“นายท่าน เป็นอะไรไป เหมือนท่านเกรงว่าคนคนนั้นจะหนีไปได้” ชิงเหลียนปลอบใจอย่างไม่เห็นด้วย “ท่านวางตาข่ายฟ้าไว้แล้ว ต่อให้คนผู้นั้นพลังฝีมือสูงล้ำเพียงใดก็หนีไม่พ้น”

 

 

นางนึกอีกทีก็เสริมอย่างไม่เห็นด้วยว่า “อย่าว่าแต่ดูแล้วคนคนนั้นพลังฝีมือมิได้สูงล้ำแต่อย่างใด”

 

 

กลับเป็นถิงอวิ๋นที่เห็นสีหน้าของเหมยซูแล้วดูเหมือนจะได้คิด จึงส่ายหน้ากล่าวว่า “ชิงเหลียน ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้เกรงว่าไม่ง่ายเช่นนี้ พวกเราหลงกลแล้ว”

 

 

“หลงกล?” ชิงเหลียนงงงันไม่เข้าใจที่พูด พวกตนหลงกลอะไร เห็นชัดๆ ว่าเป็นคนที่องครักษ์ใหญ่ต้องการจับตัว

 

 

“คนที่วิ่งหนีอาจไม่ใช่คนที่พวกเราจะจับ” ถิงอวิ๋นส่ายหน้า สายตาจับจ้องสีหน้าของเหมยซู นึกตัดสินในใจแล้ว

 

 

“แต่…แต่คนคนนั้นใช้ปลาเค็มติดไฟทุ่มใส่พวกเราเหมือนที่ทำกับพวกองครักษ์ใหญ่ชัดๆ นะเจ้าคะ!” ชิงเหลียนเชิดปากกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย

 

 

ในที่สุดเหมยซูก็เอ่ยปาก มุมปากกระตุกเล็กน้อยมองดูนอกหน้าต่าง “ก็เพราะใช้วิธีเดียวกันจึงมิใช่เขาแน่นอน คนอย่างเขาต่อให้จนปัญญาก็ไม่มีทางใช้กระบวนท่าเดิม เกรงว่าพวกเราคงหลงกลล่อเสือออกจากถ้ำของเขาแล้ว!”

 

 

ชิงเหลียนกล่าวอย่างมิยินยอม “คนผู้นั้นฉลาดเหมือนที่นายท่านพูดจริงหรือเจ้าคะ”

 

 

ถิงอวิ๋นเหลือบมองชิงเหลียนอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “พูดกับนายท่านเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าคิดว่าใครๆ ก็โง่เหมือนเจ้าหรือ!”

 

 

ชิงเหลียนก็รู้ว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ออกจะเหิมเกริมไปหน่อย แม้จะโกรธและคับข้อง แต่ก็ไม่กล้าพูดมากอีก สีหน้าบึ้งตึง ในใจนึกแค้นเจ้าคนที่ทำให้ตนเองต้องเสียกริยาต่อหน้าเจ้านาย

 

 

เหมยซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลันถามชิงเหลียนว่า “ชิงเหลียน เมื่อครู่ตอนเจ้ากลับมา พวกชาวบ้านที่รอการตรวจค้นยังอยู่ที่เดิมไหม”

 

 

ชิงเหลียนนึกดูแล้วสั่นศีรษะ “พวกชาวบ้านแยกย้ายไปหมดแล้ว”

 

 

เหมยซูร้องเฮอะอย่างจนใจ “เป็นดังคาดจริงๆ”

 

 

เหมยซูพยักหน้า “เจ้าไปเถิด”

 

 

นกเหยี่ยวของเขาคงฉวยจังหวะที่กำลังวุ่นวายปะปนกับชาวบ้านเข้าสู่หมู่บ้านแล้ว ยามนี้คงซ่อนตัวอยู่หรือไม่ก็คงลอบไปใกล้ที่พักของเหล่าเจอกู

 

 

ในหมู่บ้านย่อมไม่มีคุกใต้ดิน ดังนั้นการจะรู้ว่าคนถูกขังอยู่ที่ใดแค่ดูว่าตรงไหนมีคนเฝ้ามากก็รู้แล้ว

 

 

ถิงอวิ๋นรับคำสั่งออกไปไม่นาน องครักษ์ใหญ่เจิ้งหยางก็ให้คนคุมตัวเด็กหนุ่มกับเหล่าฟานมาถึงบ้านเหมยซู

 

 

เหมยซูไม่ต้องเข้าใกล้ แค่มองแต่ไกลก็รู้แล้วว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มิใช่ชิวเยี่ยไป๋ แต่เด็กหนุ่มก็มีรูปร่างคล้ายชิวเยี่ยไป๋อยู่บ้าง

 

 

ให้คนถามอีกที เด็กหนุ่มก็สารภาพตั้งแต่ต้นจนจบอย่างหมดเปลือก เขาเป็นหลานของ

 

 

เหล่าฟานจริง แต่มิได้โง่ เขากับเหล่าฟานรับปากทำงานเสี่ยงครั้งนี้เพราะเห็นแก่เงิน

 

 

เพียงแต่คนหนุ่มที่มอบปลาแห้งให้มิได้บอกให้เด็กคนนี้ปลอมตัวเป็นเขา บอกแต่ว่าในปลาแห้งมีของสำคัญ ขอให้พวกเขาขนเข้าไปในหมู่บ้าน และชายหนุ่มผู้นั้นบอกว่าถ้าโดนตรวจค้นและกลัว ก็ให้ทุ่มของออกไปแล้ววิ่งหนีก็พอ

 

 

หลานของเหล่าฟานไหนเลยจะเคยเห็นขบวนการตรวจค้นของทหารมาก่อน ย่อมตกใจจนพูดไม่ออก พอเจอะเข้าก็ทุ่มข้าวของใส่ จึงทำให้ทหารจับตัวเขาไว้

 

 

ชิงเหลียนฟังแล้วก็ก้มหน้าอย่างอับอาย นางดูแคลนผู้อื่นเกินไป ภายใต้ความอับอายและขุ่นเคือง จึงจดบัญชีนี้ใส่หัวของชิวเยี่ยไป๋

 

 

เหมยซูฟังคำสารภาพของเหล่าฟานจนจบก็หัวร่อเบาๆ มองดูดาราดาดฟ้านอกหน้าต่าง

 

 

เย่ไป๋ เจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ กลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้ วางหมากรอบคอบถึงเพียงนี้ ให้เจ้าเป็นเพียงเชียนจ่งตัวน้อยของซือหลี่เจียนออกจะคับข้องเกินไป

 

 

ครู่หนึ่งถิงอวิ๋นกลับมาอย่างร้อนรนรายงานว่า “นายท่าน ท่านโปรดวางใจ คนของเราประจำที่แล้ว ต่อให้ชิวเยี่ยไป๋รู้ว่าเหล่าเจอกูอยู่ที่ใด ถ้าเขากล้าดีเข้าเหยียบบ้านที่ขังเหล่าเจอกู ต่อให้พลังฝีมือสูงแค่ไหนก็ไม่มีทางรอดจากตาข่ายฟ้าของท่าน”

 

 

เหมยซูหรี่ตาลงพยักหน้า เขาย่อมมั่นใจกับวิธี ‘ดักนก’ ของตนเอง

 

 

แต่มิทราบเพราะเหตุใดจึงรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าไม่สบายอย่างไร หรือจะพูดให้ตรงก็คือมิรู้ว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง

 

 

เขาทบทวนการจัดแจงภายในห้องเหล่าเจอกูและบริเวณรอบๆ เขาได้วาง ‘ตาข่ายฟ้า’ ไว้แล้ว เขามั่นใจในการจัดวางกับดักของตนเอง

 

 

ทุกคนล้วนรู้ว่าเจ้านายของบ้านตระกูลเหมยคุณชายใหญ่คือราชันแห่งวาณิช แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเขาเป็นยอดฝีมือด้านกลไกและค่ายกล สามารถกักกองทัพเป็นพันและฆ่าทิ้งได้อย่างง่ายดาย

 

 

หากมิใช่เกรงว่าจะเปิดเผยร่องรอย เดิมเขาคิดจะติดตั้งกลไกในหมู่บ้านด้วยซ้ำ ให้นกเหยี่ยวของเขาพอเข้าหมู่บ้านก็ติดกับ

 

 

“ตาข่ายฟ้า…เข้าร่างแหแล้วรวบ…” พลันความคิดหนึ่งวาบขึ้นในสมองเขา พริบตานั้นเขาก็รู้แล้วว่าไม่ถูกต้องตรงไหน

 

 

การสัมผัสตาข่ายฟ้าให้ทำงาน ย่อมต้องมีคนจะเข้าไปช่วยคน ถ้าเกิดอีกฝ่ายไม่เข้าไปในค่ายกล จะเอาตัวเหล่าเจอกูออกไปได้หรือไม่

 

 

ถิงอวิ๋นฟังคำพูดของเหมยซูก็อดยิ้มอย่างได้ใจมิได้ “นายท่าน จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่เข้าค่ายกลจะเอาคนไปได้อย่างไร”

 

 

เหมยซูคิดจะพูด กลับได้ยินเสียงเย็นเยือกคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มดังขึ้นนอกประตู “ไยจักมิได้ เชิญท่านเข้าไห สู้บีบโอรสสวรรค์บัญชาขุนศึกจะดีกว่า เชิญท่านออกจากไห คุณชายใหญ่แซ่เหมย ท่านว่าจริงไหม”

 

 

พริบตานั้นถิงอวิ๋นตกใจจนหน้าถอดสี เสียงไพเราะนั้นแสนแปลกหู มิใช่คนที่พวกเขาคุ้นเคยเด็ดขาด แล้วใครเล่าจึงหลบหลีกพวกองครักษ์ชั้นหนึ่งฝ่าเข้ามาได้

 

 

มุมปากเหมยซูปรากฏรอยยิ้มจนใจแต่เจือด้วยความสะใจ “มาแล้วจริงๆ”

 

 

เพิ่งขาดคำ ประตูก็ถูกถีบออกดัง โครม เงาร่างสูงโปร่งงามสง่าสายหนึ่งปรากฏที่ประตู กระบี่อ่อนในมือเปื้อนเลือด บนตัวเขากลับไม่มีคราบเลือดแม้แต่จุดเดียว แต่นอกประตูมีศพก่ายไปมาระเนระนาดเจ็ดแปดศพ

 

 

ถิงอวิ๋นมองดูหนุ่มน้อยรูปงามที่ปากประตูอย่างไม่เชื่อสายตา เพียงเวลาสั้นๆ คนผู้นี้ถึงกับสังหารองครักษ์มากมายอย่างไร้สุ้มเสียง พลังฝีมือเช่นนี้สูงล้ำอย่างที่เขาไม่เคยพบมาชั่วชีวิต

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองดูรอบๆ แล้วกล่าวกับเหมยซูอย่างยิ้มแย้ม “เหมยซู เราพบกันอีกแล้ว”

 

 

เหมยซูยืนมือไพล่หลัง มองดูนางครู่หนึ่ง ดวงตาสุกใสฉายแววสับสนที่ถักทอด้วยความร้อนแรงและเย็นเป็นน้ำแข็ง สุดท้ายจึงยิ้มอย่างสงบ “ใช่แล้ว เราพบกันอีกแล้ว เย่ไป๋ เห็นเจ้าไม่เป็นไร ข้ายินดีมาก”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว “ข้าคิดว่าเจ้าเห็นเสื้อเปื้อนที่ข้าทิ้งไว้จะดีใจกว่าเสียอีก”

 

 

เหมยซูแลดูนาง ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “เจ้าฉลาดมาก เย่ไป๋”