ตอนที่ 154 วีแชท / ตอนที่ 155 ส่งเหอะๆ ให้นาย

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ

ตอนที่ 154 วีแชท

 

 

ชุยหังรู้สึกสับสนพลางวางสายมือถือของซ่งข่าย ตัวเองเดินอยู่ในโรงเรียนอย่างไร้จุดหมาย

 

 

“เหลาอู่ นายไปทำไรมา”

 

 

ชุยหังชะงักฝีเท้า เป็นเสียงของวังเจิ้นเฉียงนั่นเอง

 

 

เขาหันหน้าไปมองก็เห็นวังเจิ้นเฉียงกับวังเฉียงทั้งสองคนกำลังเดินไปที่โรงอาหาร

 

 

“ทำไมมีแค่พวกนายสองคน คนอื่นล่ะ” ชุยหังเอ่ยถาม

 

 

“พวกเขาไปโรงห้าแล้ว นี่คือโรงสอง ทำไมวันนี้นายเองก็มาฝั่งนี้ด้วยล่ะ”

 

 

ชุยหังเองเพิ่งจะเห็นว่าตัวเองเดินใจลอยอ้อมมหาวิทยาลัยมาครึ่งรอบแล้ว

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก วันนี้ฝึกเหนื่อยหน่อย แล้วก็ไม่อยากกินอาหารโรงห้าแล้วด้วย พวกนายบอกว่าของกินโรงห้าอร่อยไม่ใช่เหรอ ฉันก็จะมาลองดู” ชุยหังเอ่ยอธิบายด้วยท่าทางเลิ่กลั่ก

 

 

พวกวังเจิ้นเฉียงเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย พลางเอ่ยขึ้น “อร่อยมากจริงๆ ไปกันเถอะ พวกเราเข้าไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

 

 

“อืม เดี๋ยวฉันดูว่ามีอะไรบ้าง” ชุยหังเอ่ยบอก

 

 

ที่จริงเดิมทีไม่อยากกินข้าวจริงๆ ผลสุดท้ายก็ยังต้องเข้ามาอยู่ดี

 

 

แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ยังสั่งอาหารเหมือนปกติ เพราะว่าเดิมทีเขาเองก็ไม่มีความอยากอาหารอะไร

 

 

“นายบอกว่าอยากลองเปลี่ยนรสชาติดูไม่ใช่เหรอ ทำไมยังกินอันนี้อยู่อีก” วังเฉียงเอ่ยถาม

 

 

ชุยหังเอ่ยตอบ “ของพวกนั้นที่เพิ่งดูไป ไม่รู้สึกอยากอาหารอะไรเลย อาจจะเพราะเมื่อกี้ฝึกมาเหนื่อยเกินไปเลยอยากกินข้าวเฉยๆ”

 

 

วังเฉียงพูดต่อ “งั้นไม่สู้นายไปกินข้าวอยู่โรงห้าเลยจะไม่ดีกว่าเหรอ ใกล้ห้องนอนของพวกเราด้วย”

 

 

ชุยหังมองเขาพลางเอ่ย “เหล่าลิ่ว พี่อู่ของนายอย่างฉันแฝงตัวมาดูสักหน่อยว่าฝั่งนี้มีอะไรอร่อยๆ กินกันแน่ ถึงทำให้พวกนายยอมเดินอ้อมมาตั้งไกลได้”

 

 

วังเฉียงยิ้มหัวเราะไปพูดไป “วิทยาเขตนี้มีโรงอาหารอยู่หกแห่ง นายเดินไปวันนึงที่นึงสิ”

 

 

ชุยหังพูดต่อ “งั้นไม่ต้องแล้ว ฉันขี้เกียจจะขยับตัว ฉันคาดว่ากว่าฉันจะเรียนจบ ถ้าจำว่าประตูบานใหญ่ของโรงอาหารที่ไหนมีเปิดบ้างได้ก็โอเคแล้ว”

 

 

“อืม ถึงยังไงก็ใช่อยู่ นายแม่นทางโรงห้าแล้ว” วังเฉียงเอ่ย

 

 

วังเจิ้นเฉียงเอ่ยถาม “วีแชทของคู่เต้นรำคนนั้นของนาย นายมีไหม”

 

 

“อะไรกันนี่ เหล่าเอ้อร์นายเองก็ถูกใจเธอเหรอ” ชุยหังเอ่ยถาม

 

 

วังเจิ้นเฉียงเอ่ยตอบ “เปล่า คนบ้านเดียวกันกับฉันคนหนึ่งบอกว่าอยากได้วีแชทของเธอ”

 

 

“คนบ้านเดียวกันกับนายเหรอ ในห้องเราคนบ้านเดียวกันกับนายเยอะขนาดนั้น ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นคนไหน” ชุยหังพูดขึ้น

 

 

วังเจิ้นเฉียงเอ่ยต่อ “ไม่ใช่คนของห้องเรา เป็นคนของชั้นเรียนอื่น”

 

 

“แบบนั้นฉันยิ่งไม่ต้องช่วยแล้ว หมาป่าในห้องตัวเอง ฉันยังป้อนไม่หมดเลย ยังต้องมาสนใจคนน้องห้องอีก ต้องไม่ได้อยู่แล้ว”

 

 

วังเจิ้นเฉียงยิ้มหัวเราะพลางเอ่ยไป “ขอเดาว่านายขอแล้ว แต่คนเขาไม่ให้ใช่ไหมล่ะ”

 

 

“ไม่ใช่ ฉันไม่อยากได้เลย คนเชิดๆ เอาตัวเองเป็นใหญ่ขนาดนั้น ฉันรำคาญ” ชุยหังเอ่ยบอก

 

 

คู่เต้นรำของชุยหังถือว่าตัวเองเป็นดาวคณะ ถึงได้ทำตัวเย่อหยิ่งมาก ทั้งที่มีพื้นฐานการเต้นอยู่นิดเดียวเอง

 

 

ทุกครั้งที่ฝึกซ้อมมาสายเสมอ แล้วก็มักจะมีเหตุผลมากมายเสมอเช่นกัน

 

 

เดิมทีชุยหังก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับผู้หญิงอยู่แล้ว โดยเฉพาะผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองถูกต้องเสมอแบบนี้

 

 

ยังคิดจริงๆ อีกว่าแค่หน้าตาดีหน่อย เต้นรำเป็น ผู้ชายหน้าไหนก็เหมือนขี้ข้าที่ต้องฟังเธอชี้นิ้วสั่ง

 

 

‘ขอโทษที เขาไม่กินอะไรแนวนี้จริงๆ’

 

 

ในภาพจำของชุยหัง คนแบบนี้ก็คือพวกชาเขียว [1]

 

 

“โม้หรือเปล่า เอางี้มาพนันกัน ถ้านายเอาวีแชทของเธอมาได้ ฉันจะเลี้ยงข้าวนายเลย” วังเจิ้นเฉียงพูดขึ้น

 

 

“ช่างเถอะ ฉันไม่ได้มีความสนใจอะไรแบบนั้น อาหารมื้อนี้ ฉันไม่ยอมกินจะดีกว่า ฉันไม่หลงกลนายหรอก” ชุยหังพูดขึ้น

 

 

“อะไรกัน กลัวแพ้เหรอ”

 

 

ชุยหังเอ่ยตอบ “ไม่อยากเสียเวลาตัวเองกับคนไม่จำเป็น”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 155 ส่งเหอะๆ ให้นาย

 

 

หลังจากได้ต่อสายคุยกับซ่งไข่ทางโทรศัพท์แล้ว ที่จริงชุยหังอยากจะส่งข้อความให้หลูจื้อ

 

 

แต่ว่าก็ไม่อยากให้ตัวเองดูงี่เง่าไร้เหตุผลเกินไป ตัวเขาเองจึงอดกลั้นเอาไว้

 

 

‘ในเมื่อหลูจื้อไม่ได้พูดเรื่องนี้กับตัวเอง งั้นตัวเองก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไปก่อนแล้วกัน’

 

 

ถึงอย่างไรในประเทศ คนอย่างพวกเขาถึงแม้จะคบกันด้วยใจจริง ก็ไม่มีการหมั้นหมายเป็นเครื่องป้องกัน

 

 

ตอนนี้ต่อให้เป็นรักต่างเพศ คนสองคนมีลูกกันแล้วก็ตาม ถ้าความรักความผูกพันพังทลายลง อย่างไรก็แยกทางใครทางมันไปตามระเบียบอยู่ดี

 

 

แม้กระทั่งเพราะเด็ก เพราะความคิดตามกรอบเดิม คนมากมายยังต้องประคองไว้อยู่

 

 

ขั้นพื้นฐานที่สุด พวกเขาไม่ต้องรักษามันไว้ เหมาะสมก็คบกัน ไม่เหมาะสมก็แยกกันได้

 

 

ความคิดของชุยหังดี อยากจะมีความรักที่ไม่เลิกกัน แต่จากเรื่องของหลิวเฮ่อ เขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนอย่างช้าๆ

 

 

‘บางทียิ่งเรียกร้องยิ่งต้องการสูงมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งทำให้ตัวเองยิ่งเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากขึ้นไปอีกสินะ’

 

 

เรื่องของหลูจื้อ เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรดี

 

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาสามารถจะหลีกหนีได้

 

 

เพราะว่าความไม่ชัดเจนแบบนั้น ทั้งยังเป็นความรักที่มีผลลัพธ์แบบไม่แน่นอนอีก ทำให้คนคิดถึงแล้วพากันรู้สึกเหนื่อยได้จริงๆ

 

 

เพียงแต่ว่าสิ่งที่เขายิ่งสัมผัสรับรู้ในตอนนี้คือยามที่คนสองคนไม่เจอหน้ากัน ความรู้สึกพะวงหาแบบนั้น ทั้งยังความรู้สึกดีใจจนเนื้อเต้นหลังจากที่ได้เจอกันแบบนั้นอีก

 

 

นอนอยู่บนเตียงในห้องพักในหอ แรงลมจากพัดลมปะทะร่างชุยหัง แต่อย่างไรก็ช่วยลดอุณหภูมิในใจของตัวเองไม่ได้ทั้งสิ้น

 

 

เขาร้อนรุ่มกลุ้มใจ รู้สึกว่าหัวใจจะสุกแล้วอย่างไรอย่างนั้น

 

 

มือถือดังขึ้น เขาเปิดอ่านดู มีคนแอดวีแชทเขามา

 

 

เขากดดูรูปโปรไฟล์ พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้รูปตัวเอง แล้วในหน้าไทม์ไลน์ก็ว่างเปล่า ดูไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ทราบได้แน่ชัดว่าคนคนนี้เป็นใคร

 

 

อ่านดูที่ตั้งของอีกฝ่ายคือจี๋หลิน อาจจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นเมื่อก่อนของตัวเองก็เป็นได้

 

 

ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย คิดว่า ใครเปลี่ยนเบอร์ แล้วมีวีแชทใหม่ เลยอยากจะแชร์มามั้ง

 

 

คิดถึงตรงนี้ เขาก็ส่งข้อความออกไปหา

 

 

[สวัสดีครับ เบอร์ใหม่ของใครครับ] ชุยหังพิมพ์อย่างมีมารยาทมาก

 

 

ผ่านไปสักพัก ทางนั้นกลับตอบไม่ตรงคำถาม [ฉันเอง นายยังสบายดีไหม]

 

 

ชุยหังชะงักไป คนคนนี้เป็นใครกัน

 

 

[ฉันสบายดีมาก ว่าแต่นายเป็นใคร] เขายังยืนหยัดอยากจะรู้ให้ได้

 

 

ทางนั้นตอบกลับมา [ฉันคิดถึงนายมากเลยนะ นายคิดถึงฉันไหม]

 

 

ชุยหังรู้สึกว่าความอดทนของตัวเองถูกใช้ไปจนเกลี้ยงแล้ว พิมพ์ตอบกลับไปทันที [นายคิดดีแล้วค่อยมาคุยกับฉันเถอะ ฉันไม่รู้เลยว่านายเป็นใคร ถ้าหากคิดถึงผิดคนขึ้นมาล่ะ]

 

 

ทางนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอยู่นานสองนาน ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่

 

 

ชุยหังเปิดดูไทม์ไลน์ของเขาอีกครั้ง อยากจะมาดูให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่คาดไม่ถึงว่าจะปรากฏเนื้อหาสามวันล่าสุด แล้วอีกฝ่ายก็โพสต์เพียงแค่สถานะเดียวคือ…เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

 

 

ตกลงแล้วคนคนนี้คือใคร หรือว่าคือเพื่อนนักศึกษาคนที่ตัวเองสอบไม่ติด ก็เลยไปเรียนใหม่

 

 

ในที่สุดทางนั้นก็ตอบกลับมา

 

 

[ฉันคือหลิวเฮ่อ เมียจ๋า นายสบายดีไหม]

 

 

เมื่อเห็นชื่อนี้พร้อมกับคำที่เขาเรียกตัวเอง ชุยหังก็ลุกขึ้นจากเตียงทันที

 

 

เขารู้สึกว่ามันช่างน่าสะอิดสะเอียน ทำไมเขายังมีหน้ามาเรียกตัวเองแบบนี้ได้อีก

 

 

‘คนนอกใจก็คือเขา ตอนนี้มาบอกว่าตัวเองเป็นเมียของเขา ตัวเองต้องยอมรับปากงั้นเหรอ’

 

 

เขาคิดมากไปแล้วจริงๆ ตัวเองยังไม่ได้ระยำตำบอนถึงขั้นนั้น

 

 

โดยเฉพาะตอนนี้ตัวเองก็มีหลูจื้ออยู่แล้วด้วย

 

 

คิดดูแล้ว เขาก็ทำเพียงแค่พิมพ์ตอบกลับไปสองคำ [เหอะๆ]

 

 

[เป็นไรไป ทำไมแค่หัวเราะล่ะ] หลิวเฮ่อพิมพ์ถามต่อ

 

 

ชุยหังอดกลั้นความอยากจะมองบนใส่อีกฝ่ายเอาไว้ ถึงยังไงทางนั้นก็ไม่เห็นอยู่แล้ว

 

 

เขาตอบกลับไป [เหอะๆ นี้ส่งให้นายต่างหาก ต่อไปไม่ต้องมาเรียกฉันว่าเมียอีก เมียของนายคือลูกของพวกเพื่อนร่วมงานของนายนั่นแหละ คนเขายังอาบน้ำกับนายได้ แต่ฉันไม่มีความสามารถนี้หรอก]

 

 

 

 

——

 

 

[1] พวกชาเขียว เปรียบเปรยคนที่ทำเป็นน่ารักบริสุทธิ์ ไม่ประสีประสา แต่ที่จริงเป็นคนกร้านโลก