ตอนที่ 209 ดูภาพยนตร์

ป้าใหญ่จ้าวมาถึงที่นี่แล้ว ในฐานะของหลานสะใภ้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเชิญอีกฝ่ายให้มารับประทานอาหารด้วยกันสักมื้อ มื้อนี้ก็ต้องทำอย่างดีด้วย ถ้าไม่ให้จ่ายเงินแล้วจะเป็นเรื่องอะไรอีก

พี่สะใภ้สี่จ้าวและพี่สามจ้าวก็คิดเหมือนกัน ทั้งคู่ปวดใจที่ต้องใช้เงิน และที่สำคัญคือไม่มีเงินนี่สิ

การเหมาภาพยนตร์และงิ้วต้องจ่ายเงินมัดจำไปก่อนครึ่งหนึ่ง หลังจากเสร็จเรื่องก็ต้องจ่ายอีกครึ่งหนึ่ง

เป็นเพราะห้าหมู่บ้านเหมาร่วมกัน คนที่จ่ายเงินครึ่งนี้ก่อนคือหมู่บ้านอื่น ๆ ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งหลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วก็ต้องจ่ายอีกครั้ง ทุกคนจึงเริ่มขายพืชผลทางการเกษตรกันแล้ว

ตอนนี้ก็เป็นเวลาขายพืชผลทางการเกษตรพอดี

แต่การขายพืชผลไม่ได้ทำให้การดูภาพยนตร์และการแสดงงิ้วล่าช้า คนที่สามารถไปขายพืชผลได้ก็จะเป็นพวกคนหนุ่มสาวที่สามารถแบกของและเคลื่อนย้ายของได้ พวกเขาต่างไม่อยากดูงิ้วที่ส่งเสียงร้องแหลมเสียดหู ไม่ได้น่าสนใจอะไรเลย

การแสดงงิ้วเป็นสิ่งที่พวกคนสูงวัยชอบดู ส่วนพวกคนหนุ่มสาวชอบดูภาพยนตร์ ตอนเช้าเป็นการแสดงงิ้วพอดี เหล่าคนสูงวัยที่ไม่ต้องขายของจึงสามารถอยู่บ้านเพื่อดูการแสดงงิ้วได้ เมื่อถึงตอนค่ำที่มีการฉายภาพยนตร์ พวกคนหนุ่มสาวก็ยังมีเวลาได้กลับมาดู

ช่วงนี้ท้องฟ้ามืดเร็ว ภาพยนตร์สองเรื่องถูกฉายรวมกันเป็นเวลาสี่ชั่วโมงกว่า หลังจากดูภาพยนตร์จบก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว กลับไปก็ถึงเวลานอนพอดี ไม่ได้ทำให้การใช้ชีวิตในวันรุ่งขึ้นล่าช้าแม้แต่น้อย

ระหว่างช่วงที่มีการฉายภาพยนตร์นี้ ยังไม่ทันได้รับประทานอาหารเย็น พวกเด็ก ๆ ก็ถือก้อนอิฐหรือเก้าอี้ตัวเล็กไปจองที่นั่งแล้ว

สถานที่ฉายภาพยนตร์คือประตูใหญ่ทางทิศตะวันออก และเป็นด้านหน้าประตูโรงสีของหมู่บ้านด้วย

เป็นเพราะที่นี่คือโรงสี จึงทำให้บริเวณข้าง ๆ มีพื้นที่โล่งแจ้งขนาดใหญ่ ทั้งยังถูกกดจนกลายเป็นพื้นที่ราบ โดยปกติที่นี่จะเป็นสถานที่ไว้วิ่งเล่นของพวกเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน เป็นสถานที่นั่งตากแดดคุยโวโอ้อวดของผู้ใหญ่ และเหมาะสมกับการฉายภาพยนตร์ด้วย

ตอนนี้ม่านตรงกลางถูกดึงออกแล้ว มีก้อนหินสี่ห้าก้อนกดทับเชือกไว้ กล่องไม้สามสี่กล่องถูกวางอยู่ข้าง ๆ ข้างในมีม้วนฟิล์มและเครื่องฉายโปรเจกเตอร์ ซึ่งถูกล็อคไว้ทั้งหมด

พวกเด็ก ๆ กระโดดหยองแหยงไปมาบนกล่อง ในมือยังถือไม้แสดงท่าทางตื่นเต้นที่จะได้รับชมภาพยนตร์

ตอนนี้พวกเด็กที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ โรงสีต่างก็รู้สึกเหนือกว่าคนอื่น ตรงที่หลังนั่งรับประทานอาหารที่บ้านของตัวเองก็สามารถดูภาพยนตร์ที่หน้าประตูบ้านได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเด็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเหล่านั้นน่าอิจฉาขนาดไหน

สิ่งที่ทำให้คนอิจฉายิ่งกว่าก็คือ การที่คนฉายภาพยนตร์ไปรับประทานอาหารที่บ้านใครสักบ้าน

พวกเด็กหนุ่มแทบจะเดินรอบหมู่บ้านแล้ว ทั้งยังเข้าไปพูดคุยกับคนฉายภาพยนตร์ด้วย คำถามเป็นต้นว่าจะฉายภาพยนตร์เรื่องอะไร จากนั้นก็พูดถึงภาพยนตร์ที่ตนเองชอบดู หวังว่าอีกฝ่ายจะเปิดภาพยนตร์ที่ตัวเองชอบให้ดูเยอะ ๆ

แต่ภาพยนตร์ที่แทบทุกคนชอบดูก็คือภาพยนต์สงครามใช้ปืนและศิลปะการต่อสู้อะไรพวกนั้น ไม่ได้ชอบดูภาพยนตร์รักโรแมนติกเลย ซึ่งตอนนี้ภาพยนตร์ส่วนมากก็จะเป็นแนวสงครามใช้ปืน ส่วนภาพยนตร์แนวต่อสู้กำลังภายในยังมีน้อย

ครั้นคนเหล่านั้นได้รับคำตอบที่น่าพอใจ พวกเขาก็กลับไปรับประทานอาหารที่บ้านด้วยความพึงพอใจ

พวกคนสูงอายุชอบดูการแสดงงิ้ว เมื่อนึกได้ว่าตอนเช้าจะได้ฟังงิ้วก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้ว

นี่คือสิ่งที่คนฉายภาพยนตร์ทุกคนต้องเผชิญ ซึ่งพวกเขาต่างคุ้นชินไปแล้ว หลังจากรับประทานอาหารเสร็จท่ามกลางเด็กและผู้ใหญ่ พวกเขาก็เดินมาปลดล็อคกล่องไม้ขนาดใหญ่ด้วยกุญแจ

จากนั้นจึงหยิบเครื่องฉายโปรเจกเตอร์และม้วนฟิล์มออกมาจากกล่อง พวกเด็ก ๆ ตบก้นน้อย ๆ ของตนเองพร้อมกับเงยหน้าส่งเสียงร้อง “ฉายหนังแล้ว! ฉายหนังแล้ว!”

พวกผู้ใหญ่ภายในหมู่บ้านก็รีบคว้าอาหาร จากนั้นก็วิ่งมาทางนี้ ถ้วยและตะเกียบที่ใช้รับประทานอาหารก็ไม่หยิบมาแล้ว ใส่เสื้อผ้าเสร็จก็วิ่งออกมาเลย

เหล่าคนที่เตรียมตัวพร้อมต่างคว้าถุงเมล็ดแตงคั่วมาด้วย ขณะวิ่งจ้ำอ้าวมาทางนี้ก็พูดกับคนที่กำลังเร่งรีบ “รีบอะไรเนี่ย ไอ้พวกเด็กบ้าพวกนั้นก็โหวกเหวกโวยวายไปงั้นแหละ!”

ทุกคนเห็นด้วยแบบขอไปที แต่ฝีเท้าของพวกเขากลับไม่ได้แผ่วลงเลย

แต่จะโทษว่าพวกเขารีบร้อนไม่ได้ ภายในระยะเวลาสั้น ๆ นี้ รอบฉายภาพยนตร์นี้ก็มีผู้คนเข้ามานั่งเบียดเสียดแน่นขนัดไปหมด ไม่มีที่ให้สำหรับพวกเขาแล้ว!

ท้องฟ้ามืดแล้ว คนฉายภาพยนตร์ก็เตรียมม้วนฟิล์มเรียบร้อย เมื่อแสงสาดลงบนหน้าจอขนาดใหญ่ เสียงก็ดังขึ้น ครั้งนี้ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็ตะโกนเสียงดัง “เริ่มแล้ว เริ่มแล้ว!”

ทุกคนทั้งนั่งและยืนมองกันอย่างตั้งอกตั้งใจ

ในตอนนี้เองได้มีคนจากหมู่บ้านข้าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย นอกจากนี้ยังมีรถลาลากที่กำลังรีบบึ่งมา โดยด้านบนรถมีพวกผู้หญิงนั่งอยู่

พวกหล่อนสวมเสื้อนวมตัวใหญ่ ไม่ได้ลงจากรถแต่นั่งดูจากด้านบนรถ

พวกผู้ชายที่วิ่งตามรถมาก็หาที่นั่งได้แล้ว หลังจากจอดรถแล้วก็นำกระสอบหญ้าแห้งมาวางตรงหน้าลาและบอกให้มันกิน ส่วนตนเองก็รีบกระชับเสื้อห่อลำตัวไว้และเข้าไปหาคนคุ้นเคยในกลุ่ม

ทุกคนต่างรู้ดีว่าการดูภาพยนตร์ก็เป็นเหมือนเวทีพบปะสมาคมซึ่งกันและกัน

พวกคนหนุ่มสาวที่หาที่นั่งไม่เจอก็ขึ้นไปนั่งบนหลังคาโรงสี และนั่งดูจากมุมมองอันกว้างขวางตรงนั้น แต่ก็รู้สึกได้ว่าหนาวไปหน่อย

ถึงอย่างนั้นการดูภาพยนตร์ก็ทำให้ลืมความหนาวได้

นอกจากขึ้นไปบนหลังคาก็ยังมีขึ้นไปบนกำแพง บนต้นไม้ด้วย ถึงอย่างไรทุกคนก็มีความสามารถเป็นของตนเอง เพื่อหาตำแหน่งที่ตนเองคิดว่าดี

จ้าวเหวินเทาเรียกเจ้าพวกต้านให้มาจองที่ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ห่างจากด้านหน้าที่ฉายภาพยนตร์ไม่ไกลนั้นมีเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ วางอยู่

เย่ฉูฉู่ย่อมไม่พลาดโอกาสครึกครื้นแบบนี้เช่นกัน เธออุ้มเสี่ยวไป๋หยางนั่งดูอยู่ทางฝั่งนั้น

ส่วนลิงน้อยนั้นอยู่ในบ้าน ไม่ได้มาที่นี่ การมีคนมากเกินไปทำให้มันรู้สึกหวาดกลัว

คนที่มานั่งเป็นเพื่อนเย่ฉูฉู่คือคุณแม่จ้าวและป้าใหญ่จ้าว นอกจากนี้ยังมีพี่สะใภ้ทั้งสามคน เป็นผู้หญิงทั้งหมด

จ้าวเหวินเทาและพวกพี่ชายยืนกอดอกดูอยู่ข้าง ๆ ส่วนคุณพ่อจ้าวไปนั่งรวมกลุ่มกับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ แล้ว

ส่วนเจ้าพวกต้านไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเขาชอบดูภาพยนตร์ แต่สิ่งที่ชอบมากกว่าคือทำอะไรบางอย่างภายในสถานที่รวมตัวเช่นนี้

เดี๋ยวก็วิ่ง เดี๋ยวก็กลับมา เดี๋ยวก็ไปทะเลาะกับเด็กคนอื่น ส่งเสียงร้องดังเจี๊ยวจ๊าว โลกของเด็กผู้ชายช่างยากที่จะเข้าใจจริงๆ

ส่วนเจ้าพวกหยานั้นอยู่อย่างสงบจิตสงบใจ พวกเธอยืนอยู่ด้านหน้าแม่ของตนเอง ไม่ได้วิ่งเพ่นพ่านแต่ยืนดูอย่างจริงจัง

เสียงเพลงดังกระหึ่ม พร้อมกับตัวอักษรขนาดใหญ่สองสามตัวปรากฏตัวขึ้นบนหน้าจอ -地雷战 (สงครามทุ่นระเบิด)(1)!

“หนังรบกัน! นี่มันหนังรบกัน!”

ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นกันมาก

“ลูกชาย รีบดูสิ หนังรบกันเลยนะ!” จ้าวเหวินเทารีบพูดกับลูกชาย

พี่สามจ้าวกล่าว “เขายังเล็กขนาดนั้นจะไปเข้าใจอะไร”

“ลูกชายของฉันต่อให้เด็กกว่านี้ก็เข้าใจ! จริงไหม เจ้าลูกชาย!” จ้าวเหวินเทาหยอกล้อเสี่ยวไป๋หยางต่อ

เย่ฉูฉู่ยกเสี่ยวไป๋หยางให้สูงขึ้นเพื่อให้เขาได้ดู

ตอนแรกเริ่มเสี่ยวไป๋หยางได้เบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ แต่เมื่อดูไปดูมาก็เริ่มหาวและผล็อยหลับไป

คุณแม่จ้าวยิ้ม “เด็กคนนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเลยจริง ๆ คนเยอะขนาดนี้ วุ่นวายขนาดนี้ ยังไม่รบกวนเวลานอนของเขาเลย”

“เด็กเลี้ยงง่ายนี่แหละดี เราก็ไม่ต้องเป็นห่วงด้วย” ป้าใหญ่จ้าวกล่าว

“เหมือนกับพ่อของเขาเลยค่ะ” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตรงที่ไม่คิดอะไรมาก”

“ภรรยา ไม่เห็นต้องรังเกียจกันแบบนี้เลย” จ้าวเหวินเทายิ้มตาหยี

“ไม่ได้รังเกียจค่ะ นี่กำลังชม หลังจากนี้ก็คงเหมือนคุณที่ทำเรื่องใหญ่โตไง” เย่ฉูฉู่ยิ้มให้เขา

ที่ทุกคนได้ดูภาพยนตร์และฟังการแสดงงิ้วก็เป็นสิ่งที่จ้าวเหวินเทาทำขึ้นมา

จ้าวเหวินเทาคลี่ยิ้ม ดูภรรยาคนนี้พูดเข้าสิ หวานไปถึงกลางใจเลย

ป้าใหญ่จ้าวเองก็ชมว่าหลังจากนี้เสี่ยวไป๋หยางจะเหมือนพ่อของเขา ต้องมีอนาคตแน่นอน

พี่สะใภ้สี่จ้าวเห็นแล้วก็แอบอิจฉา หล่อนเองก็อุ้มลูกมาด้วยเหมือนกัน อู่หยานั้นยังไม่หลับ แต่ก็ไม่ได้ดูภาพยนตร์ เธอมองคนที่อยู่รอบ ๆ ด้วยความสงสัย แต่กลับไม่ได้รับความสนใจเหมือนกับเสี่ยวไป๋หยาง

สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครสนใจเด็กผู้หญิงอยู่ดี!

คืนนี้ฉายภาพยนตร์ไปทั้งหมดสองเรื่อง เป็นเรื่องเกี่ยวกับสงครามปืนทั้งหมด ทุกคนต่างก็ติดกันงอมแงม หลังจากแยกย้ายแล้ว ก็ยังเดินไปพลางพูดคุยไปพลาง

“การรบกันด้วยปืนดีจริง ๆ เลยนะ!”

“ทุ่นระเบิดก็สุดยอดมาก โยนแค่ลูกเดียวตายเป็นเบือเลย!”

“ถ้าฉันเกิดในยุคนั้น ฉันก็จะเข้าร่วมสงครามเหมือนกัน!”

นี่เป็นคำพูดของพวกคนหนุ่ม ส่วนพวกคนแก่ ๆ ก็แค่นเสียงจากลำคอ “พวกเด็กไม่รู้จักฟ้าสูงดินต่ำพวกนี้ คิดจะเข้าร่วมสงครามมันเป็นเรื่องดีตรงไหนกัน!”

คนแก่เหล่านี้แม้จะไม่เคยร่วมสงครามมาก่อน แต่ก็เคยผ่านยุคนั้นมา นั่นไม่ใช่ความทรงจำที่ดีอะไรเลย ไม่อย่างนั้นจะมีภาษิตหนึ่งกล่าวไว้เหรอ ที่ว่า เป็นสุนัขในยามสงบดีกว่าเป็นมนุษย์ในยามโกลาหล น่ะ?

เห็นไหมว่าสงครามเหี้ยมโหดขนาดไหน

ขณะที่พวกคนสูงวัยทนดูไม่ได้ พวกคนหนุ่มก็เพิกเฉยไม่ได้คิดอะไร ต่างคนต่างพูดคุยกันเอง มีใครบ้างที่ไม่เลือดร้อน?

………………………………………………………………………………………………………………………

– ภาพยนตร์แนวดราม่า/แนวสงครามต่อต้านญี่ปุ่น เริ่มฉายเมื่อปี 1962 เนื้อเรื่องกล่าวเกี่ยวกับชาวบ้านในหมู่บ้านหนึ่งของจีนใช้กลยุทธฝังทุ่นระเบิดไว้ใต้ดินเพื่อต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น

สารจากผู้แปล

พวกคนหนุ่มที่ยังไม่ผ่านความลำบากมาก็เห็นว่าหนังสงครามเป็นเรื่องตื่นเต้นไป ขณะที่คนแก่ๆ ผ่านอะไรแบบนั้นมาแล้วย่อมไม่ชอบ สงครามโหดร้ายเสมอค่ะ ไม่อาจหาจุดดีอะไรในสงครามได้เลย พวกที่เห็นข้อดีของมันก็คือบรรดาคนสั่งการเบื้องหลังที่ไม่ได้มารบเองทั้งนั้น

ตอนนี้เห็นแนวคิดชาตินิยมของคนจีนสมัยนั้นชัดมาก แต่จะว่าอะไรได้ ในเมื่อรบ.ควบคุมสื่อแบบเบ็ดเสร็จขนาดนั้น คนในชาติก็ต้องดูในสิ่งที่ผู้นำอยากให้ดูน่ะค่ะ

ไหหม่า(海馬)