เอ่ย

คุณหนูจวินมองไปทางบัณฑิตกู้ แล้วมองจิ่วหรงอีกครั้ง

จิ่วหรงหันหน้าไปไม่มองนาง แต่ไม่ได้พูดอะไร

“ไม่จำเป็น” คุณหนูจวินเอ่ย “ตัวร้อนออกฝีไม่น่ากังวล ดื่มน้ำให้มากพักผ่อนสักหน่อยก็หายแล้ว หากเกินสองวันไข้ยังไม่ลด ข้าจะมาอีกครั้ง”

บัณฑิตกู้ร้องอ้อทีหนึ่ง สีหน้าท่าทางแฝงความนัยลึกซึ้ง

จิ่วหรงดึงแขนเสื้อของเขา

“อาจารย์ อาจารย์ พวกเราตกปลาเถอะ” เขาเอ่ย

บัณฑิตกู้ยิ้ม

“รบกวนคุณหนูจวินแล้ว” เขาเอ่ยอีกครั้ง มองจิ่วหรงทีหนึ่ง

จิ่วหรงท่าทางไม่ยินยอมอยู่บ้างผงกศีรษะให้คุณหนูจวินหนึ่งที นี่ก็นับว่าเอ่ยขอบคุณสมฐานะของเขาแล้ว

คุณหนูจวินยิ้มคำนับ หิ้วหีบยาเดินไปข้างนอก ไม่รู้เวลาใดขันทีปรากฏตัวนำทางอีกครั้ง

ตอนที่เลี้ยวโค้งคุณหนูจวินหันกลับไปมองทีหนึ่ง จิ่วหรงกับบัณฑิตกู้ไม่ได้มองนางอีกแล้ว สองคนยืนอยู่ริมทะเลสาบใหม่ จิ่วหรงถือคันเบ็ดนั่งลงแล้วทะลึ่งลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

“นั่งตกไม่ได้ปลา ข้าจะยืนตกปลา” เขาเอ่ยท่าทางโมโหโทโสอยู่บ้าง

คุณหนูจวินอดไม่ได้หัวเราะ ทั้งปวดใจและเสียใจอยู่บ้าง

เมื่อครู่ลงมือหนักเกินไปแล้ว

นางรั้งสายตากลับมาเดินข้ามธรณีประตู แต่จิ่วหรงทำไมช่วยนางพูดโกหกเล่า?

หรือกลัวคำพูดเหล่านั้นถูกลู่อวิ๋นฉีรู้แล้วทำร้ายจิ่วหลี?

ไม่ถูกนะ หากไม่มีคำอนุญาตจากลู่อวิ๋นฉี จิ่วหรงจะรู้คำพูดพรรค์นี้ได้อย่างไร

คุณหนูจวินขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดถึงจิ่วหรงถูกคนจงใจพูดคำพูดพรรค์นี้ให้ฟังก็โกรธขึ้นมาอีกครั้ง

สำหรับเด็กน้อยที่สิ่งใดก็ทำไม่ได้คนหนึ่ง นี่เป็นการเหยียบย่ำโดยแท้

เหยียบย่ำจิ่วหลี เหยียบย่ำจิ่วหรง

คุณหนูจวินกำหีบยาแน่นเดินออกจากวังไหวอ๋อง

คนมากมายในโรงหมอจิ่วหลิงเห็นคุณหนูจวินกลับมาล้วนผ่อนลมหายใจ สีหน้ายุ่งยากขึ้นในเวลาเดียวกัน

พวกเขาย่อมรู้ว่าคุณหนูจวินหลังเข้าไปในวังไหวอ๋องไม่นาน ลู่อวิ๋นฉีก็เดินออกมาจากด้านใน เห็นชัดว่าลู่อวิ๋นฉีได้พบคุณหนูจวินแล้ว

พวกเขารู้ ชาวบ้านทั้งหลายก็ย่อมรู้ด้วย

ตอนนี้คุณหนูจวินปลอดภัยไร้อันตรายเดินออกมาจากวังไหวอ๋องแล้ว เห็นได้ว่าลู่อวิ๋นฉีไม่ได้สร้างความลำบากให้นาง

นี่บอกได้หรือไม่ว่ารักกันจริง?

แม้พวกเขาไม่มีทางคิดเช่นนี้ แต่ขวางชาวบ้านจำนวนหนึ่งไม่ให้คิดเช่นนี้ไม่ได้

“ในเมืองก็ไม่รู้ว่าใครกำลังกระจายข่าวลือ” เฉินชีเอ่ยขึ้นโมโหอยู่บ้าง “พูดคำพูดเหลวไหลไร้สาระบางอย่าง”

……………………………………….