ฉู่ฉีเฟิงเดินออกมาจากอารามเมตตา เจี่ยงลิ่วที่ยืนรออยู่ด้านนอกเห็นสีหน้าของเขาเข้าก็ตกใจไม่แพ้กัน กว่าจะได้สติรู้สึกตัวขึ้นก็รีบเอ่ยขึ้นอย่างลนลานว่า “ท่านจวิ้นอ๋อง!”
“ลงเขาเถอะ!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวเดินผ่านหน้าเขาไปแล้วปีนขึ้นไปบนหลังม้า
สีหน้าเขาไม่ดีมาตลอดทางตั้งแต่บนเขาจนลงมาด้านล่าง ราวกับว่ามีแผ่นน้ำแข็งห่อหุ้มอยู่แบบนั้น
หลังจากที่ฉู่สวินหยางออกจากวังไปเป็นเพื่อนฉู่อี้อัน นางก็ตามเขาไปสะสางธุระที่ห้องหนังสือต่อ
ฉู่อี้อันเป็นคนเก็บตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถึงแม้ว่าจะอยู่กับฉู่สวินหยาง เขาก็ยังพูดน้อย แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาเป็นพ่อที่คอยดูแลตนมาตั้งหลายปี ขอเพียงแค่มีเขาอยู่ด้วยแค่นั้น ฉู่สวินหยางก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อก่อนด้วยความที่นางไม่อยากแตกแยกกับพี่น้องคนอื่น นางจึงไม่ค่อยใกล้ชิดกับพ่อของตนสักเท่าไร แต่เมื่อผ่านเรื่องในครั้งนี้ไปแล้ว ทำให้ในใจของนางมีความรู้สึกแอบหวาดกลัวอยู่เล็กน้อยขึ้นมา
โดยเฉพาะการที่ต้องเคยสูญเสียคนในครอบครัวไปแบบนั้น ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขาไม่ให้ละสายตา เฝ้ามองคิดถึงและห่วงใยอย่างถึงที่สุด
ฉู่อี้อันก็ไม่ได้สนใจนางมากนัก ปล่อยให้นางนั่งมองอยู่เงียบๆ ตรงนั้น ส่วนเขาก็ค่อยๆ สะสางเอกสารตรงหน้าไปทีละฉบับอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ตลอดเส้นทางมานี้ฉู่สวินหยางและฉู่อี้อันเดินทางมาอย่างเร่งรีบ ถึงขนาดเดินทางทั้งวันทั้งคืนโดยแทบไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่นิดเดียว
ฉู่สวินหยางเกยคางเหม่อมองฉู่อี้อันไปได้สักพัก สุดท้ายก็ฟุบนอนลงไปบนโต๊ะ
คิ้วของฉู่อี้อันขมวดขึ้นเล็กน้อย เขาลุกขึ้นหาผ้ามาหนึ่งผืนแล้วกำลังจะคลุมให้นาง ทว่าฉู่ฉีเฟิงที่อยู่ด้านนอกก็ผลักประตูเดินเข้ามา
“เสด็จพ่อ!” ฉู่ฉีเฟิงสาวเท้าเดินเข้ามา
“อืม!” ฉู่อี้อันพยักหน้าตอบรับ แล้วถามขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรถึงมาที่นี่งั้นรึ?”
“เมื่อครู่ตอนที่ข้าเพิ่งลงจากเขามา ข้าแวะไปที่กรมกลาโหมมาขอรับ” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวตอบ เงียบลังเลไปชั่วครู่จากนั้นก็พูดต่อ “สำหรับเรื่องขุนนางคนใหม่ที่จะมารับตำแหน่งในเมืองฉู่ ทางฮ่องเต้ท่านมีความเห็นว่าเยี่ยงไรหรือ? เวลานี้ฮั่วกังกลายเป็นคนตื่นตระหนกตกใจกับเรื่องอะไรง่ายมาก ดูท่าคงรับตำแหน่งนี้ไม่ได้หรอกขอรับ”
“ไม่ต้องไปสนใจเขา เขาไม่มีค่าอะไรให้เราใช้อีกแล้ว” ฉู่อี้อันกล่าวพลางมองฉู่สวินหยางที่นั่งหลับอยู่ด้านข้าง “เจ้าพาน้องสาวเจ้ากลับไปก่อนเถิด พานางกลับไปเรือนจิ่นฮว่า ให้นางพักผ่อนได้สบายหน่อย”
“ขอรับ!” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้า ใช้ผ้าห่อตัวฉู่สวินหยางเอาไว้แล้วอุ้มนางเดินออกจากประตูไป
ทว่าฉู่อี้อันไม่ได้เดินกลับไปสะสางเอกสารที่โต๊ะในทันที เขากลับยกถ้วยชาขึ้นมาแล้วเดินไปเปิดหน้าต่างออกบานหนึ่ง เหม่อมองแผ่นหลังของบุตรชายและบุตรสาวตนค่อยๆ เดินห่างออกไป
แววตาของเขาดำมืดสนิท แฝงไปด้วยความรู้สึกอันหนักอึ้งที่ยากจะหยั่งได้ถึง
ฉู่ฉีเฟิงอุ้มฉู่สวินหยางออกมาจากเรือนซืออี้ เขาสัมผัสได้ถึงแววตาด้านหลังของพ่อที่มองตามมา ทว่าเขากลับบังคับตัวเองให้ไม่หันหน้าไปมอง เพียงแต่อุ้มฉู่สวินหยางเดินอยู่ในสวนดอกไม้
หลายวันมานี้ฉู่สวินหยางคิดมากพะวงเกินไป ตั้งแต่วันที่นางไปเมืองฉู่มาวันนั้นก็แทบไม่ได้หลับตาลงเลย หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับเหยียนหลิงจวิน นางก็พยายามสร้างเปลือกอันแข็งแกร่งคงกระพันขึ้นมาห่อหุ้มตัวเองเอาไว้ วางแผนแก้แค้นอย่างบ้าคลั่ง จนทำให้สุดท้ายสถานการณ์ทางนั้นค่อยๆ เริ่มคงที่แล้ว ระหว่างทางกลับมานางก็รีบร้อนจนแทบไม่ได้หยุดพัก
บวกกับก่อนหน้านี้ที่นางป่วยหนักอีก เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนดี ทำให้นางผอมซูบลงไปเยอะมากเหลือเกิน
คางเล็กแหลม ใบหน้าเล็กแค่ฝ่ามือ ขนตางอนหลับตาพริ้ม ขอบตาดำคล้ำอย่างชัดเจน
ฉู่ฉีเฟิงอุ้มตัวนางไว้แต่แทบไม่รู้สึกเลยว่าหนัก ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดขมขื่นมากเหลือเกิน
“ท่านจวิ้นอ๋อง!” ชิงเถิงได้ยินมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก จึงรีบเดินเข้ามาต้อนรับ
ฉู่ฉีเฟิงรีบหันไปมองนางแล้วห้ามไม่ให้ส่งเสียง
เมื่อชิงเถิงรู้สึกตัวก็รีบปิดปากลง พยายามเดินให้เงียบที่สุดแล้วรุดหน้าขึ้นไปจัดแจงเตียงนอนให้เรียบร้อย
ฉู่ฉีเฟิงเองก็พยายามวางตัวฉู่สวินหยางลงบนเตียงอย่างเบามือ จากนั้นค่อยๆ เอี้ยวตัวลงหยิบผ้าห่มที่เปิดเผยอ
ออกขึ้นมาคลุมตัวนางให้ดี แต่ในขณะที่เขากำลังจับมุมผ้าห่มตอนนั้น…
ก็เผลอก้มตาลงจนทำให้สบตาเข้ากับดวงตาสะลึมสะลือของฉู่สวินหยางเข้า
ณ เวลานั้นเป็นยามค่ำคืน โคมไฟห้อยอยู่ด้านหลังตัวเขา จนให้เงาที่เกิดขึ้นจากลำตัวเขาทอดยาวลงไปจนบดบังร่างผอมแห้งของนางเอาไว้อย่างมิดชิด
ภายใต้แสงไฟสลัวนั้น แววตาสดใสบริสุทธิ์ที่เคยเป็นของนางนั้นพร่าเลือนเห็นไม่ชัดเจน
ที่จริงหากต้องพูดถึงมันแล้ว อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าของฉู่สวินหยางนั้นให้ความรู้สึกอ่อนโยนมาก แต่ทว่าบนร่างกายของนางมักจะให้ความรู้สึกแข็งแกร่งออกมาอยู่เนืองๆ มันทำให้คนที่มองต่างรู้สึกว่านางกล้าหาญองอาจ
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน มันช่างราวกับว่าเปลือกที่นางสร้างขึ้นไว้ถูกฉีกออกจนหมดสิ้น
ผู้หญิงคนนี้ทั้งอ่อนแอและอ่อนโยน ใบหน้าอันเป็นมิตร สีหน้าอารมณ์ที่ยากจะคาดเดา หากเอาความเข้มแข็งหยิ่งผยองในวันเวลาปกติทิ้งไป ก็จะเผยให้เห็นนิสัยตัวตนที่แท้จริงของนาง
ด้านนี้ต่างหาก ถึงจะเป็นตัวตนของนางที่แท้จริง!
ถึงแม้เหยียนหลิงจวินจะค่อยๆ คืบคลานเข้าไปอยู่ในหัวใจของนางทีละนิด แต่ดูท่าเขาเองก็คงไม่รู้…
ในช่วงเวลาปกติจะหยิ่งผยองก็ดี หรือจะดุดันโหดเหี้ยมก็ดี สิ่งที่ถูกห่อหุ้มอยู่ภายใต้เปลือกนอกอันเข้มแข็งนั้น…
มันก็คือตัวตนที่แท้จริงของหญิงสาวอายุสิบห้าปีคนนี้นี่เอง
ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายตื่นแล้วหรือยัง อีกฝ่ายสบตามองเขา ฉู่สวินหยางเองก็เรียกเขาเสียงเบาว่า “เสด็จพี่!”
ฉู่ฉีเฟิงเหม่อลอยไปชั่วครู่ จากนั้นก็รีบดึงสติเก็บความนึกคิดอันว้าวุ่นของตัวเองลงไป
“อืม!” เขาขานตอบเสียงเบาเช่นเดียวกัน นั่งหันข้างลงบนขอบเตียง พลางหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้นางดีๆ
“หิวหรือเปล่า? ให้ข้าบอกให้ชิงเถิงไปทำอะไรมาให้เจ้ากินรองท้องแล้วค่อยนอนดีไหม?” ฉู่ฉีเฟิงพูดพลางยิ้มออกมาบางๆ
เดินทางติดต่อกันมาหลายวัน ฉู่สวินหยางตอนนี้เองก็เหนื่อยล้ามาก เหมือนว่าจะมีแค่ช่วงเวลาที่อยู่กับฉู่อี้อันเท่านั้น ถึงทำให้นางผ่อนคลายได้
ในตอนนี้เองนางก็ไม่ได้มีความคิดอื่นใด นางเพียงแต่ต้องการจะหลับพักผ่อนสักงีบเท่านั้น
เดิมทีนางอยากส่ายศีรษะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นรอยคล้ำใต้ตาที่ไม่อาจปิดบังของฉู่ฉีเฟิงนั่นเข้า นางก็รู้สึกผิดขึ้นมา จากนั้นจึงยันตัวให้ลุกขึ้นนั่งแล้วพูดว่า “เสด็จพี่ท่านอยู่เป็นเพื่อนข้านะเจ้าคะ?”
“เอาสิ!” ฉู่ฉีเฟิงยิ้มออกมาจากนั้นค่อยหันไปสั่งชิงเถิง
เมื่อชิงเถิงถอยออกไปแล้ว จู่ๆ บรรยากาศภายในห้องก็เงียบงันลง เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว ที่สองพี่น้องต่างคนต่างไม่พูดอะไรออกมา
ฉู่ฉีเฟิงอารมณ์ไม่ดี แต่เขาปกปิดมันไว้ได้มิดชิด
แต่เนื่องด้วยความรู้สึกของเขามันพิเศษกว่าครั้งอื่น ไม่จำเป็นต้องตามอง ฉู่สวินหยางก็สัมผัสได้อย่างง่ายดาย
“เสด็จพี่ทะเลาะกับเสด็จแม่เพราะเรื่องของข้าอีกแล้วหรือเจ้าคะ?” ฉู่สวินหยางก้มตาแล้วเอ่ยถามอย่างรู้สึกผิด
———————–