ท้องฟ้าด้านนอกมืดมนดำสนิท ทว่าแววตาของเขากลับดำมืดลึกซึ้ง ทั้งยังแฝงไปด้วยแรงจู่โจมอันทรงพลัง มันทั้งหนาวเหน็บเย็นชาทั้งหวาดกลัวน่าเกรงขาม มุมปากก็ยกขึ้นยิ้มเย็นยะเยือกเยาะเย้ยประชัดประชันออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าจัดการเรื่องที่เจ้าควรทำให้ดีก็พอ แบบนั้นถึงจะเป็นการปกป้องนางได้มากที่สุด” ฉู่อี้อันกล่าว “อีกอย่างการที่ให้นางหลบไปอยู่ที่ห่างไกล ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแย่”
การตัดสินใจของฉู่อี้อัน ในเมื่อเขาพูดออกมาแล้ว นั่นก็หมายความว่าไม่มีทางแก้ไขได้อีกต่อไป
ฉู่ฉีเฟิงเพียงแค่รู้สึกลำบากใจ แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะคัดค้านฉู่อี้อัน จึงเอ่ยถามขึ้นเสียงเบาว่า “หนานฮวาห่างไกลจากที่นี่มากนัก ระหว่างการเดินทางลำบากมาก และยังคนละแคว้นกันเลยด้วยซ้ำไป หากฉู่สวินหยางนางไปจากที่นี่แล้ว ก็อาจจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกเลยนะขอรับ ท่านพ่อ ท่าน…ทำใจได้งั้นเหรอขอรับ?”
ทำใจได้ไหมงั้นเหรอ? แน่นอนอยู่แล้วว่าทำใจไม่ได้!
ถ้าจะบอกว่าตอนแรกที่เขาอุ้มฉู่สวินหยางกลับมา ทั้งยังรักและทะนุถนอมปกป้องดูแลนางอย่างเต็มที่นั่นเป็นเพราะเหลียงซี แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองพ่อลูกหลายปีมานี้มันคือความจริงแท้แน่นอน
หากต้องพูดถึงว่าทำใจได้หรือไม่นั้น การที่ตัดสินใจออกมาเยี่ยงนี้ สุดท้ายแล้วคนที่เจ็บปวดทรมานที่สุดก็คือตัวเขานั่นเอง
แต่ว่า…
ไม่มีสิ่งใดที่สำคัญไปกว่าชีวิตของบุตรสาวแล้ว
“จะทำใจได้หรือไม่ได้ ตอนนี้ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้แล้ว!” ฉู่อี้อันสูดหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวออกมา
เขาลุกขึ้นยืนเดินไปเปิดหน้าต่างออก แล้วสาดน้ำครึ่งแก้วที่เหลือทิ้งไป จากนั้นในขณะที่ยกมือกำลังปิดหน้าต่างจู่ๆ นิ้วมือก็วางค้างบนบานหน้าต่างนั้นอยู่นานไม่ขยับไปไหน
“ฉีเฟิง…” เวลาผ่านไปนานพอสมควร เขาจึงเอ่ยปากขึ้นอีกครา น้ำเสียงนั้นแหบกร้านแฝงไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า
เขาไม่ได้หันหน้ากลับมา ฉู่ฉีเฟิงจึงไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ได้ยินเพียงแค่เสียงแข็งกร้าวอันหนักอึ้งพูดขึ้นว่า “อย่าคิดว่าข้าลำเอียงเชียว ข้าเพียงแค่…มีหนี้บุญคุณที่ติดค้างไว้ และบางอย่างมันก็เป็นสิ่งที่ข้าต้องทดแทนชดใช้อย่างช่วยไม่ได้ ในเมื่อตัวนางเองยินยอมก็ปล่อยให้นางไปเถิด!”
เหยียนหลิงจวินเคยรับปากเขาว่าจะปกป้องฉู่สวินหยางด้วยชีวิตของเขา ทั้งยังใช้การกระทำพิสูจน์ให้เห็นแล้ว
และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ…
ฉู่สวินหยางเองก็ให้ความสำคัญกับเขามาก เก็บอีกฝ่ายไว้ในหัวใจ
ชาติกำเนิดของนางนั้น เดิมทีมันก็เป็นข้อห้ามอยู่แล้ว เมื่อก่อนคิดว่าการปกป้องดูแลนางอยู่ข้างกายตัวเองเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด แต่เมื่อตอนนี้กลับมาดู…
ไม่แน่การที่ปล่อยให้นางไปอยู่ที่ห่างไกลจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งนี้ ถึงมันจะเป็นวิธีการที่ลำบากในครั้งแรก แต่หลังจากนั้นก็จะสุขสบายไปตลอดชีวิต
ฉู่ฉีเฟิงออกแรงเม้มปากแน่น มือที่กดลงไปบนโต๊ะข้างนั้นกำหมัดขึ้นมา มีบางคำพูดอยากจะโพล่งออกมา แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงกลืนมันกลับไป
“ขอรับ! ในเมื่อท่านพ่อตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะให้ความช่วยเหลือท่านอย่างสุดกำลัง!” สุดท้ายฉู่ฉีเฟิงก็กล่าวออกมาเยี่ยงนั้น
เขาลุกขึ้นยืน ลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เดินเข้าไปหาฉู่อี้อัน “ฮ่องเต้ถูกวางยา ชีวิตตอนนี้ถือได้ว่าอยู่ในวาระสุดท้าย หากฉู่อี้เจี่ยนลงมือเมื่อไร เขาต้องไม่ยั้งมือเป็นแน่ อีกทั้งยัง…กลัวว่าเขาจะเล่นงานพวกเราด้วย ในจุดนี้เองทางเราก็ต้องเตรียมการป้องกันไว้ก่อนนะขอรับ!”
“ถึงแม้ว่าวัยวุฒิของฉู่อี้เจี่ยนจะยังน้อยมากนัก แต่อย่างน้อยเขาก็ทำการวางแผนมาเนิ่นนาน อย่างไรแล้วคงไม่มีทางยอมล้มเหลวในตอนสุดท้ายเป็นแน่ รอดูทางพวกเขาสองฝั่งก่อนว่าจะทำอย่างไร ตอนนั้นพวกเราค่อยลงมือจู่โจมก็ยังไม่สาย” ฉู่อี้อันกล่าวพลางออกแรงปิดประตู จากนั้นค่อยหันหน้ากลับมา
“ขอรับ!” ฉู่ฉีเฟิงพูดตอบอย่างเคารพนับถือ ยกสองมือขึ้นคำนับ “หากท่านพ่อไม่มีเรื่องอื่นจะกำชับเพิ่มเติม งั้นข้าขอตัวลาก่อนนะขอรับ”
“อืม!” ฉู่อี้อันพยักหน้ามองส่งเขาจนลับตาไป
ฉู่ฉีเฟิงเป็นเด็กฉลาด เรื่องบางเรื่องถึงแม้จะไม่มีใครบอกเขา แต่ขอเพียงแค่มีเบาะแสร่องรอยสักหน่อย เชื่อว่าอย่างไรเขาก็ต้องได้คำตอบบางอย่างแน่นอน
ถึงแม้ฉู่สวินหยางกับเขาจะไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกัน แต่เขาก็ยังคงรักและเป็นห่วงนางตลอดเวลา ตอนที่เด็กทั้งสองคนยังเล็กก็ยังไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ฉู่อี้อันเองก็เป็นคนที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน แค่ดูท่าทางปฏิกิริยาของบุตรสาวบุตรชายทั้งสองคนของตน เขาก็พอจะรู้เข้าใจอะไรบ้างแล้วเหมือนกัน…
ฉู่สวินหยางคิดกับฉู่ฉีเฟิงเพียงแค่พี่น้อง แต่ทว่าฉู่ฉีเฟิงนั้น…
แม้จะเก็บซ่อนความรู้สึกดีมากขนาดไหน แต่มันก็มีช่วงเวลาที่เผลอหลุดความรู้สึกในใจนั้นออกมาอยู่หลายครั้ง
ถ้าหากเทียบกับเหยียนหลิงจวินแล้ว ฉู่ฉีเฟิงไม่ใช่ว่าไม่ดีพอ เอาแค่ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและฉู่สวินหยางที่เสริมสร้างกันมาตั้งแต่เล็กจนโต แค่นั้นมันก็มากเกินกว่าสิ่งอื่นใดแล้ว
แต่ด้วยความที่มีสถานภาพเยี่ยงนี้ มันก็ได้ตัดสินผลลัพธ์ตั้งแต่แรกแล้วว่ามันจำต้องเป็นแบบนี้
เขามองแผ่นหลังของบุตรชายตนเองค่อยๆ เดินจากออกไป จากนั้นฉู่อี้อันก็ข่มตาลง
มีความรู้สึกบางอย่าง ไม่มีใครที่เข้าใจมันดีไปมากกว่าเขา แต่ถึงแม้จะสัมผัสได้ด้วยตนเอง ถึงแม้จะเอาแต่ใจเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน ตอนนี้เขาก็ทำได้เพียงตัดสินใจให้มันเป็นไปแบบนี้เท่านั้น
ไม่กี่วันให้หลัง ฉู่สวินหยางเองก็เอาแต่เก็บตัวไม่พบปะไม่สนใจเจอหน้าแขกคนใดสักคน
ขนาดฉู่เยว่หนิงที่ได้ยินข่าวว่านางประสบกับภยันตรายที่เมืองฉู่อุตส่าห์รีบกลับมาเยี่ยมนางเป็นพิเศษ ก็ยังถูกชิงเถิงขังไว้ด้านนอกประตู
สถานการณ์เงียบสงบเยี่ยงนี้ผ่านไปสี่วัน ฮั่วชิงเอ๋อร์ถูกปฏิเสธให้รออยู่ด้านนอกประตูมาถึงสามครั้ง ทำให้นางไม่เพียงแต่จะรู้สึกสิ้นหวังเสียใจ นางยังแอบรู้สึกเป็นกังวลอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกด้วย
“ท่านหญิงเจ้าคะ ข้าได้ยินว่าท่านหญิงฉู่เยว่หนิงอุตส่าห์กลับมาหาท่านหญิงสวินหยางโดยเฉพาะแต่ก็ไม่เจอหน้าและช่วงนี้ยังไม่มีข่าวคราวของใต้เท้าเหยียนหลิงจวินเลย ด้านนอกเขาต่างลือกันว่าใต้เท้าเหยียนหลิงจวินได้รับอุบัติเหตุ” สาวรับใช้ข้างกายของนางพูดขึ้น “ถ้าเรื่องมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ท่านหญิงสวินหยางคงไม่มีทางออกมาพบท่านหรอกเจ้าค่ะ ท่านลองคิดหาวิธีอื่นน่าจะดีกว่านะเจ้าคะ”
“ก็เพราะเป็นแบบนั้นนั่นแหละ ข้าถึงได้อยากเจอหน้านางสักครั้ง” ฮั่วชิงเอ๋อร์กล่าวพลางหันกลับไปมองประตูวังบูรพาด้านหลังอีกครั้งอย่างไม่วางใจ
แต่นางเองก็ไม่ได้เพิ่งรู้จักฉู่สวินหยางมาวันสองวัน นางเข้าใจรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายดี…
ในเมื่อบอกแล้วว่าจะไม่เจอหน้า นั่นก็หมายความว่าจะทำอย่างไรฉู่สวินหยางก็ไม่มีวันยอมเจอหน้านางหรอก
เมื่อคิดแบบนั้นแล้วนางก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จับมือสาวรับใช้แล้วกำลังจะขึ้นรถม้าไป ขณะนั้นเองก็เห็นเจี๋ยหงกำลังบังคับรถม้าวิ่งเข้ามาในตรอก
คนบังคับรถของสกุลฮั่วรีบถอยเปิดทางให้
รถม้าหยุดจอดหน้าประตูวังบูรพา เจี๋ยหงกระโดดลงมา จากนั้นฉู่สวินหยางเองก็ก้มต้วเดินลงมาจากด้านหลังเช่นกัน
“น้องสวินหยาง!” ฮั่วชิงเอ๋อร์เห็นดังนั้นก็รู้สึกดีใจเหลือเกิน จึงรีบเดินเข้าไปหา
ฉู่สวินหยางเองยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียก เห็นใบหน้ายิ้มแย้มเริงร่าของอีกฝ่ายเข้าก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา
ส่วนฮั่วชิงเอ๋อร์เดินเข้ามาก็ดึงแขนเสื้อของนางทันที “เจ้าไปไหนมารึ? เดิมทีข้าคิดว่าวันนี้จะมาเสียเปล่าแล้วนะเนี่ย ไม่ได้พบหน้าเจ้าสักที นี่ว่ากำลังจะกลับแล้ว!”
ฉู่สวินหยางหลบมือของนางที่กำลังจะจับอย่างไร้เสียง เดินอ้อมตัวนางมุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่พลางพูดขึ้น “มีอะไรก็ไปพูดคุยกันด้านในเถิด!”
ฮั่วชิงเอ๋อร์สัมผัสได้ว่านางตีตัวออกห่าง รอยยิ้มบนใบหน้าพลันแข็งทื่อลงในทันที อ้ำอึ้งทำตัวไม่ถูกอยู่ตรงนั้นสักพัก
ฉู่สวินหยางเองก็พอจะเดาอารมณ์ท่าทางของนางได้ แต่ทว่ากลับเดินสาวเท้าเข้าประตูไปอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะหันศีรษะกลับมามองเลยด้วยซ้ำ…
ถึงแม้นางจะไม่ได้คิดบัญชีที่ฮั่วกังทำเอาไว้เอามาลงที่ฮั่วชิงเอ๋อร์ แต่ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ของทั้งสองสองตระกูลก็ได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว ระหว่างนางกับฮั่วชิงเอ๋อร์เองก็หาได้จำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์เหมือนเมื่อก่อนไว้ต่อเช่นกัน ถึงแม้ตอนนี้นางจะไม่ได้คิดรังเกียจ แต่หากมีวันใดวันหนึ่งต้องฉีกหน้าถากถางกันขึ้นมาจริงๆ ตอนนั้นฮั่วชิงเอ๋อร์ก็จะได้ไม่เข้ามายุ่งมาเกี่ยวข้องกันตนอีก
ในเมื่ออย่างไรแล้วก็ต้องเป็นศัตรูกัน งั้นก็สู้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเสียจะดีกว่า เพราะช้าเร็วยังไงมันก็ต้องประสบปัญหาแบบนั้นอยู่ดี
——————