เหตุที่หลี่มู่เคยศึกษาเรื่องวิชาปาจิ่วเสวียนและวิชาดาราพิฆาตแปลงกายเจ็ดสิบสองร่าง เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ซีรีส์เรื่องห้องสินกับไซอิ๋วฉบับทำใหม่ได้รับความนิยมพร้อมกัน ซินแสเฒ่าเหลือบดูไปนิดหน่อยก็คุยโม้ขึ้นว่า ในหนังและซีรีส์ถ่ายกันมั่วซั่วทั้งสิ้น ไม่ได้สอดคล้องกับความเป็นจริงเลย ตอนนั้นหลี่มู่ถึงกับดูแคลนซินแสเฒ่าขี้โม้ผู้นี้ ก็แค่เรื่องเล่าตำนานยังจะมาพูดเรื่องความจริงอะไรอีก แต่ยามนี้เมื่อเห็นแล้ว…เอ่อ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยจริงๆ
มีเขาหลิงไถฟ่างชุน มีถ้ำสามดาวเดือนเสี้ยวอยู่จริง และยังมีวิชาขี่เมฆเหินฟ้า พระอาจารย์โพธิก็จริงไปแล้วเก้าสิบเก้าส่วน มีวิชาปาจิ่วเสวียน…หรือว่าซินแสเฒ่าจะไม่ได้โม้เรื่องนี้ แต่เข้าใจบางส่วนจริงๆ?
หลังกลับไปที่ดาวโลก จะต้องไปคุกเข่าถ่อมตัวขอคำชี้แนะจากซินแสเฒ่าเสียหน่อยแล้ว
หลี่มู่คิดในใจ หยิบม้วนบันทึกหินหยกวิชาปาจิ่วเสวียนมากางออกอย่างทนไม่ไหว อ่านคร่าวๆ ไปรอบหนึ่ง ความรู้สึกไม่รู้เรื่องอะไรเลยผุดขึ้นมาในใจ ด้านในเกี่ยวเนื่องไปถึงชื่อวิชาเต๋ามากมาย รวมไปถึงแก่นแท้แห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ มีบางส่วนหลี่มู่ไม่เข้าใจ แต่ยังรู้สึกว่าสุดยอดมาก ไม่เหมือนของปลอมจากพวกต้มตุ๋น
ความจริงแล้ว การบรรยายวิชาปาจิ่วเสวียนในนิยายห้องสิน เมื่อเทียบกับไซอิ๋วแล้วยังมีมากกว่า หลักๆ เป็นเพราะตัวละครหลักของไซอิ๋วคือซุนหงอคง ส่วนเทพเอ้อหลางหยางเจี่ยนที่ฝึกวิชาปาจิ่วเสวียนเป็นเพียงแค่ตัวประกอบ แต่ในนิยายห้องสินหยางเจี่ยนเป็นถึงขุนศึกอันดับหนึ่ง เจียงจื่อหยา[1]ประเมินหยางเจี่ยนไว้ว่า ‘คุณงามความดีนิรันดร ปัญญาหาญกล้าเป็นที่หนึ่ง’ ในศึกโจวอู่หวางปราบทรราช หยางเจี่ยนใช้วิชาปาจิ่วเสวียนกำราบศัตรูไปไม่รู้เท่าไหร่ โดดเด่นเจิดจ้า สามารถสาดถั่วเปลี่ยนเป็นทหาร กายเนื้อต้านทานกระสุนหิน…ในนั้นวิชาปาจิ่วเสวียนเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน หยางเจี่ยนจึงแทบไม่พ่ายแพ้ด้วยเหตุนี้ มีเพียงครั้งเดียวที่ถูกสามเทพธิดา[2]ใช้ถังทองแห่งความวุ่นวายจับเอาไว้ในค่ายกลทางช้างเผือก วิธีการของสามเทพธิดาร้ายกาจมาก กระทั่งสิบสองเจินเหริน[3]อย่างเช่นเหวินซู ผู่เสียน หรือฉือหังล้วนถูกจับ หยางเจี่ยนจะโดนก็ไม่แปลก
หลี่มู่ดูแล้ว วิชาปาจิ่วเสวียนฝึกฝนทั้งกายเนื้อ การแปลงร่าง รวมไปถึงวิชาภาพมายาควบกัน อยู่เหนือกว่าวิชาดาราพิฆาตแปลงกายเจ็ดสิบสองร่างมาก
ในนิยายห้องสิน วิชาปาจิ่วเสวียนเป็นวิชาเทพพิทักษ์นิกายฉ่าน น่าเสียดายที่ต่อมาลูกศิษย์นิกายฉ่านทรยศไปเข้าร่วมกับนิกายฝั่งตะวันตก ทำให้วิชานี้ถูกเผยแพร่ไปยังนิกายฝั่งตะวันตกตามไปด้วย และต่อมานิกายฝั่งตะวันตกนั้นก็กลายมาเป็นศาสนาพุทธ
หลี่มู่ไม่คิดเลยว่าบนโลกนี้จะมีวิชาเช่นนี้อยู่ หนำซ้ำตนเองยังได้รับมาแล้วด้วย
นี่เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงเลย
เขาลองเก็บม้วนบันทึกหยกปาจิ่วเสวียน จึงพบอย่างน่าตกใจว่าไม่สามารถเก็บเข้าไปได้
“เอ๋? หรือว่าตัวม้วนบันทึกหยกเองก็เป็นสมบัติล้ำค่าด้วย?”
หลี่มู่มองม้วนหยกที่ส่องแสงเรืองอยู่ ก่อนลงมือกรีดเลือดที่ปลายนิ้วหยดลงไปด้านบนเหมือนโชคมาปัญญาเกิด จากนั้นแสงสมบัติกลางฝ่ามือสว่างวาบ ม้วนหยกสลายหาย เปลี่ยนไปปรากฏอยู่ที่จุดหนีหวานกงในหัวของหลี่มู่ ลอยอยู่ด้านในทะเลจิต เปล่งแสงหยกกว่าหมื่นเส้นออกมา มีเสียงสวดเต๋าแว่วแผ่วเบา ราวกับมีพลังที่ยิ่งใหญ่กำลังบรรยายความลึกซึ้งแห่งมรรคาสสายหลักอยู่ในหนีหวานกงก็มิปาน มหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
รับรู้อย่างตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่มีเรื่องมหัศจรรย์อะไรเกิดขึ้น หลี่มู่จึงค่อยๆ วางใจลง
แต่นี่หมายความว่าม้วนบันทึกหยกวิชาปาจิ่วเสวียนยอมรับแล้วหรือ?
หลี่มู่ไม่ค่อยแน่ใจนัก
สายตาของเขาตกอยู่ที่ม้วนหยกอีกม้วนในมืออีกข้างของรูปปั้นตรงหน้า
คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ
ถึงแม้ ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ ชื่อนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ไม่ต้องสงสัยเลย สามารถมาอยู่ในมือซ้ายขวาของรูปปั้นที่เหมือนจะเป็นพระอาจารย์โพธิเช่นนี้ได้ อย่างน้อยก็บอกชัดถึงคุณค่าของ ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ ได้ว่าไม่ต่ำกว่าปาจิ่วเสวียนวิชาเทพพิทักษ์นิกายฉ่านเลย
หลี่มู่ยิ้มจนปากแทบจะฉีกถึงปลายหูแล้ว
เขาหยิบ ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ มาดู ดีใจจนแทบจะกระโดดขึ้นมา
นี่เป็นคัมภีร์เต๋าที่ฝึกฝนหัวใจตับม้ามปอดไตอวัยวะภายในทั้งห้า
ห้าจักรพรรดิของ ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ เล่มนี้ ไม่ใช่ห้าจักรพรรดิจากสามราชาห้าจักรพรรดิของจีนโบราณ แต่คือจักรพรรดิแดงแดนใต้ จักรพรรดิเขียวแดนตะวันออก จักรพรรดิเหลืองแดนกลาง จักรพรรดิขาวแดนตะวันตก จักรพรรดิดำแดนเหนือ แบ่งเป็นความสอดคล้องกับพลังธาตุไฟ ไม้ ดิน ทอง น้ำทั้งห้าธาตุ เหมือนกับดาววิถียุทธ์ดวงนี้ที่ให้ความสำคัญกับการรวมพลังห้าธาตุให้เป็นหนึ่ง และยังเข้าคู่กับหัวใจตับม้ามปอดไตอวัยวะภายในทั้งห้าในร่างมนุษย์ด้วย
ฝึกบรรลุอวัยวะภายในทั้งห้า สามารถสำเร็จวิชาอมตะ
‘ปาจิ่วเสวียน’ ฝึกฝนร่างกาย ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ ฝึกฝนอวัยวะภายใน
คัมภีร์ทั้งสองเมื่อรวมกัน ก็ฝึกฝนทั้งนอกและใน
ลักษณะคล้ายกับ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ กับ ‘หมัดยุทธ์แท้’ อยู่บ้าง
หลี่มู่อ่านจบแล้ว จากนั้นจึงใช้วิธีการเดิม หยดเลือดลงไปบนม้วนบันทึกหยก ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ แสงสมบัติส่องสว่าง คัมภีร์หายจากฝ่ามือไปปรากฏในทะเลจิตตรงจุดหนีหวานกงของหลี่มู่ แล้วเปล่งแสงนับหมื่นเส้น แวววาวโชติช่วงเหมือนกับดวงตะวันก็มิปาน เสียงแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่แว่วมา ประหนึ่งผู้ยิ่งใหญ่กำลังเทศนาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้จิตใจสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
หากรวมพลังจิตวิญญาณจะพลิกม้วนหยกเปิดอ่านได้
เมื่อม้วนหยกเปิดออกด้านในทะเลจิต ก็เหมือนกับม้วนภาพวาดปิดแผ่นฟ้า ตัวอักษรจ้วนโบราณด้านบนเรืองแสงออกมา ชัดเจนหาใดเปรียบ
หลี่มู่ดึงพลังจิตวิญญาณออกจากทะเลจิต สำรวจทั้งห้องหินอีกครั้ง
นอกจากเพดานที่เลี่ยมฝังไข่มุกราตรีไล่ฝุ่นสามเม็ดแล้ว ก็ไม่มีของล้ำค่าอะไรอีก
สายตาของหลี่มู่กลับไปอยู่ที่รูปปั้นหยกขาวที่คล้ายพระอาจารย์โพธิอีกครั้ง
รูปปั้นนี้ค่อนข้างประหลาด เมื่อครู่โขกศีรษะกับพื้นไม่กี่ทีก็หยิบวิชาสะเทือนฟ้าสะท้านดินทั้งสองนี้ออกมาได้ ถ้าหากโขกมากกว่านี้ละก็ ไม่แน่ว่า…
ราชาปีศาจหลี่คุกเข่าลงอย่างไร้ศักดิ์ศรี รีบโขกศีรษะลงไปอีกหลายครั้ง ซ้ำยังโขกแรงขึ้นเป็นเท่าตัวจนแผ่นหินบนพื้นดินแทบจะแตกออกแล้ว
จากนั้นยามแหงนหน้าขึ้นมองอีกที รูปปั้นหยกขาวยังอยู่ในท่าแบมือ ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้อ ดูท่าคงจะไม่มีวิชาอะไรแล้ว คงมีแค่วิชา ‘ปาจิ่วเสวียน’ กับ ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ สองวิชานี้เท่านั้น”
หลี่มู่ยืนขึ้นอย่างผิดหวัง
เขายังคงเดินวนอีกรอบอย่างไม่ถอดใจ ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เลือกยัดรูปปั้นหินนี้เข้าไปในแหวนเก็บของ
หลี่มู่ยิ้มจนปากเบี้ยว เดินกลับออกมายังห้องโถงหินด้านนอก
ด้านในสามห้องเล็กหนึ่งห้องโถง สิ่งของทั้งหมดคงมีประมาณนี้
ได้รับกำไรมาเยอะนัก
หลี่มู่มองไปด้านนอกอย่างดีอกดีใจ
เวลาเดียวกันนี้ วานรภูเขาขนทองยังนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่ประตูถ้ำหิน สมบัติที่มันปกป้องมาไม่รู้กี่ปีถูกเจ้าจอมมารผู้นี้ชิงเอาไปเสียแล้ว ในใจราวหมดสิ้นความหวัง เมื่อครู่พุ่งเข้าไปโดยไม่สนอะไรอีกหลายรอบ แต่ผลลัพธ์ก็ยังถูกสายฟ้าลวดลายเต๋าตรงทางเดินประตูหินดีดออกมา เรียกได้ว่าอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ตอนเห็นหลี่มู่ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งที่โถงหิน มันก็ทุบอกกระทืบเท้า คำรามด้วยความโกรธและร้อนรน
หลี่มู่หัวเราะร่าขึ้นมา
สมน้ำหน้า
โทษฐานที่มาหลอกข้า
เขาคิดๆ ดู รู้สึกว่าได้รับโอกาสเช่นนี้มาก็พอใจมากแล้ว ไม่ต้องไปไล่หาในพื้นที่อื่นของฟ้านิจนิรันดร์อีก และสายฟ้าของห้องหินนี้ก็แสนจะร้ายกาจ หากเดินออกไปคงถูกช็อตอีกรอบ มิสู้อยู่ในห้องหินนี้ ค่อยๆ ฝึกฝนไป รอจนถึงเวลาถูกส่งตัวออกจากฟ้านิจนิรันดร์เองก็พอแล้ว
ดังนั้นเขาจึงนั่งลงบนเบาะในโถงห้องหินเสีย จากนั้นหลับตารวมจิต เข้าฌาน และเริ่มฝึกฝน
ครั้งนี้หลี่มู่เลือกฝึกวิชา ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’
ปราณแท้ขั้นฟ้าประทานระดับสมบูรณ์ในร่างของเขาตอนนี้ใกล้จะยับยั้งไว้ไม่อยู่แล้ว ก่อนหน้าที่ฝืนยั้งเอาไว้ เพราะว่าไม่มีวิธีฝึกขั้นเหนือมนุษย์ที่ดีกว่า จึงยังคงลังเล ตอนนี้ ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ เป็นคัมภีร์เต๋าที่ฝึกฝนหัวใจตับม้ามปอดไตพอดี ถึงแม้จะไม่ใช่วิธีฝึกขั้นเหนือมนุษย์ตามความหมายของโลกใบนี้ แต่ผลลัพธ์ต้องดีกว่าเคล็ดลับการฝึกขั้นเหนือมนุษย์ใดๆ อย่างแน่นอน ต่อให้เป็นวิชาลับเหนือมนุษย์ของสำนักเทพทั้งเก้า เกรงว่าก็ห่างชั้นกันหลายขุม
เขาเพ่งจิตวิญญาณเข้าสู่ทะเลความรู้สึก ใช้พลังจิตวิญญาณเปิดอ่าน ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’
คัมภีร์หยกขนาดยักษ์เปล่งแสงสมบัตินับหมื่นสาย แล้วเปิดออกอย่างช้าๆ
“หัวใจเก็บจิต สิ่งที่ได้มาภายหลังคือจิตสํานึก สิ่งที่ฟ้าประทานมาคือความอ่อนน้อม เอาชนะความเศร้าอาลัย จิตใจจึงก่อเป็นรูปร่าง พลังธาตุไฟแห่งจักรพรรดิแดงแดนใต้…” เสียงเต๋าลอยแผ่วเชื่องช้า เนื้อหาของ ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ ส่งเสียงก้องในทะเลจิตหนีหวานกงเสมือนลำโพงเสียงสูง
หลี่มู่ดำดิ่งเข้าไปโดยสมบูรณ์
ใน ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ เป้าหมายการฝึกฝนอวัยวะภายในลำดับที่หนึ่ง สิ่งที่เลือกก็คือหัวใจ
ตามระบบทฤษฎีวิถียุทธ์ขั้นเหนือมนุษย์ของแผ่นดินใหญ่เสินโจว พลังหัวใจในห้าธาตุรวมเป็นหนึ่งนั้นฝึกฝนยากที่สุด อีกทั้งเป็นธาตุที่ต้องใช้เวลานานที่สุด ด้วยเหตุนี้ผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายจึงเอาการฝึกหัวใจไว้ลำดับสุดท้าย รอฝึกสี่ธาตุอย่างตับม้ามปอดไตบรรลุเสียก่อน เมื่อปรับพลังจนอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุดและเข้าใจพลังก้าวที่สี่ของขั้นเหนือมนุษย์ถ่องแท้แล้ว ค่อยไปฝึกฝนหัวใจธาตุสุดท้ายทีละน้อย
ทว่า ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ กลับตรงกันข้าม
หัวใจเป็นแกนหลักของห้าธาตุ หากฝึกพลังหัวใจสำเร็จก็จะควบคุมพลังธรรมชาติได้ เมื่อไปฝึกฝนสี่ธาตุที่เหลือ จะสามารถบรรลุเป้าหมายของการย้อนสู่สภาพดั้งเดิมและการใช้เต๋าฝึกพลังธาตุ จากนั้นแสดงแก่นแท้ที่ลึกซึ้งซึ่งไม่มีทางได้สัมผัสจากการฝึกธรรมดาออกมาให้เห็นอย่างครบถ้วน
หลี่มู่เข้าใจว่าแนวคิดเช่นนี้เทียบกับแนวคิดสายหลักการของฝึกฝนขั้นเหนือมนุษย์บนแผ่นดินใหญ่เสินโจวแล้วดูเป็นวิทยาศาสตร์กว่า
ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะเริ่มฝึกตามแก่นแท้ของ ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’
เนื้อหาส่วนที่หนึ่งชื่อว่าคัมภีร์หัวใจจักรพรรดิเพลิง
หลี่มู่ตกอยู่ในภวังค์แห่งเสียงที่ส่งมา จิตวิญญาณเต็มเปี่ยม เข้าสู่สภาวะนั้นอย่างสมบูรณ์
ปราณแท้ในร่าง สิ่งที่นึกนิมิตทั้งหมดเปลี่ยนเป็นพลังธาตุไฟ เริ่มโคจรตามเส้นทางที่บันทึกไว้ในคัมภีร์หัวใจจักรพรรดิเพลิง หลังจากหมุนเวียนผ่านแปดเส้นลมปราณพิเศษในร่างกาย จึงค่อยๆ รวมเข้าไปด้านในหัวใจ…
ทั้งร่างของหลี่มู่กลายเป็นสีแดงชาดไปหมดแล้ว
ผิวหนังเลือดเนื้อและกระดูกของเขาค่อยๆ โปร่งใสขึ้นมา เว้นแต่ตำแหน่งของหัวใจเท่านั้น หัวใจสีแดงก่ำมองเห็นได้ชัดเจน กำลังเต้นช้าๆ ตามจังหวะและกฎเกณฑ์ประหลาด ระหว่างเต้นช้าๆ จะผสานปราณแท้เปลวเพลิงเข้าไปด้วย แล้วจึงค่อยปล่อยออกมา เหมือนกับสูบฉีดเลือดเข้าไปและปล่อยออกอย่างไรอย่างนั้น
พลังไฟที่หัวใจปล่อยออกมาไหลตามเส้นเลือด เข้าไปยังทุกส่วนของร่างกาย
ขั้นตอนเช่นนี้เป็นไปอย่างเชื่องช้ายิ่งนัก
เวลาผ่านไป
พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งเดือน
หลี่มู่อยู่ในการกักตัวฝึกฝนตลอด ไม่เคยลืมตาขึ้นมาเลย
ทั้งตัวเขาแทบจะโปร่งใสไปหมด มีเพียงเค้าโครงรูปร่างจางๆ ชั้นหนึ่งกับหัวใจในร่างกายและหลอดเลือด…ไม่ว่าจะเป็นเส้นชีพจรใหญ่ เส้นเลือดแดงใหญ่ หรือเส้นเลือดฝอยก็ล้วนชัดเจนจนมองเห็นได้ หัวใจยังคงสูบฉีดและปล่อยพลังแห่งเปลวไฟไม่หยุด ถ่ายมันเข้าสู่เส้นเลือดอย่างต่อเนื่อง แล้วกระจายออกไปยังกระดูกแขนขา ขั้นตอนทั้งหมดไร้ซุ่มเสียง แต่กลับแปลกพิสดารถึงที่สุด
การเปลี่ยนสภาพที่ไม่น่าเชื่อกำลังเกิดขึ้นในร่างกายของหลี่มู่
เพียงพริบตาก็ผ่านไปอีกเดือน
วานรภูเขาขนทองที่อยู่ด้านนอกห้องหินใจจดจ่อรอคอย
ในใจมันค่อยๆ เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
……………………………………….
[1] เจียงจื่อหยา เดิมเป็นขุนนางราชวงศ์ซางซึ่งทนความโหดร้ายในการปกครองของโจ้วหวางไม่ไหว จึงเร้นกายไปพำนักที่ชนบทห่างไกล ภายหลังเป็นผู้ที่ช่วยโจวอู่หวางปราบโจ้วหวางและก่อตั้งราชวงศ์โจวขึ้น
[2] สามเทพธิดาจากนิยายห้องสิน แบ่งเป็นฮุนเสียว เกงเสียว และเพกเสียว
[3] เจินเหริน ใช้เรียกผู้ที่บำเพ็ญพรตลัทธิเต๋าจนบรรลุมรรคผลและตื่นรู้โดยแท้