กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 460
ผู้อาวุโสหกหยิบน้ำเต้าเหล้าขึ้นมาจากบริเวณเอว จากนั้นเปิดฝาและดื่มเข้าไป เขาค่อยๆ พูดขึ้นมา “พันปีก่อน เผ่าหยกเป็นรัฐๆ หนึ่ง ชื่อว่ารัฐอวี้ เผ่าเพลิงฟ้าก็เป็นรัฐๆ หนึ่ง ชื่อว่ารัฐเฉิน เดิมทีรัฐอวี้และรัฐเฉินเป็นรัฐที่กำหนดการอภิเษกสมรสกัน”

“รัฐที่กำหนดการอภิเษกสมรส?”

“ใช่ จักรพรรดิของรัฐอวี้ ตอนที่พระองค์ยังอยู่ในครรภ์ ก็ได้มีการกำหนดหมายหมั้นที่จะอภิเษกสมรสกับองค์หญิงของรัฐเฉินที่ยังอยู่ในครรภ์ องค์หญิงของรัฐเฉินเกิดความรักใคร่ชอบพอในจักรพรรดิรัฐอวี้ แต่จักรพรรดิรัฐอวี้ได้มีคนที่หมายปองไว้ก่อนแล้วและยอมสละตำแหน่งจักรพรรดิ แม้แต่ไม่เสียดายชีวิตของพระองค์เอง เพื่อที่จะแต่งงานกับหญิงสาวต่างรัฐ หวงเจินเจิน รัฐเฉินมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องเวทมนตร์คาถาอาคม องค์หญิงของรัฐเฉินทำการสังหารเสด็จพ่อและเสด็จพี่เพื่อขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินีหญิงของรัฐเฉินและให้คนในรัฐเฉินทั้งหมดสังเวยชีวิต จากนั้นทำการร่ายคาถาอาคมคำสาปโลหิตที่ชั่วร้ายนี้กับทุกคนบนโลกใบนี้”

“ฉะนั้นจึงเป็นสาเหตุให้คนของรัฐอวี้ทั้งหมดต่างก็อยู่ภายใต้คำสาปโลหิต เป็นเวลาพันปีที่คนรุ่นหลังต้องทนทุกข์ทรมานจากคำสาปโลหิต เดิมทีรัฐอวี้เป็นรัฐที่แข็งแกร่งอย่างมาก แต่เพราะคำสาปโลหิตจึงทำให้ผู้คนในรัฐเริ่มลดลงไปจากรุ่นสู่รุ่น จนถึงตอนนี้……เฮ้อ……”

กู้ชูหน่วนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “คนในรัฐเฉินทุกคนต้องสังเวยชีวิต? เช่นนั้นแล้วเผ่าเพลิงฟ้ามีประวัติความเป็นมาอย่างไรหรือ?”

“นางปีศาจหญิงคนนั้นมีความฉลาดนัก และได้ทิ้งสายเลือดพวกพ้องเอาไว้ ฉะนั้นประชาชนของรัฐเฉินจึงไม่ได้ตายไปทั้งหมด”

เมื่อพูดถึงจักรพรรดินีรัฐเฉิน ทุกคนต่างพากันกัดฟันกรอดและอดไม่ได้ที่จะถลกหนังนางออกมา

กู้ชูหน่วนถอนหายใจ

เพราะความอิจฉาริษยา ทำให้ประชาชนทุกคนต้องตกเป็นเครื่องสังเวยชีวิต วิธีการช่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน

“คนของรัฐอวี้ก็เป็นเพราะถูกคำสาปโลหิตจึงทำให้ประชากรลดลงอย่างมาก หลังจากนั้นอดีตจักรพรรดิเกรงว่ารัฐอื่นจะบุกเข้ามาโจมตีพวกเรา จึงได้พบสถานที่นี้ขึ้นมาและทำการร่ายมนตร์ม่านอาคมเอาไว้ อดีตจักรพรรดิของเรามีฝีมือวิทยายุทธสูงส่ง หลายพันปีมานี้ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายม่านอาคมนี้ได้”

“แล้วหลังจากนั้นจักรพรรดินีรัฐเฉินเป็นอย่างไร ตายไปแล้วหรือยัง?”

“ถูกอดีตจักรพรรดิและอดีตฮองเฮาฆ่าตายไปเสียแล้ว แต่ว่า……คำสาปโลหิตนั้นนอกจากไข่มุกมังกรแล้ว กลับไม่มีสิ่งอื่นใดสามารถกำจัดได้เลย”

ผู้อาวุโสหกชะงักครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็มองไปที่ผู้อาวุโสสูง พูดด้วยน้ำเสียงขอร้องและอ้อนวอน “ผู้อาวุโสสูง ไม่เช่นนั้นแล้ว ท่านให้ข้าไปค้นหาไข่มุกมังกรแทนเจ้าสี่ดีหรือไม่ จมูกของข้าใช้งานได้ดีมาก เพียงแค่บริเวณใกล้เคียงมีไข่มุกมังกร ข้าก็สามารถได้กลิ่น”

“ไปเถอะ จมูกของเจ้านอกเสียจากกลิ่นเหล้าแล้ว เจ้ายังได้กลิ่นอะไรอีก ใครก็รู้เมื่อเจ้าได้กลิ่นเหล้า ขาของเจ้าก็อ่อนแรง หากให้เจ้าออกไปจัดการ ทุกคนในหมู่บ้านคงเป็นกังวลแย่”

“เจ้าสี่ เจ้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก ถึงอย่างไรเสียฝีมือการต่อสู้ของข้าก็เก่งกาจกว่าเจ้า อีกอย่างข้าก็ระมัดระวังมากกว่าเจ้า ก่อนหน้านี้เจ้าออกไปก็หลายครั้ง แม้แต่เงาของไข่มุกมังกรก็หาไม่เจอ ข้าออกไปเพียงครั้งเดียว แต่กลับพบเบาะแสของไข่มุกมังกรเม็ดที่สี่เข้า เรื่องนี้เจ้าคงไม่ปฏิเสธสินะ”

“เจ้า……”

ผู้อาวุโสสูงที่เงียบขรึมอยู่นานก็พูดขึ้นช้าๆ “เจ้าหกก็ออกไปค้นหาด้วยกันเถอะ”

“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสสูงมาก”

ภายในเรือนไม้ไผ่ที่สง่างาม

กู้ชูหน่วนไปเยี่ยมอี้เฉินเฟย เดิมที่นางเพียงต้องการไปแอบดูเขาสักครู่และเดินออกมา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอี้เฉินเฟยจะตื่นขึ้นมา

ใบหน้าของอี้เฉินเฟยซีดเซียว และผมสีขาวของเขาพราวพรายเป็นพิเศษในป่าไผ่อันเขียวชอุ่ม

แม้ว่าเขาจะอ่อนแอ แต่เขาก็ยังยิ้มอย่างอบอุ่น มองไปที่กู้ชูหน่วนด้วยความอ่อนโยนในดวงตาของเขา

“ท่านพี่เฉินเฟย ท่านตื่นตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดถึงไม่ส่งคนไปบอกข้าเสียหน่อย”

“ข้าเพิ่งตื่น”

น้ำเสียงของอี้เฉินเฟยอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง

เขาไม่ได้บอกนางว่าเขาฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

เมื่อคืนที่คำสาปโลหิตสำแดงฤทธิ์ เขาเจ็บปวดแทบตาย มีหลายครั้งที่หมดสติไปและตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง

และยัง……ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับภูเขาเสวี่ยเฟิงและภูเขาลูกอื่นๆ อีกด้วย

น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ แม้เขาอยากจะออกไปช่วยมากเพียงใดก็ตาม แต่ตัวเขาเองก็แทบปกป้องตัวเองไม่ได้ในตอนนี้

ความรู้สึกผิดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

หากไม่ใช่เพราะต้องช่วยเหลือเขา ผู้อาวุโสทั้งหลายก็คงไม่ต้องสูญเสียลมปราณแท้จำนวนมากเช่นนี้ จึงทำให้ไม่สามารถกดคำสาปโลหิตให้ไม่สำแดงฤทธิ์ต่อชาวบ้าน

เหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดและความเจ็บปวดที่เขาได้เห็นเมื่อคืนนี้ทั้งหมด คาดว่าเขาคงรับรู้ถึงความเจ็บปวดอย่างมากเช่นกัน

กู้ชูหน่วนหยิบเก้าอี้มานั่งข้างๆ เตียงของเขา และช่วยเขาห่มผ้าขึ้นมา

“อากาศเริ่มเย็นแล้ว ร่างกายของท่านไม่แข็งแรงนัก ต้องห่มผ้าหนาๆ เสียหน่อย ดูสิท่านผอมไปเยอะเชียว ประเดี๋ยวข้าจะเขียนสูตรอาหารให้และให้อินเอ๋อร์ทำของอร่อยขึ้นมาให้ท่านกิน”

“เจ้าจะไปแล้วหรือ?”

“อืม……แต่ข้าจะรีบกลับมา”

เงียบสงัด

ภายในห้องเงียบสงัด แม้แต่เข็มตกก็สามารถได้ยินเสียง

อี้เฉินเฟยรู้ว่านางต้องการไปล่าค้นหาไข่มุกมังกร

ดวงตาที่อบอุ่นของเขาเจ็บปวดเล็กน้อย มุมปากของเขาขยับและเปล่งเสียงแผ่วเบา

“อาหน่วน เรื่องการตามหาไข่มุกมังกรนั้นไม่รีบร้อน แต่หากหาเจอก็เป็นเรื่องที่ดี หากหาไม่พบเช่นนั้นก็ไม่เป็นไป หลายปีมานี้ ทุกคนต่างก็ชินกันแล้ว”

กู้ชูหน่วนยิ้มโดยปราศจากเสียงใดๆ

เรื่องเช่นนี้จะพูดมาคุ้นชินได้อย่างไร

“ท่านพี่เฉินเฟย ข้าเป็นคนของเผ่าหยก เช่นนั้นแล้วท่านแม่ของข้าล่ะ……ท่านแม่ของข้าจากไปเพราะโรคซึมเศร้าอย่างนั้นหรือ? อัครเสนาบดีเป็นพ่อของข้าจริงๆ หรือ?”

“เรื่องเหล่านี้ ข้าก็ไม่รู้มากนัก”

“เช่นนั้นแล้วท่านพ่อท่านแม่ของท่านล่ะ”

เมื่อได้ยินเข้า อี้เฉินเฟยก็มีสีหน้าซีดขาวอย่างน่าแปลกประหลาด

เขาก้มหน้าลงและปิดตาไปอย่างเจ็บปวด

“ขอโทษด้วยที่ข้าถามถึงเรื่องที่ทำให้ท่านเจ็บปวดใจ”

อี้เฉินเฟยลืมตาขึ้นและยิ้มจางๆ “เจ้าอยากรู้จริงๆ หรือ? อันที่จริงข้าพูดออกมาก็ไม่เป็นอะไร”

“ตอนที่ข้าอายุสี่ขวบ ท่านแม่ของข้ากำลังตั้งครรภ์ซึ่งก็เหมือนกับอาสะใภ้หนิว อายุครรภ์ประมาณแปดเก้าเดือน วันที่สิบห้าวันนั้น ท่านพ่อของข้าเกิดสำแดงฤทธิ์คำสาปโลหิตขึ้น และในขณะที่ขาดสติสัมปชัญญะก็ได้ฆ่าท่านแม่ของข้า ที่น่าเสียดายก็คือท่านแม่ของข้าไม่โชคดีอย่างอาสะใภ้หนิว นางตายไปถึงสองชีวิต ท่านพ่อของข้ารับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากนั้นวัดถัดไปก็ได้ฆ่าตัวตายลงที่ข้างศพของท่านแม่ ฉะนั้น……ตอนข้าอายุได้สี่ขวบ ท่านพ่อท่านแม่ของข้าก็จากไปแล้ว และเป็นผู้อาวุโสทั้งหลายที่เลี้ยงดูมาให้เติบโต”
นี่เป็นเรื่องที่น่าโศกเศร้าอย่างมาก

แต่อี้เฉินเฟยกลับพูดเป็นเรื่องปกติ ราวกับพูดเรื่องที่ไม่สำคัญอะไร

กู้ชูหน่วนไม่รู้ว่าในใจของต้องแบกรับกับความเจ็บปวดมากมายเพียงใด

มีใครที่ไหนที่พูดเรื่องพ่อแม่ของตัวเองตายแล้วยังสามารถหัวเราะขึ้นได้?

นางจับมือของเขาแน่น ใบหน้าที่ซีดเผือดของอี้เฉินเฟยสะท้อนอยู่ในดวงตาที่วาววับของนาง และนางพูดอย่างหนักแน่นว่า “ท่านพี่เฉินเฟย ท่านยังมีข้า ข้าจะอยู่กับท่านไปตลอด”

เพียงคำพูดเดียว ทำให้กำแพงที่อี้เฉินเฟยอุตส่าห์สร้างขึ้นด้วยความยากลำบากต้องพังทลายไป

“เมื่อก่อนเจ้าก็เคยพูดคำนี้กับข้า ตอนนั้นข้าอายุสี่ขวบ เจ้าอายุสามขวบ เจ้าก็จับมือของข้าไว้เช่นนี้และกล่าวสัญญาสาบานกับข้าว่าเจ้าจะอยู่กับข้าไปตลอด”

จริงหรือ……

นางจำไม่ได้แล้ว

ตอนที่นางยังอายุสามขวบ นางยังอยู่ในยุคปัจจุบันอยู่เลย

“อาหน่วน ข้ารู้ว่าจากนิสัยของเจ้าแล้ว ใครก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามให้เจ้าออกไปตามล่าค้นหาไข่มุกมังกรได้ ข้าแค่ต้องการบอกเจ้าว่า หาหรือไม่หาก็ไม่สำคัญ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าฝืนตัวเอง และไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าจะดูแลตัวเองอย่างดีและรอเจ้ากลับมาเสมอ”

จู่ๆ กู้ชูหน่วนก็โถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขา และน้ำตาคลอ และตอบรับด้วยเสียงสะอื้นเบาๆ

อี้เฉินเฟยยื่นมือออกไปเพื่อจะปลอบนาง แต่เขาก็ไม่กล้าสัมผัสร่างกายของนาง ทำได้เพียงปล่อยให้นางกอดอยู่เช่นนั้น

นางเห็นว่าเขาเป็นพี่ชายแท้ๆ

แต่เขากลับไม่ได้คิดว่านางคือน้องสาว

แต่เขาจะไม่มีทางคิดเป็นอย่างอื่นเด็ดขาด

ไม่เพียงเพราะว่าเขาถูกคำสาปโลหิต แต่เป็นเพราะร่างกายของเขาด้วย

และเพราะไม่ต้องการทำลายความสัมพันธ์พี่น้องอันสวยงามและบริสุทธิ์เช่นนี้

ขอเพียงแค่นางมีชีวิตที่ดี ทั้งหมดนี้……ก็เพียงพอแล้ว……