ตอนที่ 493-1 หนทางข้างหน้ามีเพียงตนทราบ

พันธกานต์ปราณอัคคี

ดวงอาทิตย์ถึงคราลับฟ้า แสงลานตาพลันสว่างขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินบอกลาต้วนชิงเกอ จากนั้นพามั่วหนิงโหรวและตู้รั่วเหาะไปยังเขาลั่วเถา

 

 

“พี่สิบสี่ ตู้รั่ว พวกเจ้าดูสิ ที่นี่คือที่พำนักของข้ามีนามว่าลั่วเถา” มั่วชิงเฉินร่อนลงช้าๆ เปิดม่านบังตาและพาสองคนนั้นเข้าไปข้างใน

 

 

“งดงามนัก” มั่วหนิงโหรวถอนหายใจพลางมองดูดอกท้อเปล่งประกายยามอาทิตย์อัสดง

 

 

ตู้รั่วเองก็พินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด ที่นี่คงจะกลายเป็นที่อยู่อาศัยของเขาไปชั่วกาลกระมัง มิรู้เหมือนกันว่านอกจากตนแล้วท่านอาจารย์ยังมีศิษย์คนอื่นอีกหรือไม่

 

 

“ผู้ใดกัน!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นในเวลาพลบค่ำ เห็นเพียงก้อนอิฐส่องแสงสีทองลอยมาตรงหน้า

 

 

ตู้รั่วสีหน้าหม่นหมอง ที่แท้ท่านอาจารย์ก็มีศิษย์อื่นอีก นางยังถ่ายทอดก้อนอิฐไปให้ผู้อื่นอีก หรือว่าเขาจะมีศิษย์พี่หญิง

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นก้อนอิฐที่ลอยมาพลันรู้สึกคุ้นเคยและอบอุ่น นางใช้มือคว้าอิฐก้อนนั้นไว้และพูดยิ้มๆ “เหลียงเฉิน”

 

 

ร่างของผู้มาใหม่สว่างวาบจากนั้นก็ปรากฏตัวลงบนผืนดิน เดินตรงมายังมั่วชิงเฉิน มือขยี้ตาอย่างมึนงง ทันใดนั้นก็ร้องและทะยานเข้าไปหามั่วชิงเฉิน

 

 

“เหลียงเฉิน เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” หญิงสาวอีกนางหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน ตามด้วยร่างที่พุ่งออกไปนอกเรือน

 

 

เหลียงเฉินโผเข้าสู่อ้อมกอดของมั่วชิงเฉิน นางเอ่ยทั้งน้ำตา “คุณหนู ใช่ท่าน หรือไม่”

 

 

เหมยจิ่งที่เพิ่งเดินออกไปชะงักอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะคืนสติ นางสาวเท้าเดินสองก้าวก็มาอยู่ตรงหน้ามั่วชิงเฉิน ดวงตารื้นน้ำตาล้อแสง จากนั้นทำความเคารพ “คุณหนู!” น้ำเสียงสะอึกสะอื้นจนแทบจะไม่มีเสียงดังออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินตบหลังเหลียงเฉินเบาๆ “เหลียงเฉิน หากเจ้าไม่ลุกขึ้นมา เสื้อผ้าของข้าคงต้องเปียกหมดแน่”

 

 

เหลียงเฉินลุกขึ้นยืน น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย ไม่สนใจจะใช้มือปาดมันออกเลยแม้แต่น้อย สีหน้าปรากฏรอยยิ้มเปล่งประกาย “คุณหนู ดียิ่งนัก เหลียงเฉินคิดว่ายังฝันอยู่เสียอีก ที่แท้คุณหนูก็กลับมาแล้วจริงๆ”

 

 

“เป็นความจริง ดังนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็ไม่ต้องร้องแล้ว” มั่วชิงเฉินเผยประกายหยอกล้อในแววตา

 

 

ปีนั้นเหมยจิ่งอยู่ตรงประตูตลอด นางจึงไม่ต้องคอยกังวลใจเรื่องความปลอดภัย ความกังวลใจเพียงอย่างเดียวคือจะบรรลุระดับสร้างรากฐานได้หรือไม่ก็เท่านั้น ในที่สุดตอนนี้ทุกอย่างก็เรียบร้อย ถึงแม้นางจะเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานขั้นต้น ในวันหน้าอาจใช้ยาลูกกลอนสักหน่อยและการขัดเกลานิสัย ไม่แน่ว่าอาจเลื่อนขั้นขึ้นไปได้อีก

 

 

ในทางกลับกันกับเหลียงเฉิน เพราะพลัดจากกันในวิกฤติอสูร นางมัวแต่กังวลว่านางดับสูญ แต่ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะโชคดีที่ไม่เพียงแต่ได้กลับพรรค หากแต่ยังเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานขั้นปลายแล้ว

 

 

“คุณหนู ท่านพาแขกมาหรือ เช่นนั้นเหมยจิ่งจะไปต้มชาเจ้าค่ะ” เหมยจิ่งมีนิสัยใจเย็น หลังจากตื่นเต้นในตอนแรก เมื่อเห็นมั่วหนิงโหรวและตู้รั่ว นางพลันคิดได้ว่ามิควรเสียมารยาทจนทำให้คุณหนูต้องเสียหน้า จึงรีบพูดขึ้น

 

 

“มิต้องรีบร้อน” มั่วชิงเฉินโบกมือ จากนั้นจึงพูดอย่างยิ้มๆ กับมั่วหนิงโหรว “พี่สิบสี่ ท่านจำพวกนางสองคนได้หรือไม่”

 

 

มั่วหนิงโหรวครุ่นคิด นางเบิกตากลมขึ้น “หรือว่า…พวกนางคือสาวใช้ฝาแฝดคู่นั้นที่หัวหน้าตระกูลหวังมอบให้เจ้า”

 

 

“ใช่เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินอมยิ้มและพยักหน้า

 

 

เหลียงเฉินร้องขึ้นมาอย่างตกใจ “ทะ ท่านคงไม่ใช่ฮู…” พูดได้แค่นั้นก็ถูกเหมยจิ่งดึงอย่างแรง คำพูดจึงสิ้นสุดลงแค่นั้น

 

 

มั่วชิงเฉินกลั้นยิ้ม ผ่านไปหลายปีแล้ว พลังยุทธ์ของสองพี่น้องเองก็สูงมากยิ่งขึ้น หากแต่นิสัยก็ยังเหมือนเดิม เหมยจิ่งยังคงเป็นคนที่เข้าใจผู้อื่นและระมัดระวัง เหลียงเฉินเองก็ยังคงมีนิสัยสบายๆ คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น

 

 

“จากนี้ไปไม่มีฮูหยินสี่อีกแล้ว พี่สิบสี่ของข้ามีนามว่ามั่วหนิงโหรว” มั่วชิงเฉินกล่าว

 

 

เหลียงเฉินและเหมยจิ่งมองหน้ากัน จากนั้นก็คารวะพร้อมกัน “คุณหนูหนิงโหรว”

 

 

มั่วหนิงโหรวตื่นตระหนกเล็กน้อย นางรีบประคองทั้งสองคนขึ้น สีหน้าเหนียมอาย “มิกล้าหรอก พวกเจ้าเรียกแค่ชื่อของข้าก็พอ”

 

 

ได้ยินผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงกว่าเรียกเช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจนัก

 

 

“มิได้เจ้าค่ะ” ทั้งสองคนพูดขึ้นมาพร้อมกัน

 

 

มั่วฉิงเฉินทราบดีว่าเหลียงเฉินกับเหมยจิ่งยืนหยัดแนวคิดนายบ่าว นางรีบแก้ต่าง “พี่สิบสี่ เพียงแค่คำเรียกท่านมิต้องใส่ใจหรอก เหลียงเฉิน เหมยจิ่ง ผู้นี้คือตู้รั่วศิษย์ของข้า ต่อไปนี้เขาจะพำนักอยู่ที่เขาลั่วเถา”

 

 

เหลียงเฉินและเหมยจิ่งพากันเบิกตากว้าง สายตาที่มองตู้รั่วเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น คาดไม่ถึงเลยว่าคุณหนูจะรับคนเป็นศิษย์

 

 

“คารวะคุณชาย”

 

 

ตู้รั่วมีท่าทีสุขุม เขาพยักหน้าน้อยๆ พลางเอ่ย “แม่นางทั้งสองมิต้องมากพิธีไปหรอก” ท่าทางเช่นนั้นกลับดูไม่เหมือนเยาวชนวัยยี่สิบกว่าเลยแม้แต่น้อย

 

 

มั่วชิงเฉินชำเลืองมองเล็กน้อย นางเห็นใบหูของเขาเป็นสีแดงจางๆ จึงอดไม่ได้ที่จะแกล้งสักหน่อย นางขยิบตาให้เหลียงเฉินและเหมยจิ่ง “เหลียงเฉิน เหม่ยจิง ตู้รั่วผู้นี้ยังอายุน้อยนัก และยังเป็นบุรุษผู้เดียวในเขาลั่วเถาของพวกเรา จากนี้ไปพวกเจ้าก็ดูแลเขาให้มากๆ ล่ะ”

 

 

“เจ้าค่ะ” เหลียงเฉินและเหมยจิ่งตอบรับเสียงใส

 

 

อายุน้อยอย่างนั้นหรือ ตู้รั่วแอบกำหมัดแน่น พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่มองใบหน้ายิ้มเยาะของมั่วชิงเฉิน เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของท่านอาจารย์ที่มีต่อศิษย์”

 

 

เจ้าเด็กแข็งทื่อ ทำหน้าราบเรียบเช่นนี้ทั้งวันไม่เมื่อยหรือไร

 

 

มั่วชิงเฉินลอบยิ้มในใจ เมื่อกี้ที่เพิ่งกลับมาเกิดเหตุการณ์มากมายจึงเลิกล้มแผนการแกล้งศิษย์น้อยชั่วคราว นางสะบัดมือหนึ่งทีเรียกอสูรวิญญาณทั้งสามตนออกมา

 

 

อีกาไฟกระโดดโลดเต้นไปได้ไม่กี่ก้าวก็อยู่ตรงหน้าเหลียงเฉินและเหมยจิ่ง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มยียวน “สาวงามทั้งหลาย คิดถึงข้าหรือไม่”

 

 

มั่วชิงเฉินยกมุมปากขึ้น เจ้าอู๋เย่ว์ เจ้าเรียนรู้มาจากถังมู่เฉินหรืออย่างไร

 

 

คิดได้ดังนี้ก็นิ่งเฉยไม่ได้เสียแล้ว นางกล่าวกับเหลียงเฉินและเหมยจิ่ง “เหลียงเฉินและเหม่ยจิง เจ้าจัดที่พักให้พี่สิบสี่และตู้รั่ว ส่วนข้าจักไปที่โถงปฏิบัติงาน” พูดจบนางก็เหยียบลงบนไหมเกล็ดน้ำแข็งตรงไปยังห้องปฏิบัติงานที่เขาโฮ่วเต๋อ

 

 

เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินจากไป เหมยจิ่งก็รีบจัดที่พักให้แก่มั่วหนิงโหรวและตู้รั่วอย่างละเอียดถี่ถ้วน จัดทุกอย่างจนเรียบร้อย แต่เหลียงเฉินกลับเดินวนไปรอบๆ หมาป่าน้อยด้วยสีหน้าสงสัยอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนต้องถามออกมา “เจ้าคืออสูรปีศาจที่คุณหนูเพิ่งเก็บมาหรือ”