ตอนที่ 493-3 หนทางข้างหน้ามีเพียงตนทราบ

พันธกานต์ปราณอัคคี

นางจำผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังใบหน้าเหมือนตุ๊กตาท่านนั้นได้ดี ปกติแล้วเขาจะอยู่ไม่ห่างกายคนตรงหน้านี้

 

 

พวกเขาคือผู้นำทางของนางในคราแรกที่นางมาที่เขาเซียน

 

 

เงียบอยู่ชั่วครู่ ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ถึงได้กล่าวออกมาเสียงเบา “เขาดับสูญไปแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกหัวใจหนักอึ้ง

 

 

ทั้งๆ ที่คนผู้นั้นคลุกคลีกันน้อยมาก แต่ทุกครั้งที่พบกลับมีแต่ความประทับใจยากจะลืม นางคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเพราะการเดิมพันหนึ่งครั้งนั้นเขาถึงมอบผึ้งวิญญาณเลือดมรกตให้แก่นาง ผู้บำเพ็ญเพียรใบหน้าตุ๊กตาที่ยิ้ม ตลอดเวลาและปากไม่ตรงกับใจผู้นั้น ดับสูญไปเสียง่ายๆ เช่นนี้หรือ

 

 

นางสูดหายใจหนึ่งครา ขยับมือเล็กน้อย บนปลายนิ้วก็ปรากฏผึ้งวิญญาณเลือดมรกตหลายตัวบินว่อน เกิดเสียงดังหึ่ง

 

 

“หัวหน้าโถงอู๋ ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตที่ศิษย์หลานหวังให้ข้าเมื่อปีนั้น ล้วนเติบโตมาอย่างดี ตอนนี้ข้ามีมากแล้ว ไม่กี่ตัวเหล่านี้ เจ้าจะยอมรับไว้ดูแลหรือไม่”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋มองไปยังปลายนิ้วของมั่วชิงเฉิน เขาเม้มปากไม่เอ่ยสิ่งใดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ย “ในเมื่ออาจารย์อาชิงเฉิงเลี้ยงผึ้งวิญญาณเลือดมรกตได้ดี เช่นนั้นท่านก็เลี้ยงดูมันต่อไปเถิด”

 

 

เขาเอ่ยด้วยท่าทีสงบไม่แยแส มั่วชิงเฉินเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ในทันที

 

 

คนผู้นั้นไม่อยู่แล้ว ของภายนอกเช่นนี้จักแทนสิ่งใดได้กัน ถ้าอยากจะจดจำเอาไว้ เพียงเก็บเอาไว้ในใจก็พอแล้ว

 

 

“หัวหน้าโถงอู๋ ศิษย์หลานซุน ข้าขอตัว” หลังหลุดจากห้วงแห่งความเศร้าแล้ว มั่วชิงเฉินก็พยักหน้าให้ทั้งสองคน จากนั้นเร่งไหมเกล็ดน้ำแข็งไปยังเขาลั่วเถา

 

 

“เทียนหยวน ท่านมาเมื่อไหร่หรือ” ทันทีที่ร่อนลงก็เห็นร่างคุ้นตา

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเดินเข้ามาใกล้ เขายกมือขึ้นปัดปอยผมที่ปรกหน้าผากไปทัดไว้หลังใบหู พลางเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “เพิ่งมาได้ไม่นาน ข้า ข้าเพียงอยากจะมาหาเจ้า”

 

 

เขามิต้องอธิบายก็พอจะเข้าใจ ที่ทั้งสองคนกลับมาพร้อมกันเช่นนี้ก็เพราะพิธีบำเพ็ญเพียรคู่กำลังจะมาถึง สายตานับหมื่นนับพันจากพรรคเหยากวงต่างจับจ้องมาที่พวกเขา ถ้าหากว่าเขาทำตามใจตัวเองอยู่ที่เขาลั่วเถาแห่งนี้ไม่ไปไหน เกรงว่าไฟนินทาของลูกศิษย์เหล่านั้นจะทำให้มั่วชิงเฉินตกใจจนหนีไป

 

 

เขาไม่สนใจหากจะตกเป็นหัวข้อสนทนาของผู้อื่น แต่แค่คิดว่าชิงเฉินจะต้องตกเป็นเหยื่อให้ลูกศิษย์เหล่านั้นพูดถึงเขาก็รู้สึกอยากจะไปตีคนแล้ว

 

 

โชคไม่ดีที่กฎของสำนักเหยากวงค่อนข้างหละหลวม คำนินทาน่าเบื่อหน่ายของลูกศิษย์พวกนั้นก็มีชื่อ หากเขาทำหน้าเย็นชาใส่ก็มิมีใครกลัว เดิมพันเมื่อปีนั้นก็มีลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยเดิมพันว่ามั่วชิงเฉินจะไม่ได้แต่งงาน เขาเดินไปที่ไหนถึงจะใช้ฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็ได้รับสายตาคร่ำครวญอยู่ไม่น้อย

 

 

ว่ากันว่าลูกศิษย์บางส่วนวางแผนจะนำผู้ที่เสียชุดตัวในไปให้มานั่งสมาธิที่เขาลั่วเถา เพื่อขอให้ชิงเฉิงตัวจริงมอบหินวิญญาณหรือโอสถวิญญาณเพื่อปลอบจิตวิญญาณที่บาดเจ็บของพวกเขา

 

 

คิดมาถึงตรงนี้เยี่ยเทียนหยวนก็มีสีหน้าดำคล้ำ ถ้าหากว่าเจ้าเด็กพวกนั้นกล้ามาและเขาทนไม่ตีคนไม่ได้ เช่นนั้นคงไม่เสียชื่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดใช่หรือไม่

 

 

มั่วชิงเฉินได้ยินเยี่ยนเทียนหยวนพูดเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา นอกพูดเสียงต่ำ “คนเขลา”

 

 

คิ้วขมวดของเยี่ยเทียนหยวนเลิกขึ้น เขากุมมือของมั่วชิงเฉินเอาไว้พลางเอ่ย “ชิงเฉิน เมื่อครู่หลิวซางเจินจวินเรียกรวมตัวเจินจวิน เพื่อปรึกษากันเรื่องพิธีบำเพ็ญเพียรคู่ของเรา ศิษย์พี่เหอกวงเองก็ไป”

 

 

“เอ๋ เช่นนั้นพวกท่านเจินจวินว่าอย่างไรบ้าง” มั่วชิงเฉินถามอย่างสงบ

 

 

“เพราะว่าข้าอยู่ระดับก่อกำเนิด เช่นนั้นพวกเขาจึงคิดว่าจะรวมพิธีการของระดับก่อแก่นปราณและระดับก่อกำเนิดเข้าด้วยกัน เพราะเหตุนี้จึงต้องเชิญแขกจำนวนมาก ส่วนวันที่นั้นคือสามเดือนหลังจากนี้” เยี่ยเทียนหยวนกล่าว

 

 

สามเดือนหลังจากนี้หรือ

 

 

มั่วชิงเฉินพูดในใจว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี นางจะถือโอกาสนี้ไปสำนักลั่วสยาสักครา ไปพบมั่วเฟยเยียน ถึงแม้พิธีการครั้งนี้จะต้องเชิญมั่วเฟยเยียนมาล่วงหน้าก็ตาม แต่นางก็ยังอยากจะไปสักคราเพื่อดูว่ามั่วเฟยเยียนมีเบาะแสอันใดเกี่ยวกับตระกูลมั่ว ฮวาเชียนซู่ผู้นั่นเป็นเช่นไรแล้ว นี่ก็ได้เวลาจัดการกับพวกเขาแล้ว แล้วยังมีมั่วหร่านอีที่ไม่ทราบว่าตอนนี้เป็นเช่นไร

 

 

“ศิษย์น้อง ถ้าหากว่าเจ้ามิอยากแต่งงาน เช่นนั้นข้าจะไปเรียนท่านหลิวซางเจินจวิน อย่าได้ฝืนตัว” ฉับพลันเยี่ยเทียนหยวนก็กุมมือมั่วชิงเฉินแน่น

 

 

มั่วชิงเฉินมองเขาและเลิกคิ้วขึ้น “เทียนหยวน ถ้าหากไม่แต่งแล้วท่านมีแผนอันใดหรือ”

 

 

มือของเยี่ยเทียนหยวนสั่น สายตาที่มองมั่วชิงเฉินแน่วแน่กว่าทุกครา “ข้ามิได้มีแผนอันใด แต่ข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะอยากแต่ง”

 

 

“ท่านนี่ช่างโง่เขลานัก หากมิแต่งงานแล้วท่านจะทำเช่นไร หรือว่าจะเลือกใหม่ ถึงตอนนั้นลูกศิษย์พรรคเหยากวงก็คงจะวางเดิมพันกันอีกรอบ เกรงว่าพวกเขาจะเดิมพันข้างข้ามากเป็นประวัติการ” มั่วชิงเฉินเม้มปากแล้วยิ้มพลางยื่นมือมาหยิกเอวเยี่ยเทียนหยวนสักนิด

 

 

เยี่ยเทียนหยวนตัวแข็งทื่อ สายตาที่มองมั่วชิงเฉินร้อนแรงขึ้นมา

 

 

นานแล้วที่พวกเขาไม่ได้…

 

 

มั่วชิงเฉินถลึงตามองพลางเอ่ย “เอาล่ะ ท่านรีบกลับไปเถิด ข้า…ข้าก็เหนื่อยแล้ว”

 

 

สายตาของเยี่ยเทียนหยวนกลับไปเยือกเย็นดังเดิม เขาตอบรับเสียงเบาตามด้วยเอ่ย “ชิงเฉิน เจ้าไม่ได้พบกับศิษย์พี่เหอกวงมานานแล้ว เจ้าคงมีเรื่องมากมายอยากจะพูดกับเขา พรุ่งนี้เย็นข้าจะไปคารวะเขา เจ้าบอกเขาให้ข้าที” พูดจบก็ลูบแก้มมั่วชิงเฉินเบาๆ จากนั้นก็หันหลังและเหาะออกไป

 

 

มั่วชิงเฉินมองร่างของเยี่ยเทียนหยวนที่เหาะสูงขึ้นเรื่อยๆ ท้องฟ้าที่มืดมิดค่อยๆ ถูกแต้มด้วยแสงดาว ถึงได้หันหลังเดินเข้าไป

 

 

หลังจากกู้หลีกลายเป็นผู้คุมเขาชิงมู่ ก็มิได้ย้ายออกจากเขาป่าไผ่ จะไปที่ตำหนักผู้คุมเขาเพื่อจัดการงานแค่นั้น

 

 

วันต่อมามั่วชิงเฉินร่อนลงยังเขาป่าไผ่จากนั้นก็ร่ายเคล็ดวิญญาณ

 

 

ตรอกป่าไผ่ค่อยๆ แยกออกจากกัน มั่วชิงเฉินก้าวเดินไปข้างในตามเส้นทางที่คุ้นเคยเส้นนี้

 

 

ทิวทัศน์ที่เห็นยังคงคุ้นตา ดอกไม้ใหญ่ทอดลงบนผืนหญ้า อาบแดดอย่างเกียจคร้าน เสี่ยวอวี้เดินเตร่อย่างอ้อยอิ่ง กู้หลีสวมเสื้อคลุมสีเทาไว้อย่างลวกๆ เขาเอนตัวเก็บหญ้าวิญญาณในสวนสมุนไพร แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องแผ่นหลังของเขา ดูอบอุ่นและห่างเหิน

 

 

ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเขาก็ยืดตัวตรง มองไปทางมั่วชิงเฉินและยิ้มจางๆ “เจ้ามาแล้วหรือชิงเฉิน เข้ามานั่งเถิด ท่านอาจารย์มีเรื่องจะกล่าวกับเจ้า”